4 ธันวาคม 2555

ความบังเอิญ(ของ)หมายเลข 3

.





ภายหลังจากที่พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 กรกฏาคมปีที่แล้ว  ก็ส่งผลทำให้นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรกลายเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย
หลังจากดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครบขวบปี ก็มีการปรับคณะรัฐมนตรีหลายตำแหน่งตามความเหมาะสมและจำเป็น ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า รัฐบาล ปู3ถูกกำหนดและอยู่ภายใต้อิทธิพลของ 3 สายใหญ่ คือสายนายใหญ่และนายหญิง สายคนในครอบครัว และสายพรรคร่วมรัฐบาล     สื่อบางฉบับวิพากษ์วิจารณ์ว่า จริงแท้แล้ว ครม.ยิ่งลักษณ์ 3เกิดจากน้ำมือของผู้หญิง 3 คน เป็น 3 เจ๊คนครอบครัวเดียวกัน  ผู้เป็นเสมือน ป-อ-ดของศูนย์อำนาจปัจจุบัน
               ถึงแม้ว่า อำนาจทางการเมืองในปัจจุบันจะอยู่ในมือของพลัง 3 ขาที่ร่วมมือยึดเหนี่ยวกุมอำนาจรัฐอย่างเหนียวแน่น ณ เวลานี้ นั่นคือ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ พรรคเพื่อไทย และกลุ่มคนเสื้อแดง แต่รัฐบาลก็เผชิญกับแรงกดดันทางการเมืองอย่างหนักหน่วงจากสารพัดทิศ 
               แรงกดดันที่ดูเหมือนสร้างความหนักใจให้กับรัฐบาลยิ่งลักษณ์มากที่สุด ณ ช่วงเวลาที่ผ่านมาสดๆร้อนๆ ก็คือ การชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยามและภาคีเครือข่ายภายใต้การนำของ เสธ.อ้าย พลเอกบุญเลิศ แก้วประสิทธิ์  (นักเรียนนายร้อยรุ่นปี 2503 ผู้เกิดในปีจุลศักราช1303 )โดยอ้างเหตุผลหลัก 3 ข้อที่จำเป็นต้องชุมนุมเพื่อขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ หนึ่ง คือรัฐบาลปล่อยให้มีการจาบจ้วงและดูหมิ่นสถาบัน  สอง เป็นรัฐบาลหุ่นเชิดไร้ประสิทธิภาพ และสาม รัฐบาลมีการทุจริตคอรัปชั่นอย่างมโหฬาร ซึ่งพลเอกพัลลภ ปิ่นมณี ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีได้ย้ำเตือนรัฐบาลว่า ทั้ง 3 ข้อ 3 เรื่องนี้เป็นสูตรสำเร็จในการปฏิวัติล้มล้างรัฐบาลมาตั้งแต่อดีตจนถึงครั้งล่าสุดในปี2549





เสธ.อ้ายในวันที่ปลุกการชุมนม ณ สนามม้า

         


