ในที่สุด การลงประชามติครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์เมื่อวันที่ 18 กันยายนก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ภายหลังจากที่คนสก๊อตทั้งประเทศกว่า 3.6 ล้านได้เดินเข้าคูหาลงประชามติต่อประเด็นอนาคตของสก๊อตแลนด์ โดยร้อยละ 55 โหวต “No” ตัดสินใจที่จะให้สก๊อตแลนด์คงสถานะภาพเดิมและเป็นส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักรร่วมกับอังกฤษ เวลล์และไอร์แลนด์เหนือต่อไป เมื่อเทียบกับร้อยละ 44 ที่โหวต Yes จนไม่สามารถทำให้สก๊อตแลนด์กลายเป็นประเทศอิสระได้
ถึงแม้ว่า การลงประชามติในครั้งนี้ จะถือเป็น
“กิจการภายใน” ของสก๊อตแลนด์และสหราชอาณาจักร แต่ในทางปฏิบัติแล้ว ปรากฏว่า หลายๆประเทศมองว่า
การลงประชามติตัดสินอนาคตของสก๊อตแลนด์ในครั้งนี้ ร้อน แรง
ร้ายแรงและอ่อนไหวเกินกว่าที่จะปล่อยให้เป็นเรื่องของ “กิจการภายใน” เพียงอย่างเดียวได้
ด้วยเหตุผลละคนความหวั่นวิตกว่า ความสำเร็จของสก๊อตแลนด์ในครั้งนี้
อาจจะพัฒนากลายเป็น “สก๊อตแลนด์โมเดล” ที่ผลักดันหรือขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในภูมิภาคอื่นๆทั่วโลกตามไปด้วย
เหมือนเช่นกรณีผลกระทบของ “อาหรับสปริง”
ที่แพร่กระจายและลุกลามไปทั่วทั้งภูมิภาคตะวันออกในช่วงสามปีที่ผ่านมา
น่าสนใจว่า
ท่าทีของผู้นำของประเทศมหาอำนาจยักษ์ใหญ่ทั้งในระดับโลกและระดับภูมิภาค
ล้วนแล้วแต่สนับสนุนสถานะ “ยูเนียน” นั่นคือต้องการให้สก๊อตแลนด์ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักรเช่นเดิม
โดยสามารถพิจารณาแบ่งท่าทีของผู้นำทั่วโลกออกเป็นสองกลุ่มได้ดังนี้
กลุ่มแรก คือบรรดาผู้นำของประเทศที่ไม่ได้เผชิญกับปัญหาการแยกตัวภายใน แต่มีความจำเป็น(ทางการ
เมือง)ที่ต้องแสดงท่าทีออกไป ทั้งนี้ ในส่วนของผู้นำสหรัฐฯ
โดยประธานาธิบดีบารัค โอบาม่า
รวมทั้งอดีตประธานาธิบดีบิล คลินตันและนางฮิลลารี คลินตัน
ว่าที่ผู้สมัครประธานาธิบดีคนต่อไป (ซึ่งผู้นำทั้งสามล้วนแต่มีบรรพบุรุษสืบสายเลือดสก๊อตผสมอยู่ไม่มากก็น้อย)
ต่างก็แสดงจุดยืนอย่างค่อนข้างชัดเจนว่า ไม่ปรารถนาที่จะเห็น สก๊อตแลนด์แยกตัวออกมาจากสหราชอาณาจักร
ที่ดูเหมือนหนักแน่นและชัดเจนที่สุดจนสร้างความไม่พอใจให้กับผู้นำของสก๊อตแลนด์ก็คือท่าทีของผู้นำออสเตรเลีย
โดยนายกรัฐมนตรีโทนี่
แอ๊บบ็อต(ซึ่งเกิดในลอนดอนมีพ่อแม่เป็นอังกฤษ) ประกาศตรงๆเลยว่า ไม่ต้องการเห็นสหราชอาณา จักรกลายเป็น
“อาณาจักร” ที่ไม่เป็น “สหราช” และเชื่อว่าการแยกตัวเป็นสก๊อตแลนด์จะไม่ผลดีต่อโลกเลย
ซ้ำร้ายอาจจะเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มก่อการร้ายไปในตัวก็เป็นได้
เช่นเดียวกับท่าทีของคาร์ล บิลดท์
