20 มกราคม 2554

ปืนใหญ่ไม่มีหัว อาร์เซนัลไม่มีแชมป์

.



       ภายใต้การคุมทีมของอาร์เซน เวงเกอร์  อาร์เซนัล ทีมยักษ์ใหญ่แห่งลอนดอนกลายเป็นทีมที่มีเสน่ห์เหลือหลาย ทั้งในเรื่องของสไตล์และปรัชญา
       อาร์เซนัลได้รับการยกย่องว่าเป็นทีมที่เล่นได้อย่างสวยงามมีชีวิตชีวา   เช่นเดียวกับ
บาร์เซโลน่า สร้างประวัติศาสตร์ในหลายๆหน้าของวงการฟุตบอลอังกฤษ จนเวงเกอร์ได้รับการโหวตให้เป็นยอดผู้จัดการทีมแห่งทศวรรษ

อาร์เซน เวงเกอร์ : สุดยอดผู้จัดการทีมที่
ยิ่งใหญ่ที่สุดของสโมสร


       แต่....คลาสความยิ่งใหญ่ของทีมๆหนึ่งวัดกันด้วยตำแหน่งแชมป์เป็นหลัก เป็นหลัก
การง่ายๆ ที่คนในวงการยึดถือปฏิบัติ 
       อาร์เซนัลในปัจจุบันก็ไม่ต่างไปจากสภาพการณ์ "สวยแต่รูปจูบไม่หอม" เพราะในรอบ 5 ฤดูกาลที่ผ่านมา อาร์เซนัลล้มเหลวไม่สามารถคว้าแชมป์ใดๆ ได้เลย  ครั้งสุดท้ายก็คือการคว้าแชมป์เอฟเอคัพในเดือนพฤษภาคม 2005 ซึ่งเป็นตำแหน่งแชมป์ที่ "เล็ก" เกินไปสำหรับ
คลาสของอาร์เซนัล
       ไม่ว่าตัวเลขบัญชีจะสวยหรูทำกำไรแค่ไหน ไม่ว่าสนามเอมิเรสต์แห่งใหม่จะสวยงามใหญ่โตแค่ไหน ไม่ว่าสไตล์การเล่นจะสวยงามน่ายกย่องแค่ไหน หรือว่าอาร์เซน เวงเกอร์จะได้ตำแหน่งผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมแห่งศตวรรษอีกตำแหน่งหนึ่งก็ตาม  แต่สิ่งเหล่านี้ไม่มีวันเพียงพอและสำคัญเท่ากับตำแหน่งแชมป์เปี้ยน โดยเฉพาะถ้วยพรีเมียร์ลีกและถ้วยยูเอฟ่าแชมป์เปี้ยนลีก
          เพราะความยิ่งใหญ่ของทีมนั้น วัดกันด้วยตำแหน่งแชมป์เท่านั้น ประวัติศาสตร์มีพื้นที่เฉพาะให้กับทีมยิ่งใหญ่ที่มีตำแหน่งแชมป์เท่านั้น และจะเป็นที่จดจำของผู้คน
เข้าทำนอง "มีแชมป์เขานับว่าพี่" อย่างไงอย่างนั้น
        อาร์เซนัลเล่นฟุตบอลด้วยสไตล์ที่สวยงามเหมือนบาร์เซโลน่า แต่ความแตกต่างอย่างชัดเจน คือตำแหน่งแชมป์และจำนวนถ้วย การจบฤดูกาลด้วยมือเปล่านานติดต่อกันเป็นปีที่ 6 จึงเป็นเรื่องที่ถือเป็นวิกฤติสำหรับอาร์เซนัล
       ทั้งๆ ที่ทีมไม่เคยขาดนักเตะฝีเท้าดีระดับโลก ไม่เคยขาดพลังของนักเตะหนุ่มแน่น  แต่อาร์เซนัลขาดผู้นำตัวจริงที่จะเป็นแม่ทัพให้ทีม "ปืนใหญ่" มีที่ยืนในประวัติศาสตร์ได้เทียบเท่าทีมที่ยิ่งใหญ่อื่นๆ
       นักเตะทุกคนสามารถเป็นกัปตันทีมได้ แต่อาจจะไม่มีใครที่สามารถเป็นผู้นำที่แท้จริงได้ทั้งในและนอกสนาม
        การมีกัปตันทีมที่มีคุณสมบัติเป็นผู้นำอย่างแท้จริงนั้น จะกลายเป็นพลังผลักดันให้ทีมได้อย่างไม่น่าเชื่อ 

กัปตันทีม โทนี่ อาดัมส์เกิดมาเป็นผู้นำจริงๆ 

อยากได้ถ้วยแชมป์ต้องหากัปตันทีมแบบนี้

เมื่อทีมมีผู้นำที่แท้จริง จะคว้าถ้วยใดๆก็ง่ายกว่า




        ด้วยคุณสมบัติที่มีความเป็นผู้นำอย่างไม่มีข้อโต้เถียงของโทนี่ อาดัมส์และปาทริก
วิเอร่าที่นักเตะทุกคนให้การยอมรับโดยดุษฏี   ทำให้อาร์เซนัลคว้าแชมป์ตำแหน่งแล้ว
ตำแหน่งเล่า


ปาทริก วิเอร่า: กัปตันทีมผู้ไม่เคยหุบปากเงียบสงบ

วิเอร่ากับตัวอย่างการสู้ในทุกกระเบียดนิ้ว
เพื่อทีมในทุกรูปแบบ
แม้กระทั่งการต่อกรกับรอย คีนที่ใครๆ หวาดเกรง


        กัปตันทีมทั้งสองมีบุคลิกผู้นำอย่างเต็มเปี่ยม เป็นผู้นำโดยธรรมชาติ มุ่งมั่นต่อสู้เพื่อทีมและปกป้องลูกทีม  เป็นกัปตันทีม "หัวใจเหล็ก" ที่เสียงดังฟังชัดเข้าหูเพื่อนนักเตะทุกคน มีอิทธิพลขับเคลื่อน "ทีม" ให้เป็น "ทีม" ได้เต็มพลัง


อาร์เซนัลไม่เคยขาดถ้วยแชมป์เมื่อทีมมีผู้นำแบบ
โทนี่ อาดัมส์และปาทริก วิเอร่า
อาร์เซนัลจะโชคดีมีผู้นำพร้อมๆกันสองคนแบบนี้อีกหรือไม่? 
 