ในขณะเดียวกัน นาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็ได้ขยายความและตอกย้ำให้เห็นว่า การเมืองเลวร้ายด้วย 3 เงื่อนไข คือ หนึ่ง เป้าหมายรัฐบาลนี้คือนิรโทษกรรมล้างผิดให้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้คนจึงรับไม่ได้ แม้รัฐบาลชนะเลือกตั้งมีเสียงข้างมาก แต่ไม่มีความชอบธรรมที่จะทำลายระบบกฎหมาย  สอง รัฐบาลใช้อำนาจเพื่อความได้เปรียบทางการเมือง ไม่ยอมรับการตรวจสอบทั้งในและนอกสภา และสาม นโยบายประชานิยมที่จะทำให้การเมืองและเศรษฐกิจมีปัญหาขั้นวิกฤต ผู้คนในสังคมจึงต้องตื่นตัว ส่งสัญญาณบอกผู้มีอำนาจว่าอย่าเดินเส้นทางนี้
แน่นอนที่สุดว่า พ.ต.ท.ทักษิณย่อมเป็นเป้าหมายหลักที่สำคัญที่สุดของการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ในครั้งนี้และทุกๆครั้ง  ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองของอดีตนายกรัฐมนตรีคนนี้ มีความเชื่อบนสมมติฐานที่ว่า ถ้าทักษิณจบ ปัญหาทางการเมืองต่างๆก็ยุติ”   เพราะฉะนั้น ข่าวการลอบสังหารคุณทักษิณซึ่งมีกำหนดการจะแวะเยือนท่าขี้เหล็ก ในประเทศพม่าเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายนที่ผ่านมา จึงดูเหมือนมีน้ำหนักของการเป็นข่าวจริงมากกว่าข่าวลวง  จนต้องล้มเลิกกำหนดการไปในที่สุด
ครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ ชื่อของเสธ.อ้ายดังเป็นข่าวติดหูคนไทยในฐานะนายกสมาคมกีฬามวยสากลแห่ง ประเทศไทยที่พลาดหวังเหรียญทองโอลิมปิค  แต่ด้วยบทบาทใหม่ในฐานะประธานและแกนเอกขององค์การพิทักษ์สยามฯ ชื่อของ  “เสธ.อ้าย กลายเป็นชื่อนายทหารเสธ. ที่ดังที่สุดในวงการเมือง ณ เวลานี้ไปโดยปริยาย หลังจากที่ก่อนหน้านี้เมื่อสองสามปีก่อนในช่วงที่ความขัดแย้งทางการ เมืองอย่างถึงขีดสุด ไม่มีชื่อเสธ.คนใดที่จะมีบทบาทและถูกกล่าวถึงมากเกินกว่าชื่อ เสธ.แดงอีกแล้ว
 ถึงแม้ว่า แก้วประเสริฐ ของเสธ.อ้ายจะไม่สามารถทำให้ฝันของแก้ว พงศ์ประยูรเป็นจริงนำเหรียญทองโอลิมปิคกลับเมืองไทยได้  แต่ใครหลายๆคนอาจจะกำลังคาดหวังว่าแก้วประเสิรฐดวงนี้อาจจะมีอิทธิพลข่มขวัญหรือสามารถทำลายล้างพลังแนวร่วมของแก้ว 3 ประการของฝ่ายคุณทักษิณที่เคยเป็นยุทธศาสตร์ต่อสู้ทางการเมือง นั่นคือพรรคเพื่อไทย แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช)ของกลุ่มคนเสื้อแดง และกองกำลังชุดดำ(?)
 แรกเริ่มเดิมทีแล้ว รัฐบาลได้ปรามาสและประเมินผิดพลาดว่าการชุมนุมครั้งแรกขององค์การพิทักษ์สยามฯเมื่อวันที่ 28 ตุลาคมจะมีผู้เข้าร่วมเพียงแค่ 3 พันคนเท่านั้น แต่การณ์กลับเป็นว่ามีผู้เห็นด้วยและเข้าร่วมชุมนุมที่สนามม้านางเลิ้งร่วม 3 หมื่นคนชนิดเกินความคาดหมาย จนกระทั่ง เสธ.อ้ายเกิดพลังฮึดประกาศเจตนารมน์ที่จะจัดชุมนุมครั้งต่อไปภายใน 3 สัปดาห์
ว่ากันว่า การชุมนุมครั้งที่สองเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน ณ บริเวณพระบรมรูปทรงม้า ดูเหมือนจะสร้างความหวั่นวิตกให้แก่ฝ่ายรัฐบาลอย่างมาก  ยิ่งเสธ.อ้ายเปิดเผยว่า ภายหลังจากการชุมนุมครั้งแรก ปรากฏมีผู้สนใจติดตามและเข้ามาดูเวปไซต์ขององค์การพิทักษ์สยามฯกว่า 3 ล้านคนแล้ว เป็นการข่มขวัญสร้างพลังทางจิตวิทยาอย่างได้ผล
 ความหวั่นวิตกดังกล่าว สะท้อนให้เห็นผ่านทางคำพูดของพ.ต.ท.ทักษิณ ที่ได้โฟนอินล่าสุดมาถึงกลุ่มคนเสื้อแดงภายใต้ชื่อรวมพลคนรักรัฐบาล ต้านกบฏ เดินหน้าลงมติรับร่างรัฐธรรมนูญวาระ 3” ที่สมุทรปราการเมื่อเร็วๆนี้ เรียกร้องให้คนเสื้อแดงเตรียมตัวเตรียมใจรวมพลังต่อต้านการชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยามฯ  นอกจากนี้ ก็ได้มีศึกษาวิเคราะห์แนวคิดและถ้อยคำต่างของเสธ.อ้ายในวอร์รูมของนายใหญ่ พรรคเพื่อไทย  จนมีเหตุมีมูลให้เชื่อได้ว่า สอดคล้องหรือตรงกับเอกสาร 3 หน้า ที่(เคย)ถูกส่งถึงบุคคลสำคัญในชาติบ้านเมืองและนายทหารหลายคน เมื่อสองปีที่แล้ว  โดยเฉพาะศัพท์แสงทั้ง 3 คำคือคำว่า  ปฏิวัติประชาชน  “การปิดประเทศ และ แช่แข็งประเทศ
แต่ดูเหมือนวอร์รูมของนายใหญ่จะลืมหรือมองข้ามไปว่า การเลือกและกำหนดการชุมนุมที่บริเวณพระบรมรูปทรงม้าของเสธ.อ้าย ถือเป็นการดำเนินการตามฤกษ์หรือ "ดวงอาชา" ครั้งที่ 3  ก็ว่าได้  ต้องไม่ลืมว่า ครั้งหนึ่ง วลีอุปมาเปรียบเปรยของพลเอกเปรมที่เกี่ยวกับม้าและจ๊อกกี้ เคยถูกตีความและโยงใยว่าเป็นการส่งสัญญาณจนกระ- ทั่งนำไปสู่การรัฐประหารในปี 2549  และต้องไม่ลืมว่า การเริ่มต้นชุมนุมของคนเสธ.อ้ายเกิดขึ้นที่สนามม้านางเลิ้ง ราวกับจะสะท้อนให้เห็นว่า ทั้งหลายทั้งปวง เป็นเรื่องของคนกับม้าไม่ใช่ม้าขาวของนารีใดๆ 



