26 กันยายน 2557

Kingdom be United : ในวันที่สก๊อตแลนด์ตัดสินอนาคต (ตอนที่ 2)

.

ในที่สุด การลงประชามติครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์เพื่อตัดสินอนาคตของสก๊อตแลนด์ก็ผ่านพ้นไปได้อย่างที่ผู้นำทั้งในลอนดอนและทั่วโลกรู้สึก “โล่งอก” ไปตามๆกัน ภายหลังจากที่ชาวสก๊อตสองล้านคนหรือร้อยละ 55.3 โหวต No ต้องการให้สก๊อตแลนด์ยังคงป็นส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักรร่วมกับอังกฤษ เวลล์และไอร์แลนด์เหนือต่อไป  ถือเป็นการความดับความฝันของบรรดาผู้นำและผู้สนับสนุน “Yes Scotland” ที่วาดหวังและวางแผนกำหนดการจะประกาศเอกราชจัดตั้งประเทศสก๊อตแลนด์อย่างเป็นทางการในวันที่ 24 มีนาคม 2016 อย่างสิ้นเชิง
ว่ากันว่า ความคิดความฝันของคนสก๊อต(ส่วนหนึ่ง)ที่ต้องการเป็นอิสระและเอกเทศมีมาตั้งแต่เริ่มแรกที่เข้าร่วมยูเนียนกับอังกฤษเมื่อ 307 ปีที่แล้วและยังสืบต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันอย่างไม่เสื่อมคลาย  จุดเริ่มต้นที่ถือเป็นจุดเปลี่ยนและนำมาสู่การลงประชามติในครั้งนี้เกิดขึ้นในปี 1997 เมื่อโทนี่ แบลร์สามารถก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีสังกัดพรรคแรงงานคนแรกในรอบ 18 ปี  พร้อมทั้งเปิดไฟเขียวให้มีการถ่ายโอนอำนาจ (devolution) ให้แก่สก๊อตแลนด์มากขึ้น เพราะคำนวณ(ผิดพลาด?)ว่าจะเป็นประโยชน์ต่อสหราชอาณาจักรมากกว่าผลเสียหาย
 
 
จากการถ่ายโอนอำนาจในการบริหารกิจการภายในให้แก่สก๊อตแลนด์มากขึ้น นำสู่การจัดตั้งรัฐสภาเป็นของตัวเองในปี 1999 (เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ 3 ศตวรรษ) จุดประกายความหวังให้แก่คนสก๊อตได้เชื่อมั่นว่าถึงเวลาแล้วที่สก๊อตแลนด์จะแยกมาตั้งเป็นประเทศใหม่  การเลือกตั้งครั้งล่าสุดในสก๊อตแลนด์เมื่อปี 2011 พรรคแห่งชาติสก๊อตแลนด์ (SNP) ซึ่งมีนโยบายหลักในการผลักดันเรื่องการลงประชามติชนะการเลือกตั้งได้ครองเสียงข้างมากเป็นครั้งแรก ในขณะที่ พรรคแรงงานพ่ายแพ้เป็นครั้งแรกเป็นครั้งแรกในรอบแปดทศวรรษ กลายเป็นแรงผลักดันทำให้รัฐบาลของนายดาวิด คาเมรอนต้องคิดหนัก และสุดท้ายก็เห็นชอบ(ในเดือนตุลาคม 2012)ให้มีการมีการประชามติที่มีผลผูกมัดตามรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 18 กันยายนที่ผ่านมา
การลงประชามติครั้งประวัติศาสตร์นี้ กลายเป็นประเด็นที่นานาประเทศให้ความสนใจติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะหวั่นเกรงว่าความสำเร็จของสก๊อตแลนด์จะกลายเป็น “ไวรัส” ที่แพร่กระจายไปยังประเทศอื่นๆและเป็นโมเดลที่จะกระตุ้นผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบเดียวกันทั่วโลก จึงไม่เป็นที่สงสัยว่า ทำไมผู้นำของหลายๆ ประเทศ โดยเฉพาะสเปน จีน แคนาดา ออสเตรเลีย สหรัฐฯ สหภาพยุโรป(อียู) อินเดีย ต่างร่วมใจกัน “แทรกแซง” แสดงท่าทีคัดค้านไม่เห็นด้วยกับการแยกตัวเป็นอิสระของสก๊อตแลนด์ในครั้งนี้อย่างออกนอกหน้า
 
 
           

21 กันยายน 2557

Kingdom be United : ในวันที่สก๊อตแลนด์ตัดสินอนาคต (ตอนที่ 1)

.
            ในที่สุด การลงประชามติครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์เมื่อวันที่ 18 กันยายนก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ภายหลังจากที่คนสก๊อตทั้งประเทศกว่า 3.6 ล้านได้เดินเข้าคูหาลงประชามติต่อประเด็นอนาคตของสก๊อตแลนด์ โดยร้อยละ 55 โหวต “No” ตัดสินใจที่จะให้สก๊อตแลนด์คงสถานะภาพเดิมและเป็นส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักรร่วมกับอังกฤษ เวลล์และไอร์แลนด์เหนือต่อไป  เมื่อเทียบกับร้อยละ 44 ที่โหวต Yes จนไม่สามารถทำให้สก๊อตแลนด์กลายเป็นประเทศอิสระได้


ถึงแม้ว่า การลงประชามติในครั้งนี้ จะถือเป็น “กิจการภายใน” ของสก๊อตแลนด์และสหราชอาณาจักร แต่ในทางปฏิบัติแล้ว ปรากฏว่า หลายๆประเทศมองว่า การลงประชามติตัดสินอนาคตของสก๊อตแลนด์ในครั้งนี้ ร้อน แรง ร้ายแรงและอ่อนไหวเกินกว่าที่จะปล่อยให้เป็นเรื่องของ “กิจการภายใน” เพียงอย่างเดียวได้      ด้วยเหตุผลละคนความหวั่นวิตกว่า ความสำเร็จของสก๊อตแลนด์ในครั้งนี้ อาจจะพัฒนากลายเป็น “สก๊อตแลนด์โมเดล” ที่ผลักดันหรือขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในภูมิภาคอื่นๆทั่วโลกตามไปด้วย เหมือนเช่นกรณีผลกระทบของ “อาหรับสปริง” ที่แพร่กระจายและลุกลามไปทั่วทั้งภูมิภาคตะวันออกในช่วงสามปีที่ผ่านมา

มอเตอร์ หรือ สติกเกอร์

เมื่อตอนที่ Real Madrid ทีมดังในสเปนตัดสินใจขาย Claude Makelele ให้กับทีม Chelsea แล้วซื้อ David Beckham มาแทนที่ในช่วงกลางปี 2003 ปรา...