ในที่สุด การลงประชามติครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์เพื่อตัดสินอนาคตของสก๊อตแลนด์ก็ผ่านพ้นไปได้อย่างที่ผู้นำทั้งในลอนดอนและทั่วโลกรู้สึก
“โล่งอก” ไปตามๆกัน ภายหลังจากที่ชาวสก๊อตสองล้านคนหรือร้อยละ 55.3 โหวต No ต้องการให้สก๊อตแลนด์ยังคงป็นส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักรร่วมกับอังกฤษ
เวลล์และไอร์แลนด์เหนือต่อไป
ถือเป็นการความดับความฝันของบรรดาผู้นำและผู้สนับสนุน “Yes
Scotland” ที่วาดหวังและวางแผนกำหนดการจะประกาศเอกราชจัดตั้งประเทศสก๊อตแลนด์อย่างเป็นทางการในวันที่
24 มีนาคม 2016 อย่างสิ้นเชิง
ว่ากันว่า
ความคิดความฝันของคนสก๊อต(ส่วนหนึ่ง)ที่ต้องการเป็นอิสระและเอกเทศมีมาตั้งแต่เริ่มแรกที่เข้าร่วมยูเนียนกับอังกฤษเมื่อ
307 ปีที่แล้วและยังสืบต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันอย่างไม่เสื่อมคลาย จุดเริ่มต้นที่ถือเป็นจุดเปลี่ยนและนำมาสู่การลงประชามติในครั้งนี้เกิดขึ้นในปี
1997 เมื่อโทนี่ แบลร์สามารถก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีสังกัดพรรคแรงงานคนแรกในรอบ
18 ปี พร้อมทั้งเปิดไฟเขียวให้มีการถ่ายโอนอำนาจ (devolution) ให้แก่สก๊อตแลนด์มากขึ้น เพราะคำนวณ(ผิดพลาด?)ว่าจะเป็นประโยชน์ต่อสหราชอาณาจักรมากกว่าผลเสียหาย
จากการถ่ายโอนอำนาจในการบริหารกิจการภายในให้แก่สก๊อตแลนด์มากขึ้น
นำสู่การจัดตั้งรัฐสภาเป็นของตัวเองในปี 1999
(เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ 3 ศตวรรษ)
จุดประกายความหวังให้แก่คนสก๊อตได้เชื่อมั่นว่าถึงเวลาแล้วที่สก๊อตแลนด์จะแยกมาตั้งเป็นประเทศใหม่ การเลือกตั้งครั้งล่าสุดในสก๊อตแลนด์เมื่อปี
2011 พรรคแห่งชาติสก๊อตแลนด์ (SNP) ซึ่งมีนโยบายหลักในการผลักดันเรื่องการลงประชามติชนะการเลือกตั้งได้ครองเสียงข้างมากเป็นครั้งแรก
ในขณะที่ พรรคแรงงานพ่ายแพ้เป็นครั้งแรกเป็นครั้งแรกในรอบแปดทศวรรษ
กลายเป็นแรงผลักดันทำให้รัฐบาลของนายดาวิด คาเมรอนต้องคิดหนัก และสุดท้ายก็เห็นชอบ(ในเดือนตุลาคม
2012)ให้มีการมีการประชามติที่มีผลผูกมัดตามรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่
18 กันยายนที่ผ่านมา
การลงประชามติครั้งประวัติศาสตร์นี้
กลายเป็นประเด็นที่นานาประเทศให้ความสนใจติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะหวั่นเกรงว่าความสำเร็จของสก๊อตแลนด์จะกลายเป็น
“ไวรัส” ที่แพร่กระจายไปยังประเทศอื่นๆและเป็นโมเดลที่จะกระตุ้นผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบเดียวกันทั่วโลก
จึงไม่เป็นที่สงสัยว่า ทำไมผู้นำของหลายๆ ประเทศ โดยเฉพาะสเปน จีน แคนาดา
ออสเตรเลีย สหรัฐฯ สหภาพยุโรป(อียู) อินเดีย ต่างร่วมใจกัน “แทรกแซง”
แสดงท่าทีคัดค้านไม่เห็นด้วยกับการแยกตัวเป็นอิสระของสก๊อตแลนด์ในครั้งนี้อย่างออกนอกหน้า