       นี่คือคุณลักณะของกัปตันทีมผู้นำที่เสริมพลังให้กับอาร์เซนัลอย่างเต็มสูบ
       และหากวาดหวังจะได้ตำแหน่งแชมป์แล้ว อาร์เซนัลจะต้องมีกัปตันทีมและผู้นำที่มีคุณสมบัติเหมือนโทนี่ อาร์ดัมส์ และปาทริก วิเอร่า

ตัวเลือกที่ผิด: นอกเหนือจากอายุและประสบการณ์แล้ว
วิลเลี่ยม กาลลาส ไม่มีคุณสมบัติของผู้นำอื่นๆเลย

กาลลาสแทบจะไม่ได้รับการยอมรับจาก
ลูกทีมเลยจนถึงไม่พูดไม่จากัน
ด้วยบุคลิกที่ขาด "พลัง"และขี้แยทำให้
กาลลาสกลายกัปตันทีมที่โดดเดี่ยว?

 
เชสก์ ฟาบริกัสกับการถูกท้าทายจากเพื่อนร่วมทีม
ถึงความเหมาะสมในตำแหน่งกัปตันทีม

 

เพราะสีแดงของสเปนแดงกว่าสีแดงของอาร์เซนัล
"หัวใจ" ของฟาบีกัสจึงอยู่ที่บาร์เซโลน่า 
เมื่อไม่มีใจผูกมัดให้อาร์เซนัล จึงไม่คู่ควรกับตำแหน่งผู้นำทีม?

 
       ถึงแม้ฟุตบอลจะเล่นกันเป็นทีม และอาร์เซนัลก็สามารถเล่นได้เป็นทีมอย่างมีสไตล์สวยงาม
        แต่ ณ เวลานี้ อาร์เซนัลต้องการผู้นำมากเสียยิ่งกว่ากัปตันทีม

     



ถึงแม้จะเล่นด้วยสไตล์ที่สวยงาม
แต่บางทีอาร์เซนัลจำเป็นต้องมี
ผู้นำในสนามแบบนี้ก็ได้

.

18 มกราคม 2554

โรคอิริคส์สัน

.



        เรื่องของโชคเรื่องของดวงนั้นไม่เข้าใครออกใครจริงๆ
        หลายๆคนคาดไม่ถึงว่า ชีวิตเมื่อพลาดก้าวหนึ่งกลับก้าวหน้าไม่เป็น ทั้งๆ ที่มีฝีมือ มีความสามารถเป็นที่ยอมรับ มีผลงานเป็นเครื่องการันตรี
        แต่เมื่อพลาดครั้งหนึ่ง ดูเหมือนว่าต้องถอยหลังไปตลอด(?)
        แน่นอนว่า ชื่อ "สเวน-โกราน อิริคส์สัน" ไม่ได้เป็นชื่อต่างด้าวสำหรับคนในวงการฟุตบอล ก่อนหน้านี้ ชื่อนี้คือคำเหมือนของคำว่าแชมป์เปี้ยน
        ใบประวัติ CVของอิริคสันน่าประทับใจเป็นอย่างยิ่ง
        เพราะความสำเร็จที่นำมาสู่สโมสรโกเตนเบิร์ก(สวีเดน) เบนฟิกา โรม่า แซมโดเรียและลาซิโอ ทำให้ชื่อ "สเวน-โกราน อิริคส์สัน" หอมหวลเป็นที่ต้องการทั่วสิบทิศ จนกระทั่งกลายเป็นคนต่างชาติคนแรกที่ได้เข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีมชาติอังกฤษในปี 2001

สเวน-โกราน อิริคส์สัน

        ถึงแม้จะได้รับการยกย่องว่า เป็นผู้จัดการทีมชาติอังกฤษที่ประสบความสำเร็จมากที่
สุดในรอบ 3 ทศวรรษ ด้วยสถิติที่งดงามดีที่สุดนับตั้งแต่ที่อังกฤษคว้าแชมป์โลกปี ในปี1968
ก็ว่าได้  ทำให้แรงค์กิ้งอังกฤษในฟีฟ่าพุ่งจากอันดับ 17 สู่อันดับ 4 เมื่อสิ้นสุดฟุตบอลโลกปี 2006
       เพระยอมทุ่มเทจ่ายค่าจ้างให้สูงลิ่ว ความคาดหวังจึงเป็นเงาตามตัว
       เพราะฉะนั้น ไม่ว่าสถิติจะสวยหรูมากแค่ไหนก็ยังไม่เพียงพอสำหรับคนอังกฤษ จนกว่าจะได้ตำแหน่งแชมป์ฟุตบอลโลกหรือแชมป์ฟุตบอลยูโรเท่านั้น
        7 ปีที่ยังไม่สามารถคว้าแชมป์ใดๆได้   สุดท้าย สเวนไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องลาออกจากตำแหน่ง
       หลังจากนั้นก็ลองผิดลองถูกเหมือนกลับบ้านเดิมไม่ถูก อิริคส์สันไม่ประสบความสำเร็จในการคุมทีมอีกเลยทั้งในระดับชาติและระดับสโมสร ตั้งแต่คุมทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ในยุคที่มีเจ้าของเป็นคนไทย ก่อนขยับไปคุมชาติเม็กซิโกด้วยความล้มเหลวอย่างไม่น่าเชื่อ รวมทั้ง
การคุมชาติไอโวรี่โคสต์เพียงแค่ระยะสั้นในช่วงฟุตบอลโลก 2010
        ในวันนี้แทบจะไม่มีสโมสรยักษ์ใหญ่ใดๆ ต้องการบริการและฝีมือของอิริคส์สันอีกแล้ว
ซ้ำร้ายดูเหมือนจะค่อยๆ ถอยหลังเข้าคลองหรือสาละวันเตี้ยลงๆ เพราะมีแต่สโมสรเล็กๆในระดับดิวิชั่นต่ำๆ เท่านั้นที่ต้องการ จากสโมสรน๊อตต์ เคาน์ตี้ในดิวิชั่น 2 ก่อนที่จะได้รับโอกาสให้คุมทีมเลสเตอร์ ในดิวิชั่น 1 ในยุคที่มีคนไทยเป็นเจ้าของสโมสรในปัจจุบัน
      กลายเป็น "โรคอิริคส์สัน" ที่ผู้จัดการทีมอีกหลายๆคนหวาดกลัวกันมาก


