เมื่อกำแพงเบอร์ลินพังทลายในปี 1989 พร้อมๆกับการสิ้นฤทธิ์ของภัยคอมมิวนิสต์ ทำให้การเกณฑ์ทหารของประเทศต่างๆในยุโรปกลายเป็นสิ่งที่ล้าสมัยและไม่จำเป็นอีกต่อไป หลายๆประเทศในยุโรปอย่างฝรั่งเศส อิตาลี เบลเยี่ยมและเนเธอร์แลนด์ เริ่มทยอยยกเลิกข้อบังคับการเกณฑ์ทหารตั้งแต่ยุคกลางทศวรรษที่ 1990 เรื่อยมาจนถึงสวีเดนในปี 2010 และเยอรมนีในปี 2011
ที่น่าสนใจมากๆก็คือบรรดากลุ่มประเทศที่ได้ชื่อว่าก้าวหน้าที่สุด เป็นประชาธิปไตยที่สุด และรักสงบที่สุดอย่างนอร์เวย์ ฟินแลนด์ สวิสเซอร์แลนด์ ออสเตรียและเดนมาร์ค ไม่น่าเชื่อว่า การเกณฑ์ทหารยังมีผลบังคับใช้อยู่ ไม่ได้ยกเลิกเหมือนประเทศอื่นๆ ทั้งๆที่ไม่มีประวัติและไม่มีนโยบายเคยคิดจะไปรบรุกรานใครๆเลย
เพราะนี่คือเรื่องของความมั่นคง
ไม่ใช่เรื่องของความล้าสมัยใดๆ
กรณีของนอร์เวย์ซึ่งเป็นสมาชิกของกองกำลังพันธ
มิตรทางทหารอย่างนาโต มีหลักประกันอย่างดีว่าจะได้รับการช่วยเหลือจากอีก 27
ประเทศสมาชิกหาถูกรุกราน กลับสร้างประวัติศาสตร์ในปี 2013
กลายเป็นประแรกในกลุ่มยุโรปและในกลุ่มนาโต้ที่กำหนดบังคับให้ผู้หญิงทุกคนเมื่อถึงวัยตั้งแต่ 19-44 ปีต้องเข้าเกณฑ์ทหาร
จากเดิมที่บังคับเฉพาะผู้ชายเท่านั้น โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2016
ในโลกวันนี้มีเพียงแค่สี่ประเทศเท่านั้นที่กำหนดให้ทั้งชายทั้งหญิงต้องเกณฑ์ทหารเหมือนกันนั่นคือ
อิสราเอล เกาหลีเหนือและโบลิเวีย สองประเทศแรกนั้นเป็นที่เข้าใจได้
เนื่องจากเงื่อนไขทางการเมืองระหว่างประเทศที่ต้องเผชิญภัยคุกคามอยู่ตลอดเวลา
ส่วนกรณีของโบลิเวียนั้นส่วนสำคัญเนื่องมาจากปัญหาขนาดแคลนกำลังพล
แล้วทำไมนอร์เวย์
ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีประชาธิปไตยทีสม
บูรณ์พูนสุขที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของโลก จากการประกาศจัดอันดับเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
ผู้คนมีความสุขมากที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง
อีกทั้งเงื่อนไขภายในประเทศก็สงบเรียบร้อยแทบจะไม่มีเหตุวุ่นวายใดๆ
ไม่ต้องเผชิญกับภัยก่อการร้ายเหมือนประเทศยุโรปอื่นๆ
และรัฐบาลทุกยุคทุกสมัยก็ไม่เคยดำเนินนโยบายต่างประเทศในลักษณะเผชิญหน้าแสวงหาศัตรูเลย
กลับทวนกระแสได้มากมายขนาดนี้ จนราวกับว่าทหารมีคุณค่ามากมายเหมือนกับภาคการเกษตรที่จะต้องคงรักษาตลอดไป
เหตุผลสำคัญหนึ่งไม่ใช่เพราะเชื้อยีนของบรรพบุรุษไวกิ้งที่เคยสร้างตำนานรุกรานยุโรปเมื่อหลายร้อยปีก่อน
แต่เป็นผลมาจากปรัชญาความเท่าเทียมกันระหว่างเพศ
ในสังคมนอร์เวย์ เป็นที่ยอมรับกันว่า ชายและหญิงเท่าเทียมกันทั้งในทางกฏหมายและทางปฏิบัติจนเป็นที่ประจักษ์แจ้ง
ในสังคมนอร์เวย์ เป็นที่ยอมรับกันว่า ชายและหญิงเท่าเทียมกันทั้งในทางกฏหมายและทางปฏิบัติจนเป็นที่ประจักษ์แจ้ง
ดังนั้น
เมื่อรัฐทำให้สิทธิของหญิงเท่าเทียมกับชายอย่างเป็นรูปธรรมแล้ว
ผู้หญิงก็ควรจะต้องมีหน้าที่ต่อประเทศชาติเหมือนเช่นผู้ชายด้วย