อดีตนายกรัฐมนตรีสวีเดนซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีต่าง ประเทศ
ที่กล่าวเตือนว่า สก๊อตแลนด์กำลังจะกลายเป็นเหมือนกรณี “บอลข่าน”
(ที่ทำให้อดีตยูโกสลาเวียต้องแตกและแยกตัวออกเป็นประเทศเกิดใหม่ถึง 7 ประเทศ) และอาจจะทำให้กรณีของไอร์แลนด์เหนือกลายเป็นปัญหาร้อนแรงขึ้นมาในอนาคตก็เป็นได้
ในขณะที่ประธานคณะกรรมาธิการสหภาพยุโรป(อียู)
ก็เคยส่งสัญญาณเตือนอย่างชัดเจนให้สก๊อตแลนด์ได้พึงตระหนักว่า เส้นทางในการเดินเข้าสู่สมาชิกภาพของอียู(ในกรณีที่แยกตัวเป็นประเทศใหม่)
จะไม่ได้ปูด้วยดอกกุหลาบและไม่มีหลักประกันที่แน่นอนใดๆ
ด้วยฐานะความเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดในสหภาพยุโรป
ท่าทีของเยอรมนีจึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่า ในด้านหนึ่ง รัฐบาลเยอรมนีจะกังวลและให้ความสำคัญต่อปัญหาในยูเครนมากเป็นอันดับแรกสุด
และตัวนายกรัฐมนตรีอังเกลา แมร์เคิลเองก็พยายามวางตัวให้เป็นกลางที่สุดต่อกรณีของสก๊อตแลนด์
แต่ท่าทีของรัฐบาล(ที่สะท้อนผ่านทางระดับรัฐมนตรี) ดูเหมือนต้องการเห็น
“สถานะเดิม” เพราะมิฉะนั้นแล้ว “สก๊อตลโมเด็ล” จะกลายเป็นเหมือน “ไวรัส”
ที่แพร่กระจายความยุ่งยากไปยังส่วนอื่นๆของยุโรป
และจะสร้างจะปัญหาที่หนักหนาให้แก่สหภาพยุโรปในอนาคตมากยิ่งขึ้น
แม้กระทั่ง ประมุขแห่งศาสนจักรอย่างสมเด็จพระสันตปาปาฟรานซิสก็ยังได้สื่อสารแสดงออกซึ่งความวิตกกังวลต่อการแบ่งแยกแตกสลายของประเทศใดประเทศหนึ่ง
ที่อาจตีความได้ว่า พระองค์ไม่สนับสนุนให้สก๊อตแลนด์(รวมทั้งกรณีของสเปนและประเทศอื่นๆ)แยกตัวเป็นประเทศใหม่
กลุ่มที่สอง
ได้แก่ประเทศที่กำลังเผชิญกับปัญหาการแบ่งแยกดินแดน ในยุโรปเอง สเปนถือเป็นประเทศที่อ่อนไหวที่สุด
เพราะกรณีปัญหาแคว้นคาตาโลเนียและแคว้นบาสค์ที่คุกรุ่นมานาน พร้อมที่จะเจริญรอยตามสก๊อตแลนด์และประกาศเป็นอิสระแยก
ออกมาจากสเปน ด้วยเหตุนี้ นายกรัฐมนตรีมาเรียโน ราฆอยจึงต้องกล่าวเตือนว่า สก๊อตแลนด์จะไม่มีวันจะได้สมาชิกภาพอียูโดยอัตโนมัติ
และประกาศให้รับรู้อย่างชัดเจนว่า
รัฐบาลสเปนจะไม่มีวันเปิดไฟเขียวให้มีการลงประชามติเพื่อแยกตัวเป็นอิสระเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
(ทั้งนี้ คาตาโลเนียกำหนดที่จะให้มีการลงประชามติในวันที่ 9 พฤศจิกายนนี้)
ในเอเชียเอง อาจกล่าวได้ว่า
จีนต้องประสบปัญหาขบวนการแบ่งแยกดินแดนหรือขอเป็นอิสระจากรัฐบาลปักกิ่งมากที่สุดประเทศหนึ่งโดยเฉพาะในกรณีธิเบต
มณฑลซินเกียงและฮ่องกง (ที่กำลังร้อนแรงในขณะนี้)
นายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียงได้กล่าวแสดงจุดยืนในระหว่างการเยือนลอนดอนเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาว่า
