13 เมษายน 2557

ความรัก ความลำเอียงและความเป็นกลาง


.

ผลการศึกษาวิจัยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเกี่ยวกับความรักความลำเอียงของพ่อแม่โดยนักวิชาการสองฟากฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกออกมาตรงกันว่า พ่อแม่ล้วนแต่มี ลูกรัก และ ลูกชัง อยู่ในใจทั้งสิ้น

นักวิจัยอเมริกันแห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียพบว่า อย่างน้อยที่สุด กว่าร้อยละ 70 ของพ่อแม่มักจะมี ลูกรักที่รักมากกว่าลูกคนอื่นๆ ทั้งๆที่สืบสายเลือดเดียวกัน นักวิชาการเชื่อว่า หากพูดกันจริงๆแล้ว พ่อแม่ทุกคนล้วนแต่มีความรักที่ 2 มาตรฐานที่ให้กับลูกแต่ละคน



ความอ่อนไหวที่สุดระหว่างการเป็นลูกรักและลูกชัง


เช่นเดียวกับผลการวิจัยของนักวิชาการอังกฤษแห่งมหาวิทยาลัยบริสตอล ที่พบว่าพ่อแม่(โดยเฉพาะครอบครัวที่มีลูก 2 คน) มีท่าทีว่ารักลูกคนโตมากกว่าลูกคนเล็ก ลูกคนแรกจะได้รับความเอาใจใส่มากกว่า ได้รับการเลี้ยงดูที่ดีกว่า ได้รับรางวัลของขวัญที่มีราคาค่างวดมากกว่า เรียกว่าได้รับความรักความเสน่หาจากพ่อแม่มากกว่าลูกคนเล็ก ด้วยสาเหตุเหล่านี้ จึงส่งผลทำให้ลูกคนโตตัวสูงกว่า(อาจเป็นเพราะได้รับอาหารที่สมบูรณ์กว่า)และมีไอคิวมากกว่าลูกคนเล็ก(เนื่องจากได้รับความเอาใจใส่จากพ่อแม่อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องแบ่งให้พี่น้องคนอื่นๆ)


หัวอกลูกคนกลาง

งานวิจัยเหล่านี้ยืนยันได้ในระดับหนึ่งว่า หัวอกของคนเป็นพ่อแม่(ทุกคน)นั้นมีธรรมชาติที่รักลูกไม่เท่ากัน(?)  หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง พ่อแม่ทุกคนล้วนแต่มี 2 มาตรฐานในความรักที่มีต่อลูกๆ  เป็นความจริงที่ยากจะมีพ่อแม่คนไหน กล้ายอมรับตรงๆว่ารักลูกไม่เท่ากัน  แต่ภาษากายและพฤติกรรมต่างๆ เป็นความรู้สึกที่คนเป็น ลูกชัง รู้สึกถึงความลำเอียงนี้ได้ไม่ยาก และนั่นคือจุดเริ่มต้นของปัญหาต่างๆที่จะตามมาในอนาคต ทั้งต่อตัวลูก พ่อแม่และสังคม

ลูกรักของพ่อและแม่อาจจะไม่ใช่คนเดียวกันเสมอไป บางครั้งพ่อมักจะรักลูกคนโตมากกว่า ส่วนแม่จะเอนเอียงให้กับลูกคนเล็กมากกว่า บางครั้งอาจจะเป็นลูกชายหรือลูกสาวที่เป็น ลูกรักของพ่อแม่ ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆมาประกอบ เช่น ลูกคนไหนเหมือนพ่อเหมือนแม่มากกว่ากัน ลูกคนไหนเข้ากับพ่อแม่ได้ดีกว่ากัน ลูกคนไหนประสบความสำเร็จเจริญรอยตามหรือชดเชยในสิ่งที่พ่อแม่ไม่เคยประสบความสำเร็จมาก่อน  ใครเข็มแข็งหรืออ่อนแอกว่ากัน ใครได้ดังใจพ่อแม่หรือทำให้พ่อแม่ปลื้มมากกว่ากัน เป็นต้น