การชุมนุมของ "คนการเมือง" ที่สนามม้านางเิลิ้ง


ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ก็มองว่า พ.ต.ท.ทักษิณกังวลต่อการชุมนุมครั้งนี้เป็นอย่างมาก จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะโฟนอินใส่ร้ายป้ายสี  3 กลุ่มหลักที่เป็นฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง นั่นคือกลุ่มองคมนตรี/อำมาตย์  กลุ่มทหาร และพรรคประชาธิปัตย์
 ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนว่า ฝ่ายของคุณทักษิณและกลุ่มคนเสื้อแดง พยายามโยงใยให้สังคมเห็นถึงความเกี่ยวพันของ 3 พี ต่อการชุมนุมในครั้งนี้ โดยเฉพาะบทบาทสำคัญของลูกป๋าทั้งสองคนในฐานะแนวร่วมขององค์การพิทักษ์สยามฯคือ น.ต.ประสงค์ (Prasong) สุ่นสิริ และ พล ร.อ. พะจุณณ์  (Phajun) ตามประทีปที่สามารถโยงไปถึงป๋าเปรม (Prem) ได้   
 ก่อนถึงวันชุมนุมใหญ่ องค์การพิทักษ์สยามฯ ได้เก็บงำยุทธิวิธีในการชุมนุมไว้อย่างลับที่สุดจนสร้างความหวั่นไหวให้แก่ ฝ่ายรัฐบาลเพราะไม่รู้ว่าจะมาไม้ไหนและจะตั้งรับไม้ใด  ถึงแม้ว่า วอร์รูม 30 อรหันต์ ขององค์การพิทักษ์สยามฯ จะประกอบด้วยแกนนำจากแนวร่วมเครือข่ายต่างๆ  แต่อำนาจการตัดสินใจและการวางแผนจะถูกกำหนดอย่างลับที่สุดโดยแกนนำหลักเพียง 3 คนเท่านั้น นั่นคือ เสธ.อ้าย พล.ร.อ.ชัย สุวรรณภาพ และพล.อ.ท.วัชระ ฤทธาคนี  (จนเครือข่ายคนรักประชาธิปไตย 14 จังหวัดภาคใต้ได้ถือเคล็ดและเผาควายขนาดใหญ่ 3 ตัวเพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์)  เช่นเดียวกันกับทางฟากของกลุ่มคนเสื้อแดงก็ได้มีการประกาศอย่างชัดเจนว่า การเคลื่อนไหวใดๆของคนเสื้อแดงให้รับฟังสัญญาณและคำสั่งจากแกนนำเพียง 3 คนเท่านั้น คือ นางธิดา ถาวรเศรษฐ นายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสน ความเพลี่ยงพล้ำหรือการปะทะของมวลชนทั้งสองฝ่าย
ในฟากฝั่งรัฐบาลเอง ถึงแม้จะมีการปรามาสว่า การชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยามฯจะอยู่ได้ไม่เกิน 3 วัน  แต่ถ้าหากว่า เกิดปรากฏการณ์ มีผู้มาเข้าร่วมชุมนุมมืดฟ้ามัวดินกว่า 3 แสนคนก็คงจะสร้างความวิตกหวั่นไหวให้แก่รัฐบาลและผู้สนับสนุนหนาวสะท้านไม่ต่างจากสภาพถูกแช่แข็ง  ด้วยเหตุนี้เอง จึงได้มีการตระเตรียมและเตรียมพร้อมอย่างสูงสุดเพื่อรักษาอำนาจรัฐเอาไว้                          
ฝ่ายรัฐบาลได้มีการวิเคราะห์และเชื่อว่า  องค์การพิทักษ์สยามฯจะดำเนิน ยุทธศาสตร์ 3 ดาบ นั่นคือ การชุมนุมใหญ่ การสร้างสถานการณ์ให้เลวร้ายจนกลายเป็นเงื่อนไขให้ทหารปฏิวัติรัฐประหาร และหากรัฐประหารไม่สำเร็จก็จะใช้องค์กรอิสระในการล้มรัฐบาลเป็นดาบสุดท้าย  ในขณะเดียวกัน รัฐบาลก็พยายามทำในทุกวิถีทางเพื่อหยุดยั้งการชุมนุมครั้งนี้ ทั้งมาตรการไม้อ่อนและไม้แข็ง 3 มาตรการ ดังนี้
หนึ่ง หวังใช้อำนาจของศาลในการสั่งให้ยุติการชุมนุม โดยศาลรัฐธรรมนูญได้ออกนั่งบัลลังก์ 3 วันก่อนวันชุมนุม ณ ห้องพิจารณาคดี ชั้น 3 สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ไต่สวนคำร้องทั้ง 3 คำร้องของกลุ่มผู้สนับสนุนรัฐบาล และมีคำสั่งไม่รับคำร้องทั้ง 3 ไว้พิจารณาวินิจฉัย  เท่ากับว่า เสธ.อ้ายมีสิทธิและสามารถจัดการชุมนุมตามกำหนดได้
สอง ในขณะเดียวกัน ก่อนถึงกำหนดดีเดย์วันชุนนุมใหญ่ รัฐบาลก็ได้มีการประกาศเชิญชวนให้คนไทยร่วมกันสวมใส่เสื้อสีเหลืองอย่างพร้อมเพรียงกันเนื่องในโอกาสวัน 5 ธันวามหาราชา”  ราวกับว่า เพื่อหวังผลทางจิตวิทยาบางประการ(?)