ฮวน รามอสในวันเข้ารับตำแหน่งนายใหญ่ของท๊อตแน่ม ฮอทสเปอร์
         หนึ่งในนั้นก็คือฮวน รามอสอดีตผู้จัดการทีมท๊อตแน่ม ฮอทสเปอร์ รามอสสร้างชื่อได้อย่างร้อนแรงเตะตาวงการลูกหนังสเปนเป็นอย่างมาก  เพราะความสำเร็จในช่วงระยะเวลาเพียง 2 ฤดูกาล (2505-2507) ที่สามารถพาทีมเซเวียร์ (เซบิย่า) สโมสรเล็กๆในลาลิก้า คว้าแชมป์ถ้วยยูเอฟ่าคัพสองสมัยติดต่อกัน รวมทั้งถ้วยยุโรเปี้ยนซูเปอร์คัพ (ที่มีชัยเหนือบาร์เซโลน่า) และสแปนิชซูเปอร์คัพด้วยการชนะรีล แมดริด ตลอดจนการพาเซเวียร์ทะลุผ่านไปเล่นในฟุตบอลยูเอฟ่าแชมป์เปี้ยนลีกได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
       เมื่อเริ่มอิ่มในความสำเร็จที่เซเวียร์  รามอสเลือกที่จะหาความท้าทายใหม่ๆ และกลายเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ของท๊อตแน่มฮอทสเปอร์ด้วยความหวังและค่าตัวที่สูงยิ่ง
       รามอสเริ่มต้นดีในฤดูกาลแรกสามารถพาทีมสเปอร์คว้าแชมป์ถ้วยลีกคัพเป็นครั้งแรกในรอบ 9 ปีแต่ก็ทีเหลวในฤดูกาลที่ 2 เพียงเริ่มต้นได้ 2 เดือนทีมอยู่ในอันดับก้นตาราง จนต้องถูกปลดออก
       การไปรับตำแหน่งผู้จัดการทีมรีล แมดริดดูเหมือนเป็นความฝันของผู้จัดการทีมทุกคน
แต่สำหรับรามอสแล้วนี่คือตำแหน่งชั่วคราว 6 เดือนและเป็นประสบการณ์ที่ไม่อยากจะจดจำเลย โดยเฉพาะผลงานที่ถูกทีมบาร์เซโลน่าถล่มคาบ้านถึง 6-2นั้น ถือเป็นความอัปยศที่สุด
       หลังจากนั้น ชื่อของรามอสก็ค่อยๆ หาย ไปจากริมฝีปากของวงการสโมสรยักษ์ใหญ่
มีโอกาสได้คุมทีมซีเอสโค มอสโคว์ยักษ์ใหญ่แห่งรัสเซียเพียง 40 วันเท่านั้น และเพิ่งได้รับ
การแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทีมของสโมสรในยูเครนที่ไม่ได้โด่งดังในวงการฟุตบอลยุโรป
เรียกว่าค่อยๆ ถอยหลังเข้าคลองทีละนิดๆ

รุด กุลลิท

      ไม่ต่างจากกรณีของรุด กุลลิทที่นับตั้งแต่แจ้งเกิดในตำแหน่งผู้จัดการทีมเชลซีเป็นครั้งแรกเมื่อปี 1996 แล้ว ก็มีแต่สโมสรระดับต่ำๆ ที่สนใจ จนล่าสุดต้องไปรับหน้าที่ในลีกของสหรัฐฯที่ไม่เหมาะสมกับอดีตนักเตะระดับโลกคนนี้เลย ก่อนที่ล่าสุดสดๆร้อนๆ จะเพิ่งได้รับตำแหน่งผู้จัดการทีมของสโมสรเล็กๆในรัสเซียที่ไม่ได้อยู่แถวริมฝีปากของคนวงการฟุตบอลเลย
     ได้แต่หวังว่าราฟาเอล เบนิเตฟจะไม่ถูกพิษโรค "อิริคส์สัน" เล่นงาน จนเหลือชื่อเป็นเพียงประวัติศาสตร์เท่านั้น


นับตั้งแต่พ้นจากตำแหน่งผู้จัดการทีมอินเตอร์ มิลาน
ราฟาเอล เบนิเตฟจะแพ้ภัยโรค "อิริคส์สัน" หรือไม่?


.

.

มองเขาเป็นตัวอย่าง มองเราเป็นบทเรียน : มหัศจรรย์แห่งการสมานฉันท์

.




ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองไทยในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา เป็นเสมือนเชื้อไวรัสที่กัดกร่อน
สังคมไทยอย่างหนัก จนมีสภาพไม่ต่างจาก คนป่วยแห่งเอเซีย     เป็นช่วงเวลาหนึ่งที่อาจเรียกว่า ไม่ว่าจะ
มีผลออกมาในรูปแบบใด แต่จะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดช่วงเวลาหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย

การศึกษาตัวอย่างในต่างประเทศหลายๆ กรณีนับเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ไม่น้อย เพื่อเป็นแนวทางประยุกต์ใช้
แก้ปัญหาความขัดแย้งในสังคมไทยและสร้างความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นจริง ถึงแม้ว่า จะมีเงื่อนไขทางสังคม
หรือวัฒนธรรมทางการเมืองที่แตกต่างกัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะมองข้ามตัวอย่างความสำเร็จในต่าง
ประเทศไปทั้งหมดก็หาไม่

ท่ามกลางความขัดแย้งทั้งแนวกว้าง (ขยายวงกว้างไปทั่วทุกพื้นที่ของประเทศ) และแนวลึก (เกิดการแยกเขา
แยกเราอย่างชัดเจน) มีกระแสเรียกร้องหา คนกลางอยู่ตลอดเวลาเพื่อทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยคู่ขัดแย้ง แต่ดู
เหมือนว่า สังคมไทยจะมีแต่ คนกลางๆ แต่ไม่มี คนกลาง ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็น คนกลาง เป็น
ผู้ใหญ่จริงๆ

ในด้านหนึ่ง การปราศจาก คนกลางไม่ได้เป็นปัจจัยสำคัญของความล้มเหลวในการเจรจาใดๆ เสมอไป 
หรือบางครั้ง คนกลางอาจจะเป็นอุปสรรคเสียเอง หากพยายามแสดงบทบาทเป็น คนที่สามหรือเป็น
อีกคนหนึ่งในระหว่างการเจรจามากเกินไป  แต่ในอีกด้านหนึ่ง การมี คนกลาง หรือ คนนอก ที่ไม่ได้
มีส่วนเกี่ยวข้องในส่วนใดส่วนหนึ่งกับคู่ขัดแย้ง ทำหน้าที่เป็นคนไกล่เกลี่ย ก็เป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการ
ร้าง สะพานเชื่อมโยงคู่ขัดแย้ง ก่อให้เกิดบรรยากาศที่จะยุติข้อขัดแย้งและเกิดความต้องการที่จะสมาน
ฉันท์กันจริงๆ ก็ได้