ความเท่าเทียมกันคือความยุติธรรม

ความรู้สึกว่าพ่อแม่รักลูกไม่เท่ากันนี้ ได้กลายเป็นปมด้อยของ ลูกชัง ที่ถูกเพาะพันธุ์และค่อยๆหยั่งรากลึกกลายเป็น แผลเป็นที่ติดตัวไปตลอดทั้งชีวิต จนบางครั้งเกิดเป็นโศกนาฏกรรมอันน่าเศร้าสลดที่สุดสำหรับสัตว์ที่ประเสริฐที่สุดที่เรียกว่ามนุษย์

ครั้งหนึ่ง กรณีของ พ.ต.อ.สุพัฒน์ เลาหะวัฒนะเคยเป็นข่าวเกรียวกราวทางหน้าหนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับในช่วงปลายปี 2555  โดยมีการเชื่อมโยงเกี่ยวพันกันระหว่าง หมอสุพัฒน์กับพี่ชายประหนึ่งเป็นศึกสายเลือด

หมอสุพัฒน์ถูกกล่าวหาในคดีฆาตกรรมแรงงานพม่าอย่างเหี้ยมโหด แต่พื้นฐานความเป็นมาและสภาพจิตใจของ หมอสุพัฒน์ เป็นสิ่งน่าศึกษาและให้ความสำคัญ เนื่องจาก หมอสุพัฒน์ ถูกกล่าวหาจากพี่ชายว่า(เคย)จงใจให้ยาผิดหรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือการวางยาแม่ของตัวเอง เนื่องมาจากเหตุของปมด้อยที่รู้สึกมาตลอดตั้งแต่เด็กว่าแม่รักพี่ชายมากกว่า

และถึงแม้ว่า หมอสุพัฒน์ จะใช้ปมด้อยนี้เป็นพลังทางบวกผลักดันตัวเองเรียนหนังสือให้เก่งกว่าและให้มีอาชีพที่ดีกว่าพี่ชายเพื่อพิสูจน์ให้แม่เห็นและรักมากขึ้น  แต่ดูเหมือนจะไม่สามารถเปลี่ยนใจแม่ได้ จึงมีมูลเหตุให้เชื่อได้ว่าปมด้อยและความรู้สึกว่าแม่รักลูกไม่เท่ากันนี้ได้ฝังลึกจนยากจะถอนได้

กรณีต่อมาที่เรียกว่าช๊อคสังคมไทยมากๆก็คือกรณีที่ นายวัฒน์ หนุ่มวัย 18 ปีซึ่งเป็นลูกชายคนโตของครอบครัวลั่นไกสังหารบุพการีของตัวเองพร้อมน้องชายอย่างโหดเหี้ยมในบ้านพักเขตปทุมธานีเมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยให้เหตุผลว่า เนื่องจากพ่อแม่ไม่ยอมซื้อรถยนต์ให้ตามสัญญาหลังจากที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้

แต่หากพินิจพิจารณาอย่างถ่องแท้แล้ว ความผิดหวังดังกล่าวย่อมไม่เพียงพอสำหรับใครสักคนหนึ่งที่จะเป็น เหตุนำไปสู่การฆ่าพ่อแม่ของตัวเองได้ แต่มูลเหตุที่แท้จริงที่มีน้ำหนักมากที่สุดน่าจะเป็นเรื่องของปมด้อยที่ นายวัฒน์ รู้สึกมาตลอดว่าพ่อแม่ลำเอียงรักลูกไม่เท่ากัน น้องชายคือลูกรักที่ได้รับการเอาใจใส่และความอบอุ่นทุกๆอย่าง ส่วนตัวเองคือลูกชังที่ถูกดุด่าเป็นประจำ