สาม เมื่อไม่สามารถหยุดยั้งการชุมนุมครั้งใหญ่ได้ รัฐบาลจึงได้เตรียมมาตรการไม้แข็ง โดยประกาศ พรบ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ใน 3 เขตได้แก่เขตพระนคร ป้อมปราบศัตรูพ่ายและดุสิต พร้อมกันนั้น พล.ต.อ. อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์รักษาความสงบเรียบร้อย ได้ลงประกาศ ศอ.รส. ทันที 3 ฉบับเพื่อรับมือกับการชุมนุม โดยได้กำหนดจุดพื้นที่ไว้ 3 ระดับ ประกอบด้วย พื้นที่หวงห้ามเด็ดขาด เช่น ที่ประทับ พระบรมมหาราชวัง พระตำหนักสวนจิตรลดา ทำเนียบรัฐบาล รัฐสภา และ รพ.ศิริราช  พื้นที่หวงห้าม ซึ่งรวมถึงพื้นที่บริเวณรัฐสภาและทำเนียบ และพื้นที่เฝ้าระวัง  ทั้งนี้ ในส่วนของกองบัญชาการตำรวจนครบาลได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการ (ศปก.) ส่วนหน้าไว้ 3 จุดคือ สนามเสือป่า รัฐสภา และทำเนียบรัฐบาล  และแน่นอนที่สุดว่า ได้มีการยกระดับมาตรการรักษาความปลอดภัยบ้านพักของนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ในซอยโยธินพัฒนา 3 อย่างเข้มงวดและเต็มกำลัง  เพราะเชื่อว่า เสธ.อ้ายและเครือข่ายมีเป้าหมายหลักที่จะโค่นล้มนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ให้กลายเป็นผู้นำนอมินีของพ.ต.ท.ทักษิณคนที่ 3 ที่สูญเสียอำนาจต่อจากนายสมัคร สุนทรเวชและนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์
สำหรับพื้นที่หวงห้ามนั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้จัดเตรียมตำรวจจำนวน 3 กองพันตั้งป้อมประจำรักษาการบริเวณทำเนียบรัฐบาล และตำรวจตระเวนชายแดนจำนวน 3 กองร้อยรับผิดชอบดูแลพื้นที่ภายในรัฐสภาเพื่อดูแลรักษาความปลอดภัยในระหว่างการชุมนุม  ทั้งนี้  ได้มีการเตรียมบันไดเชื่อมต่อระหว่างอาคารรัฐสภา  3  กับพระที่นั่งวิมานเมฆเพื่อใช้เป็นทางออกฉุกเฉินด้วย
ในส่วนของทหารทั้ง 3 เหล่าทัพก็ได้รับมอบหมายให้จัดนายทหารมาร่วมปฏิบัติงานให้คำแนะนำ ประสานงานปฏิบัติกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติด้วย โดยเฉพาะกองทัพบก ได้มีการสั่งการไปยัง 3 กองพลสำคัญ คือ กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ และกองพลปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน ให้จัดเตรียมกำลัง เตรียมพร้อมในหน่วยที่ตั้งหากมีการร้องขอการสนับสนุน อย่างน้อยที่สุด เพื่อลบกระแสข่าวที่ว่า จะมีหน่วยทหารหลายหน่วยเข้าร่วมชุมนุมในครั้งนี้ด้วย โดยเฉพาะกองพลทหารราบที่ 3 (ค่ายเปรม ติณสูลานนท์) ที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษ
ในส่วนขององค์การพิทักษ์สยามและเครือข่ายก็ได้มีการตระเตรียมวางแผนสำหรับการชุมนุม ด้วยการตั้งด่านอย่างเข้มงวด 3 ชั้นตั้งแต่เปลือกไข่ ไข่ขาวและไข่แดง  และจัดตั้งการ์ด 3 กลุ่มขึ้นมาดูแลมวลชนคือ กองทัพธรรมจากสันติอโศก หน่วยรักษาความปลอดภัยจากหลายเครือข่ายซึ่งมีประสบ การณ์ในการชุมนุมมาก่อน และอาสาใหม่เพื่อเตรียมรับมือและต่อสู้กับ 3 ยุทธศาสตร์ของฝ่ายรัฐบาลในการสกัดกั้นมวลชน นั่นคือ การใช้คำพูดท้าทายต่อผู้ชุมนุม การสร้างข่าวเพื่อใส่ร้ายป้ายสีม็อบ และการใช้วิธีการตีปลาหน้าไซ โดยให้ข่าวในลักษณะที่สร้างภาพความรุนแรง จนทำให้ประชาชนไม่กล้าเข้าร่วมกับม็อบ  