ในกรณีตัวอย่างของกัมพูชา  อินโดนิเซีย (กรณีอาเจะห์)  และฟิลิปปินส์ (กรณีมินดาเนา) นั้น ปฏิเสธไม่ได้
ว่า คนกลาง มีบทบาทสำคัญอย่างมากในการยุติข้อขัดแย้ง  เป็น คนกลาง ที่เป็น คนนอก จริงๆ  นั่น
คือ ฝรั่งเศส (กรณีความขัดแย้งในกัมพูชา) ฟิลแลนด์ (กรณีความขัดแย้งในอินโดนิเซีย) และมาเลเซีย (กรณี
ความขัดแย้งในฟิลิปปินส์) 

เพราะฉะนั้น เราควรต้องพิจารณา คนนอกมาทำหน้าที่เป็น คนกลางอย่างจริงๆจังๆ นั่นคือ คนกลาง
นอกประเทศ  เพราะต้องยอมรับความจริงว่า สังคมไทยไม่มี คนกลางที่ทุกๆฝ่ายเชื่อว่าเป็นกลางจริงๆ 
และคนกลางที่เหมาะสมกับสังคมการเมืองไทย ณ ปัจจุบันนี้มากที่สุดคนหนึ่งก็คือสวีเดน  ซึ่งนอกเหนือจาก
จะมีฐานะ เป็นกลางในเวทีระหว่างประเทศมาตั้งแต่ยุคสงครามโลกแล้ว สวีเดนยังมีความใกล้ชิดกับ
ประเทศไทยเป็นอย่างมากและมีระบบการเมืองการปกครองที่ค่อนข้างคล้ายคลึงกัน คนสวีเดนส่วนใหญ่
ประทับใจผูกพันและถือเมืองไทยเป็นบ้านที่สอง อยากเห็นเมืองไทยสงบเหมือนสวีเดน และการที่คุณทักษิณ
มีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับอดีตนายกรัฐมนตรีสวีเดน ก็ไม่ได้หมายความว่า สวีเดนจะลำเอียงเข้าข้างฝ่ายใด
ฝ่ายหนึ่ง  หากเราสามารถหาคนกลางได้ การเริ่มต้นเจรจาอย่างจริงจังที่สุด เพื่อเปิดทางไปสู่ความสมานฉันท์
ก็เป็นสิ่งที่เป็นไปได้มากขึ้น มากยิ่งกว่ากรณีของกัมพูชา อินโดนิเซียหรือฟิลิปปินส์ เพราะอย่างน้อยที่สุด
ความขัดแย้งในสังคมการเมืองไทยปัจจุบัน ไม่ได้รุนแรงเป็นสงครามสู้รบระหว่างกันเหมือนเช่นในกรณีของ
ทั้งสามประเทศ

เมื่อหาคนนอกมาเป็นคนกลางได้แล้ว ประเด็นสำคัญแรกสุดประเด็นหนึ่งของการเจรจาแบบประมวลก็คือ
เรื่องของคุณทักษิณ ชินวัตร เพราะนี่คือ หัวใจ หรือประเด็นชี้ขาดต่อท่าทีของฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลในขณะ
นี้ที่ไม่อาจจะปฏิเสธได้

แอฟริกาใต้เป็นตัวอย่างที่คลาสสิคหรือดีที่สุดตัวอย่างหนึ่งของการสมานฉันท์ระหว่างคนในชาติเดียวกันที่
ไม่ได้เกิดขึ้นในทันทีทันใด  การเจรจาระหว่างคนผิวขาวและคนผิวดำมีโอกาสประสบความสำเร็จได้ยาก
ตราบใดที่เนลสัน แมนเดลล่าผู้นำคนผิวดำยังถูกจำคุกอยู่  เพราะฉะนั้น การปล่อยตัวแมนเดลล่าให้เป็น
อิสรภาพ ภายหลังการถูกจองจำมานานกว่า 27 ปี จึงกลายเป็นเงื่อนไขสำคัญก้าวแรกของการเปิดทางเริ่มต้น
เจรจาครั้งใหม่ที่จริงจัง   เพราะฉะนั้น เพียงแค่คิดก็ผิดแล้ว ที่จะเจรจาใดๆ โดยไม่รวมเอาเรื่องของคุณทักษิณ
เข้าไปด้วยตั้งแต่แรก เพราะนี่คือ ตัวแปรอิสระ ที่มีผลต่อท่าทีของกลุ่มคนเสื้อแดงโดยตรงมากที่สุด หรือ
อย่างที่ พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอมแกนนำกลุ่มสยามสามัคคี   ระบุว่า ประเทศไทยมีปัญหาเดียว คือ ทักษิณ
ก็ยิ่งทำให้เห็นได้ชัดเจนว่า นี่คือเงือนไขที่สำคัญอย่างยิ่งยวดที่ไม่อาจละเลยได้ หากสังคมไทยเราต้องการ
ความสมานฉันท์จริงๆ

โดยข้อเท็จจริงสองประการแล้ว ไม่มีใครที่สามารถเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาของศาลที่ให้จำคุกคุณทักษิณ 2 ปี
และเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่จะโน้มน้าวให้อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 23 คนนี้ยอมรับแนวทาง แมนเดลล่า
โมเดลและปฏิบัติตามคำพิพากษาได้

แล้วเราจะเริ่มต้นแก้ปัญหา ปัจจัยทักษิณนี้อย่างไร โดยไม่ขัดต่อหลักนิติศาสตร์ (คำพิพากษา)และเอื้อ
อำนวยต่อหลักรัฐศาสตร์ (เพื่อการสมานฉันท์) พร้อมๆกัน

ในทางทฤษฏีแล้ว ผู้ที่ถูกศาลพิพากษาให้จำคุก ไม่จำเป็นว่าจะต้องถูกดำเนินคดีโดยวิธีการจำคุกในเรือนจำ
(In prison) เสมอไป แต่อาจจะถูกกักบริเวณภายในบ้าน  (Under house arrest)  ก็ได้  เป็นหลักปฏิบัติที่ได้รับ
การยอมรับในประเทศที่พัฒนาแล้วหลายๆ ประเทศ เช่นอิตาลี อังกฤษ สหรัฐฯ และนิวซีแลนด์ โดยมักจะใช้
บังคับในกรณีที่เป็นลหุโทษไม่ได้เป็นอาชญากรร้ายแรง หรือถูกพิพากษาให้จำคุกไม่เกิน 2 ปี  โดยเฉพาะ
อิตาลีซึ่งเพิ่งมีบทบัญญัติกฎหมายนี้ในปี 2549  ส่วนหนึ่งเพื่อใช้บังคับกับนักการเมืองที่ต้องโทษคำพิพากษา
ในระยะเวลาสั้นๆ ในคดีเกี่ยวกับคอร์รัปชั่นและหลบเลี่ยงภาษีหรือการทุจริตอื่นๆ