นายวัฒน์ คงคิดว่า การพยายามทำให้ดีที่สุด (ด้วยการสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ตามที่พ่อแม่มุ่งหวัง)  จะทำให้พ่อแม่หันมารักตัวเองมากขึ้นเหมือนที่เอ็นดูน้องชาย  แต่กลับกลายเป็นความสำเร็จที่ไร้ความหมายในสายตาของพ่อแม่ เมื่อถูกพ่อแม่ปฏิเสธไม่ซื้อรถยนต์ให้ตามที่สัญญาไว้จึงเป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ตัดสินใจกระทำผิดอย่างมหันต์ที่สุดสำหรับมนุษย์คนหนึ่ง

เพียงแค่ข้ามเดือน โศกนาฏกรรมที่น่าเศร้าสลดที่สุดก็เกิดขึ้นซ้ำชนิดช๊อกสังคมไทยไปตามๆกัน เมื่อปรากฏข่าวว่า นายเต้ย วัย 22 ปี ก่อเหตุจ้างวานให้ผู้อื่นไปสังหารบุพการีของตัวเองพร้อมพี่ชายสายเลือดเดียวกันอย่างเหี้ยมโหดในพื้นที่เขตบางแค จนเกิดคำถามว่าสังคมไทย ป่วย มากถึงขั้นนี้แล้วหรือ?

เช่นเดียวกับกรณีของ นายวัฒน์และกรณีของ หมอสุพัฒน์ที่มีมูลเหตุให้เชื่อได้ว่า ปมมรดกที่ดินกว่าร้อยล้านที่นายเต้ยหวังครอบครองไม่น่าจะ มากพอ ถึงที่สุดที่จะจูงใจและผลักดันให้นายเต้ย ถึงกับต้องก่อเหตุปิตุฆาตมาตุฆาตได้เช่นนี้ หากไม่ใช่เพราะปมด้อยที่สะสมฝังรากลึกมานาน

มีเหตุให้เชื่อว่า มูลเหตุสำคัญหนึ่งที่ค่อยๆบ่มเพาะและทำให้หนุ่มวัย 22 ปีกลายเป็นลูกทรพีถึงขั้นจ้างคนไปสังหารพ่อแม่และพี่ชายของตัวเองได้ ก็คือปมด้อยที่รู้สึกมาตลอดว่าพ่อแม่ลำเอียงรักพี่ชายมาก กว่า  เพราะ(ในสายตาของพ่อแม่แล้ว) พี่ชายดีกว่า เก่งกว่าและกำลังเป็นนายตำรวจที่มีอนาคตไกลให้พ่อแม่ได้ภูมิใจมากกว่าเมื่อเทียบกับตัวเอง จนสุดท้ายตัดสินใจผิดชั่วอย่างมหันต์ที่สุด

เพราะฉะนั้นแล้ว ถึงแม้จะเป็นเรื่องที่พึงปรารถนาอย่างมากๆ แต่ก็นับเป็นเรื่องยากในทางปฏิบัติที่จะเห็นพ่อแม่แสดง ออกซึ่งพฤติกรรมและภาษากายว่ารักลูกทุกๆคนอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ทำให้ลูกคนใดคนหนึ่งรู้สึกถึงความลำเอียงใดๆได้

หากเราไม่สามารถสร้างความรักให้เป็นมาตรฐานเดียวสำหรับลูกๆในครอบครัวเดียวกัน ไม่สามารถทำให้พ่อแม่ทุกคนรักและเอาใจใส่ลูกๆแต่ละคนอย่างเท่าเทียมกันทั้งๆที่เป็นสายเลือดเดียวกันได้แล้ว  ก็นับเป็นเรื่องที่ยากพอๆกันที่จะเรียกร้องหรือค้นหาใครสักคนหนึ่งที่มีความเป็นกลางทางการเมืองอย่างแท้จริงได้

..

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

มอเตอร์ หรือ สติกเกอร์

เมื่อตอนที่ Real Madrid ทีมดังในสเปนตัดสินใจขาย Claude Makelele ให้กับทีม Chelsea แล้วซื้อ David Beckham มาแทนที่ในช่วงกลางปี 2003 ปรา...