การทำสงครามจิตวิทยาก่อนถึงศึกใหญ่กลายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับทั้งสองฝ่าย ในส่วนของเสธ.อ้ายก็ได้ประกาศจุดยืนอย่างชัดเจนว่า  ศึกครั้ง(สุดท้าย)นี้ม้วนเดียวจบหากไม่ชนะก็ต้องยุติ จะไม่มีการชุมนุมครั้งที่ 3 อย่างแน่นอน  พร้อมทั้งเปิดตัว 3 คนเสื้อแดงที่เข้าร่วมม๊อบชุมนุมขับไล่รัฐบาล และอ้างว่า หมู่บ้านเสื้อแดงเพื่อประชาธิปไตยกว่า 3 หมื่นหมู่บ้านทั่วประเทศ อาจจะสนับสนุนการชุมนุมของเสธ.อ้ายก็เป็นได้  ในขณะเดียวกัน  คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชรพร้อมลูกๆทั้ง 3 คน ซึ่งเป็นหัวแก้วหัวแหวนของคุณทักษิณก็ได้ปรากฏตัวที่สถานีวอยซ์ทีวีท่ามกลาง ข่าวลือข่าวปล่อยว่าคนในตระกูลชินวัตรเตรียมเดินทางออกหนีออกนอกประเทศเพราะ ไม่มั่นใจใสถานการณ์
ในส่วนของฝ่ายรัฐบาลเอง ก็ได้ปล่อยข่าวว่า มีการจัดหาและสั่งซื้อเสื้อสีแดงไม่ต่ำว่า 3 พันตัวสำหรับวางแผนเตรียมการสร้างแดงเทียม ที่อาจจะเป็นมือที่ 3 ที่ทำให้สถานการณ์เลวร้ายเกินควบคุม  พร้อมทั้งประเมินสถานการณ์ว่า องค์การพิทักษ์สยามและเครือข่ายได้สั่งให้ผู้ชุมนุมเตรียมตัวและเตรียมเครื่องใช้ที่จำเป็นสำหรับการชุมนุมเป็นเวลา 3 วัน และย้ำข่าวปล่อยว่า  ผู้ชุมนุมได้มีการเตรียมทางหนีทีไล่โดยหากเกิดความรุนแรงให้กลุ่มผู้ชุมนุมหนีเข้าไปอยู่ใน 3 จุดคือ สนามเสือป่า วัดเบญจมบพิตรฯ และสวนจิตรลดา โดยเฉพาะสวนจิตรลดาที่มีการแจ้งกับผู้ชุมนุมว่าเป็นจุดที่ปลอดภัยมากที่สุด แต่ก็ถือว่าเป็นสถานที่ที่อ่อนไหวที่สุดด้วย   ด้วยเหตุนี้  ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงได้ประกาศแจ้งเตือนและแนะนำไปยังผู้ชุนนุมว่า สถานที่ 3 แห่งสำหรับให้ประชาชนเข้าไปในกรณีมีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น คือ สนามม้านางเลิ้ง วัดเบญจมบพิตรและสโมสรทหารบก  และที่จะขาดเสียมิได้ก็คือ ชุดปฏิบัติการฉุกเฉินและรถพยาบาลฉุกเฉินเคลื่อนที่เร็วปฏิบัติงานทันทีหากเกิดเหตุรุนแรงซึ่งได้มีการกำหนดแผน 3 ขั้นจากเบาไปหนัก
ที่สำคัญที่จำเป็นต้องกล่าวถึงก็คือ แผนปฏิบัติการ 3 ยุทธศาสตร์ของตำรวจเพื่อตัดไฟเสียแต่ต้นลม หนึ่ง ทำให้การเข้ามาชุมนุมในพื้นที่เป็นไปอย่างลำบากยากเย็น  สอง ทำให้พื้นที่ชุมนุมดูเสมือนจะมีอันตรายไม่ปลอดภัย   และ สาม สร้างพื้นที่อันตรายสำหรับการชุมนุม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การออกข่าวในทำนองว่า     มีพื้นที่ 3 แห่งที่ฝ่ายผู้ชุมนุมไม่สามารถตรวจสอบได้ คือ ทำเนียบรัฐบาล, กองบัญชาการตำรวจนครบาล และกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำอยู่แบบลับๆ ล่อๆ เมื่อถึงเวลามืดค่ำลง ไม่มีใครรับประกันได้ว่า ความรุนแรงจากการใช้อาวุธสงครามจะไม่เกิดขึ้นจากกลุ่มบุคคลในพื้นที่เหล่า นั้นหรือหรือจากคนชุดดำ จนกลายเป็นปัจจัยทางจิตวิทยาที่ชี้ขาดการยุติการชุมนุมก็ว่าได้
ถึงที่สุดแล้ว ภายหลังที่เสธ.อ้ายใช้เวลา 3 ชั่วโมงในการประเมินสถานการณ์หลังเกิดเหตุปะทะและใช้แก๊สน้ำตา และประกาศยุติการชุมนุมอย่างเกินความคาดหมาย เป็นการชุมนุมที่เสธ.อ้ายอ้างว่า ใช้เงินงบประมาณเพียงแค่ 3 ล้านบาท  มีการวิเคราะห์ว่า การพ่ายแพ้(ทางการเมืองชั่วคราว?)  ของเสธ.