บทบาทของผู้นำหลายๆคนล้วนแต่มีส่วนสำคัญต่อการลงประชามติของสก๊อตแลนด์ในครั้งนี้
คนแรกสุดที่จะต้องกล่าวถึงคือเดวิด คาเมรอนในฐานะนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร
ที่เกี่ยวข้องและมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบโดยตรง
ตลอดระยะเวลาเกือบสองปีจนถึงวันลงประชามติ นอกเหนือจากจะไม่ได้รับคำชื่นชมหรือเครดิตใดๆแล้วยังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในความผิดพลาดหลายๆประเด็น
ดังนี้
หนึ่ง การยินยอมไฟเขียวให้มีการลงประชามติตั้งแต่แรกถือเป็นความผิดพลาดแรกสุดและสำคัญสุด
ทั้งๆที่หลายๆฝ่ายเชื่อว่าสามารถหลีกเลี่ยงหรือซื้อเวลาได้ (ซึ่งแตกต่างจากผู้นำสเปนที่ยืนยันหนักแน่นว่าจะไม่มีทางยินยอมให้มีการลงประชามติแยกตัวเป็นอิสระเกิดขึ้นในสเปนอย่างแน่นอนเด็ดขาด)
หรือควรเปิดโอกาสให้ส่วนอื่นๆของสหราชอาณาจักร(คืออังกฤษ
เวลล์และไอร์แลนด์เหนือ) มีลงประชามติร่วมตัดสินใจก่อนด้วย
(ซึ่งผลสำรวจล่าสุดก่อนถึงวันลงประชามติ ปรากฏว่า ร้อยละ 53 ของไม่ต้องการให้สก๊อตแลนด์เป็นอิสระแยกตัวออกไป
เมื่อเทียบกับร้อยละ 21 ที่สนับสนุน)
ทั้งนี้ เดวิด คาเมรอนอ้างเหตุผลความจำเป็นว่า
เป็นเรื่องยากที่จะหลีกเลี่ยงได้ เพราะพรรค SNP
ชนะการเลือกตั้งครั้งล่าสุดในสก๊อตแลนด์ได้ครองเสียงข้างมากเป็นครั้งแรกด้วยการหาเสียงชูนโนบาย(จะ)ผลักดันให้มีการลงประชามติ
ดังนั้นจึงต้องดำเนินการตามพันธะสัญญาที่รับปากกับประชาชน) ประการต่อมา
ผู้นำอังกฤษตัดสินใจบนพื้นฐานข้อมูลของผลโพลล์ในช่วงปี 2012
ซึ่งพบว่า คนสก๊อตเพียงแค่หนึ่งในสามที่สนับสนุนการแยกเป็นอิสระ ดังนั้น
จึงเชื่อมั่น(และคาดการณ์ผิด)ว่า การลงประชามติจะไม่ร้อนแรงหรืออ่อนไหวจนถึงขั้นนำไปสู่ภาวะ
“แผ่นดินไหว” ทางการเมืองในอนาคตได้อย่างแน่นอน ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว
กลับกลายเป็นวิกฤติทางการเมืองและวิกฤติรัฐธรรมนูที่อ่อนไหวที่สุดนับตั้งแต่ไอร์แลนด์แยกตัวออกไปในปี
1921
สอง ความผิดพลาดประการต่อมาก็คือการยินยอมโอนอ่อนให้ฝ่ายผู้นำสก๊อตแลนด์เป็นผู้เลือกกำหนดวันลงประชามติตามความต้องการ
เชื่อกันว่า ปี “2014” ถูกเลือกด้วยเหตุผลทางจิตวิทยาเป็นสำคัญ เพราะเป็นปีครบรอบ 700 ปีของศึก
“บันน็อคเบิร์น” ที่กองทัพทหารสก๊อต(เคย)ชนะกองทัพอังกฤษได้เป็นครั้งแรก ดังนั้นจึงสามารถนำมาย้ำเตือนให้ชาวสก๊อตในรุ่นปัจจุบันได้ระลึกถึงวีรกรรมของบรรพบุรุษที่เคยต่อสู้หลั่งเลือดและชีวิตเพื่อความเป็นอิสระและ
เอกราชของดินแดนที่เรียก ว่า “สก๊อตแลนด์” ก่อนที่จะเดินเข้าคูหาด้วยหัวใจรักชาติเต็มเปี่ยมเพื่อโหวต
“Yes” ให้สก๊อตแลนด์เป็นอิสระจากสหราชอาณาจักร นอกจากนี้ การเลือกปี 2014 แทนที่จะเป็น 2013 ตามความต้องการของเดวิด คาเมรอน