รัฐบาลจีนประสงค์ที่จะเห็นสหราชอาณาจักรยังคงฐานะความเป็น “ยูเนียน” เหมือนเช่นเดิม
การแสดงท่าทีที่ค่อนข้างชัดเจนดังกล่าว ไม่ได้เป็นการพูดเพียงเพื่อเอาใจผู้นำอังกฤษเท่านั้น
แต่เหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด เป็นเรื่องความจำเป็นทางการเมืองของจีนโดยตรง
ทางด้านอินเดีย ซึ่งเคยประสบปัญหาการแยกตัวเป็นอิสระของปากีสถานและบังคลาเทศหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แน่นอนที่สุดว่า ไม่ต้องการให้ประวัติศาสตร์มาซ้ำรอยเกิดขึ้นอีกกับกรณีของแคชเมียร์และอีกหลายๆ
แคว้น ถึงแม้ว่า รัฐบาลอินเดียจะเคยให้คำมั่นสัญญาตั้งแต่ปี 1948 ว่าจะอนุญาตให้แคชเมียร์ลงประชามติตัดสินใจ
แต่เวลาผ่านมาจวบจนถึงปัจจุบันกว่า 66 ปี
ไม่มีผู้นำอินเดียไหนที่รักษาคำสัญญานั้น เพราะการอนุญาตให้ลงประชามตินั้น มีความเสี่ยงทางการเมืองที่สูงมาก
รัฐบาลอินเดียหวั่นวิตกว่า “สกอตแลนด์โมเดล” จะจุดเชื้อไฟให้แคชเมียร์ลุกฮือเอาเยี่ยงขึ้นมาจนยากจะเยียวยาได้
เพราะฉะนั้น จึงไม่น่าแปลกใจว่ารัฐมนตรีต่างประเทศจะหลุดคำพูดไม่เห็นด้วยกับการแยกตัวเป็นประเทศอิสระ
เพราะถือเป็นภารกิจที่ “พระเจ้าห้าม” ไว้
ข้ามฟากไปไกลถึงแคนาดา
ซึ่งประสบกับปัญหากรณีรัฐควิเบก
(ซึ่งคนส่วนใหญ่มีเชื้อสายฝรั่งเศส) เรียก ร้องต้องการความเป็นอิสระแยกตัวออกมา
หลังจากเพียงพยายามในการลงประชามติมาแล้วสองครั้งในปี 1980 1995
และหากสก๊อตแลนด์ประสบความสำเร็จแยกตัวออกมาได้
รัฐบาลแคนาดาย่อมหวั่นวิตกเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวว่า การลงประชามติครั้งที่ 3
อาจจะจุดประกายให้จังหวัดที่ใหญ่ที่สุดนี้ขึ้นครั้งหนึ่งก็เป็นได้
น่าสนใจว่า
ในบรรดาประเทศต่างๆทั่วโลกที่มีปฏิกิริยาต่อการลงประชามติของสก๊อตแลนด์ในครั้งนี้
ดูเหมือนว่าผู้นำรัสเซีย จะเป็นผู้นำต่างชาติเพียงคนเดียวที่(เชื่อว่า)มีท่าทีสนับสนุนการเป็นอิสระของสก๊อตแลนด์
จนได้รับชื่นชมจากผู้นำของสก๊อตแลนด์แบบเต็มๆ ในด้านหนึ่ง ถึงแม้ว่า
ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินจะออกตัวว่าเคารพในสิ่งที่เป็น “กิจการภายใน”
ของสหราชอาณาจักร แต่ในส่วนอื่นๆของรัฐบาลรัสเซียกลับมีท่าทีออกมาสนับสนุนการแยกตัวเป็นอิสระของสก๊อตแลนด์
จนถูกตีความว่านี่คือสิ่งที่สะท้อนถึงท่าทีของผู้นำของรัสเซียอย่างแท้จริง
เหตุผลสำคัญ ก็เนื่องมาจากว่า “สก๊อตแลนด์โมเดล” จะช่วยเพิ่มความชอบธรรมให้กับการลงประชามติของไครเมียเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
ซึ่งเสียงส่วนใหญ่ต้องการจะแยกตัวไครเมียออกมาจากยูเครนและรวมเข้ากับรัสเซีย
แต่ถูกปฏิเสธจากสหรัฐฯและอียู ที่ไม่รับรองการลงประชามติในครั้งนี้
.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น