ในทางรัฐศาสตร์แล้ว นี่คือการประนีประนอมในหลักการที่ไม่ได้ละเมิดหลักนิติศาสตร์  ถึงแม้ว่าจะต้องถูก
กักบริเวณและถูกควบคุมจำกัดเสรีภาพ  แต่ก็เชื่อได้ว่า ไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้อดีตผู้นำที่เป็นแฟมมิลี่แมนคนนี้
มีความสุขมากที่สุดเท่ากับการได้กลับเมืองไทยและอยู่ในบ้าน จันทร์ส่องหล้ากับครอบครัวจริงๆ   ทั้งนี้
ในช่วงที่ถูกกักบริเวณตามคำพิพากษานี้ คุณทักษิณจะต้องพิสูจน์และใช้ศักยภาพของตัวเองสร้างคุณประ
โยชน์ให้แก่ประเทศให้มากที่สุด(เป็นเงื่อนไขแลกเปลี่ยน) ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณทักษิณเคยเรียกร้องขอโอกาสทำ
ประโยชน์ให้กับประเทศชาติ  โดยเฉพาะความสัมพันธ์อันดีกับกัมพูชาและซาอุดิอาระเบีย    รวมไปถึง การ
เรียกร้องให้กลุ่มคนเสื้อแดงเปลี่ยนแปลงท่าทีใหม่ นั่นคือ ไม่มีพื้นที่ สีแดงใด ที่เป็นเขตห้ามเข้าสำหรับ
คนของรัฐบาล  ตลอดจนการทุ่มเททั้งพลังสมองและพลังทุนทรัพย์ ทำหน้าที่ผลักดันให้แนวคิดเศรษฐกิจ
พอเพียงได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางมากขึ้นในสังคมไทย

หากสังคมไทยโดยเฉพาะรัฐบาลนายอภิสิทธิ เวชชะชีวะมีเป้าหมายสูงสุดเพื่อการสมานฉันท์แล้ว การยืด
หยุ่นในวิธีการบางอย่างโดยไม่เสียหลักการใดๆ ก็น่าจะได้รับการพิจารณาอย่าง อ่อนไหวและรอบด้าน
เพราะตัวอย่างในความสำเร็จของการสมานฉันท์ทั้งในสหรัฐฯ (หลังสงครามการเมืองระหว่างฝ่ายเหนือและ
ฝ่ายใต้) และในแอฟริกาใต้ ส่วนสำคัญก็เนื่องมาจากการที่อดีตประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์นของสหรัฐฯ
และแมนเดลล่า (ซึ่งกลายเป็นประธานาธิบดีผิวดำคนแรกของแอฟริกาใต้) ปฏิเสธแนวทางทัณฑฉันท์
(Retributive) ที่มุ่งเน้นลงโทษทัณฑ์ฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่ลดละ แต่กลับเลือกดำเนินตามแนวทางยุติฉันท์
(Restorative) เพื่อยุติวงจรอุบาทว์ของการล้างแค้น(ทางการเมือง) ต่อกันไม่จบสิ้น โดยเฉพาะการนิรโทษ
กรรมอย่างมีเงื่อนไข

หากสองประเด็นดังกล่าวข้างต้นได้รับการยอมรับจากทั้งสองฝ่ายแล้ว เชื่อได้ว่าจะเปิดทางให้การเจรจาใน
ประเด็นเรื่องอื่นๆ มีโอกาสตกลงได้มากขึ้น และที่ผ่านมา  ทั้งสองฝ่ายก็แสดงออกซึ่งเจตนารมณ์ที่บ่งบอกถึง
ความหวังว่า อย่างน้อยที่สุด ความขัดแย้งในสังคมการเมืองไทยในเวลานี้เป็นเรื่องที่เจรจากันได้ (Negotiable) 
และเป็นเรื่องที่งดงามไม่น้อย หากฝ่ายรัฐบาลจะเป็นผู้ริเริ่มการเจรจาใดๆ ก่อน




(ตีพิมพ์ในมติชนรายวัน เมษายน 2553 )

10 มกราคม 2554

มาดามซาร์โกซี่ : มาดามกระฎุมพี

.


       ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา "มาดามซาร์โกซี่" คือผู้หญิงที่โดดเด่นโด่งดังที่สุดในประเทศฝรั่งเศส
       ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นภรรยาคนแรกของประธานาธิบดีนิโคลัส ซาร์โกซี่แห่งฝรั่งเศสแต่คาร์ล่า บรูนี่คือสตรีหมายเลขหนึ่งของประเทศอย่างเป็นทางการนับตั้งแต่แต่งงานกับประธานาธิบ ธิบดีคนที่ 23 ของประเทศเมื่อเกือบสามปีก่อน
       ด้วยวัยเพียง 40 ปี(ในปี 2550) ทำให้มาดามซาร์โกซี่ได้ชื่อว่าเป็นสตรีหมายเลขหนึ่งที่เยาว์วัยที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองยุคใหม่ของฝรั่งเศส และได้ชื่อว่ามีบุคลิกคุณสมบัติที่โดดเด่นเหนืออดีตสตรีหมายเลขหนึ่งคนอื่นๆ 
       มาดามซาร์โกซี่โชคดีที่เกิดมารูปงามและเคยเป็นนางแบบมาก่อน จึงทำให้เป็นที่ที่ต้องตาต้องใจและลุ่มหลงของประธานาธิบดีซาร์โกซี่ผู้พิสมัยสตรีงามเป็นพิเศษ



มาดามซาร์โกซี่โดดเด่นเสมอในถูกโอกาส
แต่ด้วย "ราคา" ค่อนข้างแพง


      มาดามซาร์โกซี่อาศัยทุนทางสังคมและทุนทางกายภาพสร้างความโดดเด่นในสายตาของสาธารณชน
      แต่แทนที่จะส่งเสริมตำแหน่งผู้นำประเทศของสามี บทบาทของมาดามซาร์โกซี่กลับส่งผลแง่ลบมากกว่า
      เธอแตกต่างจากมิเชล โอบาม่าสตรีหมายเลขหนึ่งของสหรัฐฯหลายๆ ประการ โดยเฉพาะพื้นฐานทางครอบครัวและไลฟ์สไตล์     มาดามซาร์โกซี่เกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะค่อนข้างดีบวกกับการเป็นนางแบบมาก่อน ส่งเสริมให้มีไลฟ์สไตล์แบบ "เท้าลอยดิน"
      ว่ากันว่า นี่คือเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการไม่กินเส้นระหว่างสตรีหมายเลขหนึ่งของสองประเทศนี้  (ดูเพิ่มเติมเรื่อง "สตรีหมายเลขหนึ่ง: ศัตรูหมายเลขหนึ่ง" 
http://preechayana.blogspot.com/2010/10/blog-post_5373.html)