ทำให้ฝ่าย Yes มีระยะเวลาในการรณรงค์หาเสียงมากขึ้นและมีโอกาสมากขึ้นตามไปด้วย
สาม
การยินยอมให้มีการปรับลดอายุของผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงให้เหลือ 16 ปี ทั้งๆที่ในการเลือกตั้งทั่วไปแล้ว ผู้มีสิทธิต้องมีอายุตั้งแต่ 18
ปีขึ้นไป ถึงแม้ว่ากลุ่มคนรุ่นใหม่ในช่วงอายุ 16-17 ปีซึ่งส่วนใหญ่สนับสนุนการแยกตัว จะมีสัดส่วนเพียงแค่ 3 เปอร์เซ็นต์ แต่ในสถานการณ์ที่คะแนนสูสี
คนกลุ่มใหม่ที่เพิ่มมานี้อาจจะเป็นปัจจัยชี้ขาดผลแพ้ชนะก็ได้
สี่ โดยธรรมชาติแล้ว
เชื่อกันว่า คนเราชอบตอบ Yes มากกว่า No หรือในคำถามใดๆ ก็ตาม
ลำดับของคำตอบ Yes มักจะมาก่อน No เสมอ
จึงสามารถในการรณรงค์โน้มน้าวคนได้ง่ายกว่า เพราะฉะนั้น แทนที่เดวิด คาเมรอนจะผลักดันให้คนสก๊อตต้องตัดสินใจเลือกตอบในแนวคำถามที่ว่า
“Should Scotland remain part of the United Kingdom?” (สก๊อตแลนด์ควรจะยังคงอยู่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักรหรือไม่)
ซึ่งจะเป็นคำถามที่เอื้อต่อความเป็นยูเนียน แต่ในความเป็นจริง กลับกลายเป็นคำถามในบัตรเลือกตั้งว่า
“Should Scotland be an independent country?” (สก๊อตแลนด์ควรจะเป็นประเทศอิสระหรือไม่)
ซึ่งมีลักษณะที่เอื้อให้กับฝ่ายสก๊อตแลนด์มากกว่า
ห้า
ไม่น่าเชื่อว่า เดวิด คาเมรอนจะทำผิดพลาดอีกครั้ง ภายหลังจากที่เปิดเผยต่อสาธารณชนถึงความรู้สึกของสมเด็จสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เมื่อทราบผลการลงประชามติอย่างเป็นทางการ ซึ่งในธรรมเนียมปฏิบัติแล้ว
จะต้องเก็บเป็นความลับห้ามเผยแพร่โดยเด็ดขาด
ตลอดระยะเวลานับตั้งแต่ปลายปี
2012 เป็นต้นมา ดูเหมือนว่า
คะแนนของฝ่ายสนับสนุน No จะทิ้งห่างฝ่าย Yes มาโดยตลอด ผลการสำรวจในเดือนสิงหาคม ช่องว่างของคะแนนนิยมทิ้งห่างถึง 22
จุดอย่างน่าสบายใจ จนกระทั่ง ผลสำรวจที่น่าเชื่อถือของ YouGov
ปรากฏเมื่อวันที่ 7 กันยายน ส่งผลให้เกิด
“กระแสคลื่นแห่งความตกใจ” ไปทั่วเกาะอังกฤษ เพราะเป็นครั้งแรกที่ฝ่าย Yes มีคะแนนนำในสัดส่วน 51 ต่อ 49 ด้วยเหตุนี้ ท่าทีของผู้นำคนสำคัญๆ สามสี่คนในความพยายามช่วงโค้งนาทีสุดท้ายเพื่อเซฟ
“ยูเนียน” จึงปรากฏต่อสาธารณชนอย่างน่าสนใจ ดังนี้
หนึ่งคือท่าทีของผู้นำสหรัฐฯซึ่งถือเป็นพันธมิตรที่สำคัญที่สุดและมีความเกี่ยวพันเกี่ยวโยงทางสายเลือดกับสหราชอาณาจักรอย่างใกล้ชิด ท่าทีของ “ทำเนียบขาว” ยืนหยัดมาตลอดว่าตั้งแต่แรกในปี
2012 จนถึงกลางปี 2014
ว่าสหรัฐฯจะดำรงความเป็นกลาง
ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวในกิจการภายในของสก๊อตแลนด์ในครั้งนี้ แต่เมื่อเข้าสู่เดือนมิถุนายนของปีนี้
ท่าทีของผู้นำสหรัฐฯก็เริ่มเปลี่ยนแปลงและเริ่มต้น “แทรกแซง”
สามผู้นำคนสำคัญซึ่งล้วนแต่มีบรรพบุรุษสืบสายเลือดสก๊อตผสมอยู่ไม่มากก็น้อยอย่างประธานาธิบดีบารัค โอบาม่า