อ้ายและเครือข่ายในครั้งนี้ เป็นชัยชนะครั้งสำคัญสำหรับรัฐบาลยิ่งลักษณ์  บวกกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและ 3 รัฐมนตรีตลอด 3 วันกว่า 30 ชั่วโมง ที่ถึงแม้ว่าจะตระเตรียมการบ้านเป็นอย่างดี โดยใช้ห้องบนชั้น 3 อาคารรัฐสภาเป็นวอร์รูมเตรียมการ จนถึงขั้นกำหนดให้มีผู้ล่วงรู้ข้อมูลเพียง 3 คนเท่านั้น คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (หัวหน้าพรรค) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ (ประธานประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน) และ เจ้าของหัวข้อที่จะอภิปรายเพื่อป้องกันไม่ให้รัฐบาลรู้ตัวหรือเตรียมข้อมูล ล่วงหน้า แต่ด้วยจำนวนตัวเลข มือในสภาที่น้อยกว่า จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะสามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือสามารถ ล้มรัฐบาลได้
ดังนั้น จึงอาจเรียกได้ว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้รับชัยชนะในทั้ง 3 สนามรบ นั่นคือสนามรัฐสภา สนามรบมวลชนและสนามกองกำลัง หรือในระดับที่เรียกว่า ระบอบทักษิณ (กำลัง) รุกคืบ กินรวบและครอบงำทั้ง 3 องค์กรอำนาจหลัก คือ บริหาร นิติบัญญัติและตุลาการ  จนเชื่อมั่นว่านับตั้งแต่นี้ไปคงไม่มีกำลังไหนที่หาญกล้าหรือมีกำลังมากพอบั่นทอนหรือโค่นล้มรัฐบาลได้
อย่างไรก็ตาม มีการวิเคราะห์กันว่า แม้ว่าชื่อ เสธ.อ้ายจะได้ตาย(ทางการเมือง)ไปพร้อมกับการยุติการชุมนุมในครั้งล่าสุดนี้ แต่อย่างน้อยที่สุด ฝ่ายตรงข้ามกับระบอบทักษิณก็ยังองค์ประกอบอีก 3 ปัจจัยที่สามารถเป็น เชื้อนำไปสู่การชุมนุมต่อต้านในอนาคตได้
หนึ่ง เครือข่ายต่อต้านระบบอบทักษิณยังมี ชีวิตและ พลังที่รอโอกาสในการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ในอนาคต   
สอง มวลชนจำนวนมากที่เลือกยืนตรงข้ามกับรัฐบาลปัจจุบันและพร้อมจะให้การสนับสนุนและเข้าร่วมการชุมนุมต่อต้าน และที่ผ่านมา ก็มีการดำเนินการของทั้งสองฝ่ายที่จะแย่งและขยายมวลชนให้เข้าเป็นพวก ซึ่งกลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยได้กลายเป็นเป้าหมายหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยกลุ่ม ผรท.บัญชี 3 ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดในภาคอีสาน    และ
สาม ปัญหาวิกฤติของชาติที่รอการระเบิดหรือเป็นเชื้อก่อให้เกิดความไม่พอใจรัฐบาล  ไม่ว่าจะเป็นปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ล่าสุดมีการปิดโรงเรียนเป็นการชั่วคราวกว่า 3 ร้อยแห่ง ปัญหาเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทที่รัฐบาลประกาศบังคับใช้ทั่วทุกจังหวัดจนกลายเป็นเหมือนลาวาที่รอการปะทุ  ปัญหาการจำนำข้าวซึ่งกำลังกลายเป็นปัญหาใหญ่ของรัฐบาล หลังจากที่นายอภิสิทธิ์ ได้อภิปรายชี้ให้เห็นถึงเหตุผล 3 ข้อที่ประเทศชาติจะได้รับความเสียหาย  เหมือนผีซ้ำด้ามพลอย เมื่อมีการยืนยันจากทางการจีนว่า  สัญญาการซื้อข้าวแบบรัฐต่อรัฐกับจีนเป็นระยะเวลา 3 ปี และในปริมาณที่เพิ่มจากปีละ 3 แสนตันเป็นไม่เกินห้าล้านตันนั้นไม่มีมูลความจริง จนกระทั่งรัฐบาลต้องแก้เกมและเตรียมตรวจสอบสัญญาการซื้อข้าวแบบจีทูจีทุกสัญญาย้อนหลัง 3 ปีไปถึงสมัยรัฐบาลอภิสทธิ์ เวชชาชีวะด้วย                รวมทั้งปัญหาเรื่องการประมูลคลื่น 3-จี และแม้กระทั่งปัญหาเรื่องการถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการเล่นหูเล่นตา ของผู้นำไทย เมื่อคราวประธานาธิบดีบารัก โอบาม่าเดินทางมาเยือนประเทศไทย จนถึงขั้นสื่อบางฉบับเรียกขานว่า  “Woman’s Touch ปรากฏการณ์สะท้าน 3 โลก”  เรียกว่า เป็นเรื่องยากที่ปัญหาต่างๆ เหล่านี้ จะก่อให้เกิดกระแส ยิ่งรัก”  เพิ่มขึ้น