Rivalry between Carla Bruni-Sarkozy and Michelle Obama has led to strained relations between the US and French presidential couples, a new biography of the French first lady has claimed.
สายตาคู่นี้ของมิเชล โอบาม่าสะท้อนถึงก้นบึ้งความรู้สึก
ภายในที่มีต่อสตรีหมายเลขหนึ่งของฝรั่งเศสคนนี้

 
      ในสายตาของสาธารณชนฝรั่งเศส  มาดามซาร์โกซี่ถูกเปรียบเทียบเปรียบเปรยว่าเป็น "มารี-อองตัวเน็ต" แห่งยุคปัจจุบัน เป็นชนชั้นกระฎุมพีที่วางตัวสูงศักดิ์ไม่ติดดินและห่างเหินจากประชาชนมากเกินไป และโชคไม่ดีการเป็นผู้หญิงต่างชาติ(อิตาเลี่ยน)
เช่นเดียวกับพระนางมารี-อองตัวเน็ต(ออสเตรีย) ก็เป็นเชื้อแห่งความไม่สบอารมณ์ในระดับหนึ่ง


พระนางมารี-อองตัวเน็ต

       ซ้ำร้าย ภาพพจน์ในเรื่องรักๆใคร่ๆ ของมาดามซาร์โกซี่ก็ดูเหมือนจะติดลบมากขึ้นโดยเฉพาะภาพพจน์ "กิ๊กเกต" ที่มีการกล่าวหาสตรีหมายเลขหนึ่งคนนี้มี"กิ๊ก" กับผู้ชายคนอื่น
       ผลโพลล์ล่าสุดปรากฏว่า  มาดามซาร์โกซี่ได้รับการโหวตจากคนฝรั่งเศสให้เป็นบุคคลที่ไม่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบัน หรืออีกนัยหนึ่ง เป็นผู้หญิงที่ได้รับความนิยมชื่นชอบน้อยที่สุดในประเทศ    ในขณะที่ประธานาธิบดีซาร์โกซี่ถูกจัดอยู่ในอันดับที่สี่ที่ไม่น่าปลาบปลื้มเช่นกัน
       ว่ากันว่า นี่คือราคาที่มาดามซาร์โกซี่ต้องจ่ายกับบทบาทการวางตัวเป็น "มาดามกระฎุมพี" มากเกินไปในสายตาของคนฝรั่งเศส




.

8 มกราคม 2554

เด็กยิ้มสู้

.

         
         ความแตกต่างของมนุษย์ส่วนหนึ่งคือการ "มี" และการ "ไม่มี
         คนส่วนใหญ่โชคดีที่เกิดมามีอวัยวะครบสามสิบสองให้ดูดี  ส่วนหนึ่งเกิดมามีแก้ว   แหวนเงินทองพร้อมพรักอยู่ตรงหน้า บางส่วนเกิดมาด้วยยศฐาพร้อมด้วยความอบอุ่นตั้งท่ารอ
         สำหรับคนพิการแล้ว ชีวิตไม่ได้ง่ายเหมือนคนทั่วๆไป  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความยากลำบากในการดำรงชีพประจำวัน และความรู้สึกยากลำบากที่จะยอมรับถึงความไม่สมบูรณ์หรือบกพร่องทางสรีระร่างกาย
         แต่.......คนพิการจำนวนมากพิสูจน์ให้เห็นว่า พวกเขาสามารถทำหลายสิ่งหลายได้มากกว่าดีกว่าคนปกติธรรมดาทั่วไป  หรือสามารถทำในสิ่งที่คนธรรมดาไม่กล้าทำหรือทำได้ไม่ดีพอ
         เด็กพิการหลายคน อาจจะไม่รู้ความหมายของ "เวรกรรม" หรือ "ชะตากรรม" ไม่คิดจะโทษพระเจ้าองค์ใด ไม่ตัดเพ้อถึงความเหลื่อมล้ำหรือแตกต่างจากคนอื่นๆ
         แต่พวกเขากลับรู้จักวิธีหาความสุขและยิ้มสู้กับชีวิต
         เด็กบางคนอาจจะไม่มี "ขา" แต่สามารถยืนอยู่บน "ขา" ของตัวเองได้         
         หัวใจของเด็กเหล่านี้ "ใหญ่" กว่ากำปั้นตัวเองหลายเท่านัก
         เป็นเด็กยิ้มสู้ที่น่าทึ่ง
         เชื่อได้ว่า เมื่อเติบใหญ่ พวกเขาจะมีทางเลือกในชีวิตและมีชีวิตที่สมบูรณ์กว่าคนธรรมดาทั่วไป
         เพราะนี่คือรางวัลตอบแทนสำหรับเด็กยิ้มสู้





    Harley almost died when he was struck down with the bug last year. He now goes to a primary school that has a hygiene room to help him stay infection free
    เพราะผลของเยื่อหุ้มสมองอักเสบจนถึงกับต้อง
   ตัดขาตัดแขนเพื่อรักษาชีวิต  แต่หัวใจของหนูน้อย
  วัยสี่ขวบอย่างฮาร์ลีย์ เลนกลับเข้มแข็งเกินวัย


รอยยิ้มอย่างจริงใจจากเพื่อนร่วมชั้นเป็นกำลังใจ
สุดสุดให้หนูน้อยเลนยิ้มสู้กับชีวิตอย่างมีความหวัง

ความเห็นอกเห็นใจจากเพื่อนๆวัยเดียวกันบ่งบอก
ถึงความเป็นหนูน้อยป๊อบปูล่ามากที่สุดในโรงเรียน


ขาเทียมขนาดและดีไซน์ต่างๆ กลายเป็นเหมือนของเล่นที่ทำ
ให้หนูน้อยคนนี้ยิ้มสู้อย่างมีความสุข เป็นคำตอบหนึ่งว่า
ทั้งๆที่ไม่มี "ขา" แต่สามารถยืนอยู่บน "ขา" ของตัวเองได้
 

ถึงจะพิการขาทั้งสองข้าง แต่ก็ไม่มีข้อห้ามหรือเป็น
อุปสรรคสำหรับหนูน้อยที่จะเล่นเกมกีฬาเบสบอลอย่างยิ้มสู้