อดีตประธานาธิบดีบิล คลินตันและนางฮิลลารี คลินตัน
ว่าที่ผู้สมัครประธานาธิบดีคนต่อไป
ต่างก็ร่วมกันแสดงจุดยืนอย่างค่อนข้างชัดเจนในช่วงเวลาเดียวกัน
ปรารถนาที่จะเห็นสก๊อตแลนด์ยังคงอยู่ร่วมชายคา สหราชอาณาจักรต่อไป
โดยเฉพาะโทนเสียงของฮิลลารี คลินตันที่ชัดเจน(กว่า)ว่า ทั้งลอนดอนและเอดินเบิร์กจะสูญเสียด้วยกันทั้งคู่หากสก๊อตแลนด์แยกตัวออกไป
แต่เมื่อสถานการณ์พลิกผันในช่วงโค้งสองอาทิตย์สุดท้ายที่ฝ่าย Yes เริ่มมีคะแนนนำเป็นครั้งแรก ถือเป็นสัญญาณ “เตือนภัย”
ที่ส่งไกลไปถึงฝั่งอเมริกา จนบารัค
โอบาม่าและบิล คลินตันต้องตัดสินใจ “แทรกแซง” ในช่วงนาทีสุดท้ายอีกครั้งหนึ่ง
เพราะเชื่อว่า อาจจะเกิดความยุ่งเหยิงและหายนะไปทั่วโลกหากสก๊อตแลนด์แยกตัวออกมา
บารัค โอบาม่าได้ทวีตข้อความสั้นๆลงท้ายชื่อ “bo” เพื่อสื่อสารตรงๆไปยังชาวสก๊อตตอกย้ำถึงท่าทีเดิมที่ปรารถจะเห็นสหราชอาณาจักรในสถานะภาพเดิม
แต่ความแตกต่างก็คือ ในครั้งแรกเมื่อเดือนมิถุนายน
โอบาม่ายึดมั่นในหลักการว่า
อนาคตของสก๊อตแลนด์ต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคนสก๊อต(เท่านั้น)
แต่ในครั้งล่าสุดนี้ไม่มีการกล่าวถึงหลักการนี้ กลับเลือกที่จะตอกย้ำว่า
สหรัฐฯและสหราชอาณาจักร(ที่รวมสก๊อตแลนด์)
เป็นพันธมิตรสำคัญที่มีหน้าที่ร่วมกันปกป้องโลกที่ยุ่งเหยิงไร้เสถียรภาพเช่นนี้ ซึ่งอาจจะตีความได้ว่า
การลงประชามติของสก๊อตแลนด์ในครั้งนี้ ไม่อาจถือเป็น “กิจการภายใน”
เฉพาะสำหรับคนสก๊อตเท่านั้น
ในขณะที่บิล
คลินตันซึ่งเคยได้รับเครดิตในบทบาทที่ช่วยเซฟแคนาดาให้รอดพ้นจากการสูญเสียควิเบกจากการลงประชามติเมื่อปี
1995 อย่างเฉียดฉิว
ก็สร้างประวัติศาสตร์อีกครั้งหนึ่งให้กับตัวเอง
ในบทบาทที่เรียกว่าช่วยเซฟยูเนียนของสหราชอาณาจักร
ด้วยฐานะเป็นอดีตประธานาธิบดีที่ไม่ได้มีข้อจำกัดเหมือนผู้นำคนปัจจุบัน บิล คลินตันซึ่งเพิ่งได้ฐานะ “คุณตา” สดๆร้อนๆ
จึงสามารถสื่อสารด้วยข้อความที่ตรงเป้าและชัดเจน(ยิ่งกว่าโอบาม่า)โดยไม่ต้องตีความอีกว่า
“I hope the Scots people will vote to remain in the UK”
ด้วยการแจงเหตุผล 4 ข้อที่ทำให้คนสก๊อตได้ไตร่ตรองถึงอนาคตที่ไม่แน่แน่นอนและมีความเสี่ยงรอท่าอยู่หากแยกตัวออกไป
คำเตือนของอดีตผู้นำสหรัฐฯคนนี้มีส่วนสำคัญที่ทำให้คนสก๊อตเทคะแนนเสียงสนับสนุนให้สก๊อตแลนด์จะคงอยู่ในชายคาที่เรียกว่า
UK ต่อไป
สองคือท่าทีของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ถึงแม้กรณีสก๊อตแลนด์จะเป็นวิกฤติที่อ่อนไหวที่สุดในรอบศตวรรษ
แต่ด้วยฐานะความเป็นประมุขแห่งรัฐทำให้พระองค์ต้องดำรงความเป็นกลางและอยู่เหนือการเมืองอย่างเคร่งครัด
ไม่สามารถแสดงออกซึ่งความคิดเห็นที่โน้มเอียงไปในทางใดทางหนึ่งได้ และไม่ปรากฏว่า พระองค์มีพระราชดำรัสหรือแถลง