แดงคนแรก - 'ดอกจิก'ที่ถูกเด็ดร่วง

แดงคนที่ 2 - ก่อแก้ว พิกุลทอง - "พิกุลทอง"ที่ถูกเด็ดร่วง

แดงคนที่ 3 ที่ถูกเด็ดร่วง - อริสมันต์ พงศ์เรืองรอง



ในขณะเดียวกัน ปรากฏการณ์เด็ดดอกแดงให้แดงดู”  ก็ได้ส่งผลสะเทือนทางจิตวิทยาต่อกลุ่มคนเสื้อแดงไม่น้อย ภายหลังจากที่ศาลอาญามีคำสั่งเพิกถอนประกันตัวชั่วคราวนายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.เพื่อไทยและแกนนำคนเสื้อแดง เมื่อวันที่30 พ.ย. ที่ผ่านมา ทั้งๆที่ได้นำพยาน 3 คนเข้าเบิกความเพื่อหักล้างคำร้องแต่ก็ไม่เป็นผล     และล่าสุด เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. ศาลอาญามีคำพิพากษาให้จำคุกนายอริสมันต์ กี้ พงษ์เรืองรองเป็นเวลาหนึ่งปีโดยไม่รอลงอาญา กลายเป็นแดงดอกที่ 3 ที่โดนเด็ดร่วมชะตากรรมเดียวกัน หลังจากที่ก่อนหน้านี้ นายยศวริศ ชูกล่อมหรือเจ๋ง ดอกจิก ถูกศาลสั่งเพิกถอนประกันตัวชั่วคราวเมื่อเดือนส.ค.ที่ผ่านมา       มิใยต้องพูดถึง  “วีระ-จตุพร-ณัฐวุฒิหรือ 3 เกลอเสื้อแดง ที่ ณ เวลานี้ ต้องระมัดระวังสงบปากสงบคำมากกว่าเดิม โดยเฉพาะนายณัฐวุฒิ  ใสยเกื้อที่แม้จะมีตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการการทรวงพาณิชย์เป็นเกราะป้องกัน  แต่ในอีกฐานะหนึ่งก็คือจำเลยที่ 3 ในคดีก่อการร้ายที่อาจจะถูกเด็ดให้ร่วงหล่นเข้าซังเตกินข้าวแดงได้ทุกเมื่อ 