     
ถึงแม้ว่าจะพิการแขนพิการขา แต่หนูน้อยกาบี้ในวัย 6 ขวบ
ไม่ได้มีหัวใจน้ำนมแต่อย่างใด กลับยิ้มสู้ชีวิตและสามารถ
ว่ายน้ำด้วยแขนข้างเดียวอย่างน่ามหัศจรรย์

ยิ้มสู้อย่างซื่อใสของหนูน้อยเดย์ตัน เวบเบอร์วัย 11 ขวบ

 
       
ถึงจะพิการแขนขา แต่เด็กชายเวบเบอร์กลับไม่ได้
พิการความสามารถในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง

รู้จักหาความสุขทุกรูปแบบตามประสาเด็กคนหนึ่ง



และสามารถแสดงความสามารถพิเศษได้อย่างน่าทึ่ง
 

ขนาดของหัวใจไม่ได้ขึ้นอยู่กับวัยหรือสรีระร่างกาย
 
 
เพราะชนะใจตัวเอง จึงสามารถชนะใจผู้อื่น
  
สูงเทียมกัน สนุกร่วมกัน




.

6 มกราคม 2554

วิกฤติฟอร์มกับจุดเปลี่ยนของเชลซี

.


หลายๆ คนกำลังกังวลอยู่ว่าอนาคตของคาร์โล อันเชล็อตติในฐานะผู้จัดการทีมเชลซีจะเป็นอย่างไรท่ามกลางวิกฤติฟอร์มที่เกิดขึ้นกับสโมสรในขณะนี้



ไม่อยากเชื่อเลย


Chelsea boss Carlo Ancelotti sees showdown with Manchester United on March 1 as crucial to title race
วิกฤติฟอร์มย่อมเป็นเชื้อแห่งความผิดหวัง
เป็นที่สุดให้แก่คาร์โล อันเชล็อตติ


       
อาการที่บ่งบอกถึงความผิดหวังอย่างที่สุด
 

เป็นไปไม่ได้ที่จะหัวเราะในช่วงวิกฤติฟอร์มแบบนี้ได้



ถึงจะเคยประสบความสำเร็จมามากมายแค่
ไหนแต่มีวันที่อันเชล็อตติคนนี้เดินคอตกได้




 
(อา)การเดินคอตกของผู้เล่นย่อมไม่ใช่สัญญาณที่ดี

ตัวเลขสถิติทางคณิตศาสตร์ระบุชัดเจนว่า ทีมดับเบิ้ลแชมป์เมื่อฤดูกาลที่แล้วคว้าชัยได้เพียงหนึ่งครั้งในรอบสองเดือนที่ผ่านมา เก็บเกี่ยวได้เพียง 10แต้มจาก 33เต็ม  ส่งผลให้อันดับในพรีเมียร์ลีกร่วงกรูดจากหัวแถวตกไปอันดับ 5 ในเวลานี้            
 
ถือเป็นตำแหน่ง ผิดปกติ ที่คนในสโมสรนี้ไม่คุ้นเคยเอาเลยก็ว่าได้       

 

อารมณ์สับสนไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
  

อารมณ์ความเจ็บปวดสำหรับกัปตันทีมกับวิกฤติฟอร์มที่เกิดขึ้น
 
อาจจะมีหลายๆเหตุผลกลปัจจัยที่สามารถหยิบยกมาอธิบายวิกฤติฟอร์ของทีมที่ดีที่สุดในอังกฤษเมื่อฤดูกาลที่แล้วตกต่ำจนถึงขั้นเป็นสถิติที่แย่ที่สุดในรอบ 14 ปีของสโมสร

 

ในวันที่โดดเดี่ยวบนสนาม?
 
     
ถึงแม้ฟอร์มในวันนี้จะตกต่ำตกดิ่งมากแค่ไหนก็ตาม แต่ความเชื่อของคนกีฬาที่ว่า ฟอร์มเป็นเรื่องชั่วครั้งชั่วคราว คลาสเป็นเรื่องถาวรนั้นเป็นสัจจธรรมที่แน่นอนที่สุด เป็นเชื้อที่สร้างความหวังไม่น้อย (อ่านเพิ่มเติม Form is temporary, class is permanent)



เชลซีกับตำแหน่งดับเบิ้ลแชมป์เมื่อฤดูกาลที่แล้ว

ตำแหน่งแชมป์คือเครื่องหมายคือคลาสแห่งความยิ่งใหญ่
 

นั่นคือ ไม่ว่าจะยิ่งใหญ่แค่ไหน ทุกๆทีมล้วนแต่มีช่วงจังหวะหนึ่งที่ต้องเผชิญกับวิกฤติฟอร์มที่มีขึ้นมีลงแต่ฟอร์มก็มีวันหมดอายุไม่มีวันตกต่ำไปตลอดกาล



ในขณะที่ความเป็นแชมป์คือเครื่องหมายบ่งบอกถึงคลาสความยิ่งใหญ่เหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ



เพราะเชลซีมีเกียรติศักดิ์ของความแชมป์หลายตำแหน่ง ฟอร์มที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบันย่อมจะไม่หนักหนาสากรรจ์จนสามารถสั่นคลอนคลาสของสโมสรเป็นแน่ แต่ในขณะเดียวกันคงจะไม่มีใครกล้าหาญหรือทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน ปล่อยให้สถานการณ์สุกงอมจนงาก็ไหม้ไปเสียก่อนแล้ว
 
หลายๆ คนมีความหวังว่า จะช้าจะเร็ว คาร์โล อันเชล็อตติในฐานะเป็นผู้นำขององค์กรจะสามารถ turn around  หรือพลิกฟื้นวิกฤติฟอร์มของเชลซีได้ เหมือนเช่นที่เคยทำสำเร็จมาก่อนในสมัยคุมทีมเอซี มิลานในอิตาลี

เพราะวิกฤติฟอร์มคือบททดสอบของทีมที่ยิ่งใหญ่ทุกทีม ประสบการณ์ของทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดและบาร์เซโลน่า คือตัวอย่างคลาสสิกที่พิสูจน์ว่าหากสามารถฝ่าหรือก้าวพ้นวิกฤติฟอร์มไปได้แล้ว แชมป์เปี้ยนก็จะไหลมาเทมาเพื่อตอกย้ำคลาสแห่งความยิ่งใหญ่
 
แล้วอะไรคือจุดเปลี่ยนจุดพลิกผันทำให้แมนฯ ยูไนเต็ดและบาร์ซ่าที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรได้
ถึงขณะนี้