การณ์อย่างเป็นทางการใดๆเลยต่อการลงประชามติในครั้งนี้
ทั้งนี้
นอกเหนือจากฐานะความเป็นประมุขแห่งรัฐที่เชื่อมโยงทำให้พระองค์เกี่ยวข้องกับสก๊อตแลนด์โดยตรงแล้ว
พระองค์ยังมีความผูกพันกับสก๊อตแลนด์ในหลายๆด้าน พระองค์มีเลือดเนื้อเชื้อไขสก๊อต เพราะสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ
พระราชชนนีทรงสืบเชื้อสายมาจากสก๊อตแลนด์โดยตรง เจ้าหญิงมาร์กาเรต
พระขนิษฐาหนึ่งเดียวของพระองค์ประสูตรใน สก๊อตแลนด์ นอกจากนี้ ในช่วงฤดูร้อนของทุกๆปี พระองค์จะเสด็จไปประทับ
ณ ปราสาทบัลมอรัลในสก๊อตแลนด์ ซึ่งเปรียบเสมือนเป็น “บ้านหลังที่สอง” ของพระองค์ สะท้อนให้เห็นว่า พระองค์มีความผูกพันกับสก๊อตแลนด์อย่างลึกล้ำมากเกินกว่าที่ใครๆจะเข้าใจได้อย่างง่ายๆ ด้วยเหตุนี้
การสูญเสียสก๊อตแลนด์จึงเป็นสิ่งที่ยากจะอธิบายได้
จนกระทั่ง
ผลสำรวจของ YouGov ดังกล่าวกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สั่นสะเทือนทั้ง
“บ้านเลขที่ 10 ถนนดาวน์นิ่งสตรีท” และ
“พระราชวังบักกิ้งแฮม”
สื่อในเกาะอังกฤษหลายๆฉบับรายงานตรงกันว่า พระองค์ทรงอยู่ในภาวะที่ “วิตกกังวล”
อย่างลึกๆ และหวั่นเกรงว่า สหราชอาณาจักรที่ดำรงอยู่มาได้ยืนนานกว่า
307 ปีจะต้องถึงวันที่ สก๊อตแลนด์เดินแยกทางออกไปในยุคของพระองค์
การที่หนังสือพิมพ์ The Daily Mail (ฉบับวันที่ 8
กันยายน) พาดหัวข่าวหน้าปกว่า “Queen’s Fear over Break Up
of Britain” สะท้อนให้เห็นข้อเท็จจริงนี้ไม่น้อย
ว่ากันว่า
พระองค์กำลังอยู่ในช่วงการตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดนับตั้งแต่ขึ้นครองราชย์เมื่อปี
1953 เกี่ยวกับอนาคตของสก๊อตแลนด์ หนังสือพิมพ์ The Belfast Telegraph ถึงกับตั้งคำถามในทำนองว่า
ถูกต้องหรือไม่
ที่จะให้พระองค์ดำรงความเป็นกลางและอยู่เหนือการเมืองอย่างเคร่งครัด ในสถานการณ์ที่ราชอาณาจักรกำลังเผชิญกับการแตกแยกเป็นสองประเทศ
ในขณะที่ The Telegraph พยายามชี้ให้เห็นว่า
กรณีสก๊อตแลนด์นี้ไม่ได้เป็นเรื่องของการเมืองหรือพรรคการเมืองแต่เป็นเรื่องของบ้านเมืองเรื่องความเป็นปึกแผ่นของสหราชอาณาจักรที่สำคัญที่สุด
ในที่สุด
วันอาทิตย์ที่ 14 กันยายนก็กลายเป็นวันสำคัญในประวัติศาสตร์ของสหราชอาณาจักรอีกครั้งหนึ่ง
(นอกเหนือจากปี 1977) เมื่อพระองค์ได้แสดงความคิดเห็นสั้นๆ อย่างไม่เป็นทางการในเรื่องการลงประชามติเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวให้กับพสกนิกรกลุ่มเล็กๆ
ที่รออยู่หน้าโบสต์บริเวณปราสาทบัลมอรัลภายหลังเสร็จพิธีนมัสการทางศาสนาคริสต์ ว่า “Well, I hope people will think very carefully about the
future” จนฝ่ายสนับสนุนโหวต No ตีความและเชื่อว่า
พระองค์ปรารถนาจะให้สก๊อตแลนด์ยังคงอยู่ภายใต้ชายคาของสหราชอาณาจักรต่อไป(?)