อิทธิพลของปรัชญาความเท่าเทียมกันระหว่างหญิงและชายมากถึงขั้นแผ่กระจายไปสู่ค่ายทหารด้วย เพราะนอกจากผู้หญิงจะต้องเกณฑ์ทหารเหมือนผู้ชายแล้ว
ยังต้องฝึกเหมือนๆกันโดยไม่มีการแยกหญิงแยกชาย กินอยู่ร่วมกัน
แม้กระทั่งต้องอาบน้ำและนอนโรงเรือนเดียวกันด้วยตลอดระยะเวลา 19 เดือน
ว่ากันว่าเป็นกฏเกณฑ์ที่สาวๆนอร์เวย์ยอมรับและปฏิบัติตามอย่างเต็มใจ
เป็นการยืนยันว่า
เมื่อได้สิทธิเท่าเทียมกันแล้ว ก็ควรจะต้องมีหน้าที่เหมือนๆกันด้วย
ความก้าวหน้าและความสำเร็จของประเทศนอร์เวย์น่าจะเป็นกรณีศึกษาให้แก่สังคมไทยได้เรียนรู้ไม่น้อยเลย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเกณฑ์ทหารในนอร์เวย์กลายเป็นสิ่งที่ได้รับการยอมรับอย่างมาก
ทั้งในมุมมองของวัยรุ่น(สาว)ที่มีอายุเข้าเกณฑ์คัดเลือกและในสายตาของพ่อแม่ผู้ปกครอง
ในขณะเดียวกัน
สวิสเซอร์แลนด์ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่ดำเนินนโยบายเป็นกลางมาอย่างยาวนานและเคร่งครัด
ไม่ข้องแวะกับสงคราม ไม่แสวงหาศัตรูหรือขัดแย้งใดๆ ไม่ได้เป็นเป้าหมายของภัยคุกคามหรือภัยก่อการร้าย
ก็เคยมีความคิดที่จะยกเลิกการเกณฑ์ทหารโดยให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจ
แต่ผลจากการลงประชามติเมื่อเดือนกันยายน
2013 ปรากฏว่า ชาวสวิสกว่า 73% โหวตสนับสนุนให้คงการเกณฑ์ทหารไว้ต่อไป
เมื่อเป็นเช่นนี้ รัฐบาลจึงไม่สามารถยกเลิกข้อบังคับการเกณฑ์ทหารได้
ยิ่งไปกว่านั้น
มีแนวโน้มว่า สวิสเซอร์แลนด์กำลังจะเจริญรอยตามแนวทางของนอร์เวย์
โดยออกข้อบังคับให้ผู้หญิงต้องเข้าเกณฑ์ทหารด้วย เพราะในแต่ละปี สวิสเซอร์แลนด์ต้องการกำลังพลหน้าใหม่เข้ามารับการฝึกประมาณ
18,000 นาย
โลกเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ
ในระดับภูมิภาคยุโรป
ความเปลี่ยนแปลงต่างๆเริ่มเกิดขึ้น
ภายหลังจากที่รัสเซียส่งกำลังทหารเข้าไปในยูเครนและผนวกยึดไครเมียในปี 2014
ทำให้หลายๆประเทศในยุโรปเริ่มตระหนักถึงภัยคุกคามจากรัสเซียมากยิ่งขึ้น
หลังจากที่ว่างเว้นหายไปร่วมสองทศวรรษ
สวีเดนกลายเป็นประเทศแรกที่ขยับโดยเพิ่งประกาศเป็นกฏหมายเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมากำหนดให้มีการเกณฑ์ทหารอีกครั้งหนึ่งหลังจากยกเลิกมาได้เพียง
7 ปีเท่านั้น โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2018 เป็นต้นไป และแนวโน้มที่บังคับเกณฑ์ทหารหญิงเหมือนนอร์เวย์ก็ไม่น่าจะไกลเกินเอื้อม
เพราะสวีเดนเป็นสังคมที่ยึดถือความเท่าเทียมระหว่างหญิงและชายมากพอกับนอร์เวย์
เชื่อได้ว่า
การเกณฑ์ทหารจะกลับมามีผลบังคับใช้ในยุโรปอีกหลายๆประเทศโดยเฉพาะฝรั่งเศสและเยอรมนี
เพราะนโยบายที่ก้าวร้าวของรัสเซียจนถึงขั้นประเมินว่าเป็นภัยคุกคามอย่างแท้จริง
บวกกับภัยคุกคามจากการก่อการร้ายที่นับวันจะเลวร้ายรับมือได้ยากยิ่งขึ้น
ทำให้เกิดความจำเป็นต้องเพิ่มกำลังพลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นี่คือกระแสหรือแนวโน้มที่เกิดขึ้นในยุโรป
ณ เวลานี้
.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น