ย้อนหลังไปเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน ฤดูกาลปี 1992-1993 คือปีที่ 6 ของเซอร์อเล็ก เฟอร์กูสันในฐานะผู้จัดการทีมที่ยังไม่สามารถคว้าถ้วยแชมป์ลีกสูงสุดให้กับสโมสรได้ จนจวนเจที่จะถูกปลดออกจากตำแหน่งครั้งแล้วครั้งเล่า



ปีศาจแดงแห่งอังกฤษเริ่มต้นฤดูกาลนั้นด้วยผลงานที่ย่ำแย่น่าผิดหวัง  ผ่านไปครึ่งแรกของฤดูกาล สามารถเก็บได้เพียง 6 ชัยเท่านั้น เฟอร์กูสันยังไม่สามารถหาจุดเปลี่ยนของทีมได้จนกระทั่งเมื่ออดีตนักเตะทีมชาติฝรั่งเศสที่ชื่ออิริค คันโตน่าย้ายเข้ามาร่วมทีมในช่วงกลางซีซั่น กลายเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการเปลี่ยนแปลง  คันโตน่าเปรียบเสมือน"เทพีฟอร์ทิวนา" ผู้นำโชคมาให้แก่ทีม


อิริค คันโตน่า : ตำนาน "เทพีฟอร์ทิวน่า" แห่งโอลด์แทรฟฟอร์ด

คันโตน่าสามารถสร้างความแตกต่างและความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในทีมทำให้แมนฯ ยูไนเต็ดกลายเป็นคนละทีมที่แตกต่างไปจากก่อนหน้านี้สิ้นเชิง สถานการณ์ของทีมดีขึ้นอย่างน่ามหัศจรรย์ สามารถเก็บชัยได้ถึง 18 นัดจนทะลุคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกเป็นทีมแรกของอังกฤษ เป็นแชมป์ลีกสูงสุดของประเทศเป็นครั้งแรกในรอบ 26 ปีของแมนฯยูไนเต็ด

หลังจากนั้น เฟอร์กูสันก็สามารถนำทีมแมนฯ ยูไนเต็ดกวาดแชมป์ต่างๆ มากมายก่ายกองสร้างประวัติศาสตร์กลายเป็นสโมสรที่มีคลาสสูงสุดของประเทศอังกฤษในปัจจุบันก็ว่าได้  

เช่นเดียวกัน  บาร์เซโลน่าทีมยักษ์ใหญ่แห่งสเปนกระหายชัยชนะและแชมป์เปี้ยนอย่างเหลือคณา

บาร์เซโลน่าแต่งตั้งแฟรงค์ ไรท์การ์ดให้เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ในปี 2003 ด้วยความหวังว่า จะสามารถคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของประเทศได้เป็นครั้งแรกของสหัสวรรษใหม่

บาร์ซ่าเริ่มต้นครึ่งแรกของฤดูกาล 2003-2004 อย่างน่าผิดหวังเป็นที่สุด  วิกฤติฟอร์มทำให้อันดับตกอยู่ในโซนอันตรายใกล้ตกชั้น  ซ้ำร้ายยังถูกรีล แมดริดบุกมาคว้าชัยถึงในถิ่นได้เป็นครั้งแรกในรอบยี่สิบปี  เป็นเรื่องน่าอับอายขายหน้าเป็นที่สุด

ไรท์การ์ดเสี่ยงกับการถูกปลดออกจากตำแหน่ง แต่เหมือนโชคช่วย  เพราะนักเตะที่ชื่อเอ็ดการ์ ดาวิดส์ กลายเป็น "เทพีฟอร์ทิวนา" ผู้นำโชคมาให้แก่ทีม


เอ็ดการ์ ดาวิดส์: ตำนาน "เทพีฟอร์ชูน่า" แห่งนูแคมป์





การย้ายเข้ามาแบบยืมตัวของเอ็ดการ์ ดาวิดส์ในช่วงกลางซีซั่น กลายเป็นจุดพลิกผันที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสรก็ว่าได้  เพราะหลังจากนั้น บาร์เซโลน่ากลายเป็นอีกทีมหนึ่งที่ไม่เหมือนเดิม สามารถทะยานหัวจนได้อันดับรองแชมป์เมื่อจบฤดูกาลได้ (อ่าน ไม่มีดาวิดส์เมื่อวันวาน ไม่มีบาร์ซ่าให้เล่าขานในวันนี้)

นับตั้งแต่นั้น บาร์เซโลน่าก็สร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์ต่างๆ มาครองทั้งหมด และทีมชุดปัจจุบันได้รับยกย่องถึงขั้นว่าเป็นทีมฟุตบอลที่ดีสุดในประวัติศาสตร์โลกลูกหนัง



ภาวนาให้เทพีฟอร์ทิวน่ามาเยือนแสตนด์ฟอร์ดบริดไวๆ


วันวานยังหวานอยู่กับตำแหน่งดับเบิ้ลแชมป์เมื่อฤดูกาลที่แล้ว


แล้วใครจะเป็น"เทพีฟอร์ทิวนา"ผู้นำโชคมาให้แก่เชลซีในวันนี้ แน่นอนที่สุดอันเชล๊อตติย่อมวาดหวังว่า โชคจะอยู่ข้างๆเขา ค้นพบนักเตะที่สามารถสร้างผลกระทบได้ในทันทีและพลิกฟื้นเปลี่ยนเชลซีให้กลายเป็นทีมที่มีคลาสของแชมป์เปี้ยนอีกครั้งหนึ่งสร้างตำนานประวัติศาสตร์เหมือนอิริค คันโตน่าและเอ็ดการ์ ดาวิดส์


ครุ่นคิดว่าจะเหลือเวลาโอกาสอีกนานสักแค่ไหน?


ขออีก 4 นัดนะ แต่ถ้าได้ 4 เดือนยิ่งดีใหญ่



นี่คือสิ่งผู้จัดการทีมชาวอิตาเลี่ยนคนนี้วาดหวังว่าโชคจะมาถึงเขาให้เร็วที่สุด มิฉะนั้น เขาอาจจะกลายเป็นอดีตผู้จัดการทีมเชลซีในวันพรุ่งนี้ก็ได้




วาดหวังว่า จะมีโอกาสได้แสดงอาการแบบนี้อีกครั้งเมื่อจบฤดูกาลนี้


Chelsea likely to persevere with Carlo Ancelotti as manager despite great concerns
มิฉะนั้นแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นจริงๆ อันเชล็อตติคงจะรู้ "ประตูทางออก"





.

มอเตอร์ หรือ สติกเกอร์

เมื่อตอนที่ Real Madrid ทีมดังในสเปนตัดสินใจขาย Claude Makelele ให้กับทีม Chelsea แล้วซื้อ David Beckham มาแทนที่ในช่วงกลางปี 2003 ปรา...