สามคือท่าทีของอดีตนายกรัฐมนตรีกอร์ดอน
บราวน์ที่สืบทอดตำแหน่งต่อจากโทนี่ แบลร์ในปี 2007 ก่อนที่จะสูญเสียให้แก่เดวิด
คาเมรอนในปี 2010 และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ก็หายเข้ากลีบเมฆแทบจะไม่ปรากฏบทบาทใดๆในฐานะและบทบาทของส.ส.เลย
(ยิ่งไปกว่านั้น ภาพพจน์ของทั้งกอร์ดอน บราวน์และโทนี่ แบลร์ ก็ดูย่ำแย่อย่างมาก
ภายหลังจากไม่ได้รับเชิญให้เป็นแขกเข้าร่วมในพิธีอภิเษกสมรสของเจ้าฟ้าชายวิลเลี่ยมและแคเธอรีน
มิดเดิลตันเมื่อปี 2011 ทั้งๆที่มีฐานะเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศ)
กอร์ดอน บราวน์ตัดสินใจเข้าร่วมในการรณรงค์โน้มน้าวให้คนสก๊อตตัดสินใจร่วม
“ยูเนี่ยน” จมหัวจมท้ายกับสหราชอาณาจักรต่อไป ภายหลังจากได้รับการร้องขอจากเดวิด
คาเมรอนที่ไม่มีทางเลือกอื่น ทั้งๆที่อยู่คนละพรรค เพราะกอร์ดอน
บราวน์คือผู้นำที่มีบารมีในสก๊อตแลนด์มากที่สุด
และสก๊อตแลนด์ก็เป็นเขตอิทธิพลของพรรคแรงงานผูกขาดติดต่อกันมาหลายทศวรรษ
อย่างชนิดที่พรรคอนุรักษ์นิยมของเดวิด คาเมรอนไม่สามารถเจาะได้เลย
ว่ากันว่า
การกล่าวสุนทรพจน์ที่ทรงพลังในวันสุกดิบสุดท้ายโค้งสุดท้าย กลายเป็นจุดชี้ขาดที่ทำให้เกิดผลแพ้ชนะแตกต่างกันถึง
10 จุด ส่งผลทำให้อดีตนายกรัฐมนตรีที่ได้ชื่อว่า “ยอดแย่”
ที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์นับตั้งแต่หลังสงครามโลกเป็นต้นมาคนนี้
พลิกกลับกลายเป็นฮีโร่ของประเทศ
ได้รับเครดิตอย่างมากๆในการมีส่วนสำคัญช่วยเซฟชีวิตและรักษา “ยูเนียน” ของสหราชอาณาจักรให้คงเดิมต่อไป
โจทย์ใหญ่สองข้อนับตั้งแต่บัดนี้ก็คือว่า
รัฐบาลสหราชอาณาจักรจะยินยอมถ่ายโอนอำนาจการบริหารภายในให้แก่ สก๊อตแลนด์ (ตามหลัก
One Kingdom,
Two Nations) เพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหน
และจะยังคงยืนยันความคิดเดิมอยู่อีกหรือไม่ที่จะเดินหน้าให้มีการลงประชามติตัดสินอนาคตว่า
สหราชอาณาจักรจะยังอยู่ร่วมเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรปหรือถอนตัวออกมา เพราะดูเหมือนคำว่า “ประชามติ” ได้กลายเป็นของ
“แสลงทางการเมือง” สำหรับผู้นำไปแล้ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น