ในวันที่ '3 เกลอหัวแดง' ต้องสงบปากสงบคำ




สถานการณ์ดูเหมือนไม่เป็นใจให้แก่ฝ่ายรัฐบาลและผู้สนับสนุน เมื่อเกิดปรากฏการณ์ สาดกาแฟของแอร์โฮสเตสสายการบินคาเธ่ย์ แปซิฟิคที่โพสข้อความระบายความในใจอยากจะสาดกาแฟใส่ลูกสาวคนเล็กของคุณทักษิณ  ถึงที่สุดแล้ว ถึงแม้ทางสายการบินจะมีคำสั่งเมื่อวันที่ 3 ธ.ค. ให้ปลด แอร์ผึ้ง ออกจากงาน ส่วนหนึ่งอาจเป็นผลมาจากท่าทีที่แข็งกร้าวของนายประชา ประสพดีในฐานะ มท.3”  และแรงกดดัน 3 ข้อจากชมรมไทยเดินทาง  แต่ผลนับจากนี้ไปก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจมองข้ามได้เลย เพราะนี่ถือเป็นครั้งแรกๆที่ลูกสาวของอดีตผู้นำคนนี้ต้องประสบกับผลของความเกลียดชังที่ร้าวลึกเช่นนี้ด้วยตนเอง  
ในขณะเดียวกัน การชี้แจงของพล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น. ก่อนหน้านี้ ถึงเหตุผล 3 ประการที่พบตัวแต่ไม่ดำเนินการจับกุมคุณทักษิณ ก็มีแต่ตอกย้ำความคิดความเชื่อของฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองให้รอการปะทุในวัน ข้างหน้าได้ทุกเมื่อ
ณ วันนี้ หลังการชุมนุมยุติลง ไม่ว่าเสธ.อ้ายจะถูกดำเนินคดีในข้อหากบฏตามคำขู่ของ มท.3 หรือไม่ก็ตาม  แต่ดูเหมือนว่า  รัฐบาลและเครือข่ายระบอบทักษิณก็กำลังเดินหน้าด้วยยุทธศาสตร์ที่อาจจะดูหมิ่นเหม่หรือเสี่ยงต่อการ เรียกแขกเพิ่มในการชุมนุมครั้งหน้า  เมื่อพรรคเพื่อไทยประกาศที่จะเดินหน้าผลักดันให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 3 (โดยอ้างว่าเป็นผลมาจากการประชุมร่วมกับพรรคร่วมรัฐบาลเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายนที่ผ่านมา)  และที่ดูเหมือน อ่อนไหวที่สุดก็คือ การที่กระทรวงมหาดไทยได้ทำหนังสือลงวันที่ 30 ตุลาคม ถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดเกี่ยวกับการจัดงานเฉลิมพระชนมพรรษา “5 ธันวาคมมหาราช  โดยเฉพาะคำสั่งข้อ 3 ซึ่งกำหนดให้งดการจุดพลุในวันที่ถือว่าสำคัญที่สุดสำหรับคนไทยทั้งประเทศ  ก่อนที่จะมีการทำหนังสือแจ้งไปยังผู้ว่าฯอีกครั้งในวันที่ 3 ธ.ค. โดย(ชี้แจงว่า)ไม่ได้สั่งให้งดการจุดพลุ แต่ก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกคำสั่ง จนถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ทั้งๆที่รัฐบาลเพิ่งประกาศเชิญชวนก่อนกำหนดวันชุมนุมของเสธ.อ้ายให้คนไทย ร่วมกันใส่เสื้อสีเหลืองอย่างพร้อมเพรียงกัน
            หรือว่า ถึงที่สุดแล้ว ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่ร้าวลึกและยืดเยื้อมาจนถึงทุกวันนี้ จะต้องใช้เวลาถึง 3 ช่วงอายุคนจริงๆ ตามความเห็นของพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน   กว่าที่เราจะสามารถปรองได้อย่างสนิทใจ






.

มอเตอร์ หรือ สติกเกอร์

เมื่อตอนที่ Real Madrid ทีมดังในสเปนตัดสินใจขาย Claude Makelele ให้กับทีม Chelsea แล้วซื้อ David Beckham มาแทนที่ในช่วงกลางปี 2003 ปรา...