ในสายตาของตะวันตกแล้ว ประธานาธิบดี Bashar al-Assad แห่งซีเรีย
และ Kim Jong Un แห่งเกา หลีเหนือ
คือสองปีศาจร้ายหมายเลขหนึ่งของโลกครองตำแหน่งร่วมกันแบบไม่มีคู่แข่ง
แต่หากพิจารณาแบ๊ค กราวน์เดิมๆแล้วก็ให้เกิดข้อสงสัยว่า ทั้งคู่มีความโหดเหี้ยมแต่ใดมา
ผู้นำทั้งสองไม่ได้เป็นลูกคนโตที่พ่อหมายมั่นปั้นมือจะให้สืบทอดอำนาจ ไม่ได้มีความสนใจในเรื่องการเมืองการทหารเป็นทุนเดิม เรียกได้ว่าไม่มีความมักใหญ่ไฝ่สูงเรื่องอำนาจสักเท่าไร แต่ชะตาชีวิตลิขิตให้ต้องเป็น ไม่เป็นก็ไม่ได้
ก่อนขึ้นมาเป็นผู้นำ ทั้งสองคนไม่ได้ถูกฝึกหรือบ่มเพาะ จึงไม่ได้มีประสบการณ์ทางการเมืองเลยก็ว่าได้
ทั้งคิมทั้งอัสซาดมีคำว่า"ตะวันตก"
อยู่ในหัวระดับหนึ่งมาตั้งแต่เยาว์วัย จะซึมซับมากน้อยแค่ไหนไม่อาจรู้ได้แน่ชัด
ผู้นำเกาหลีเหนือไปเรียนหนังสือระดับประถมที่โรงเรียนกินนอนในสวิสเซอร์แลนด์ตั้งแต่เด็กๆ พูดภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศสและเยอรมันได้
ส่วนผู้นำซีเรียร่ำเรียนในโรงเรียนอินเตอร์ของฝรั่งเศส(ในซีเรียจึงพูดภาษาฝรั่งเศสได้ระดับหนึ่ง
นอกเหนือจากภาษาอังกฤษที่ว่ากันว่าคล่องแคล่ว
(เคยไปร่ำเรียนที่เกาะอังกฤษเพื่อฝึกเตรียมเป็นจักษุแพทย์)
ผู้นำทั้งสองคนก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งผู้ประเทศอย่างเต็มตัวตั้งแต่วัย
30 ต้นๆ จะว่าเป็นโชคชะตาหรือความประสงค์ของพระเจ้าก็ไม่อาจทราบได้
ส่วนคิมนั้นก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้นำเกาหลีเหนือรุ่นที่ 3 ที่มีแนวคิดหัวก้าวหน้าที่สุด ช่วงเป็นผู้นำใหม่ๆก็อนุญาติให้ศิลปินอเมริกันเข้ามาแสดงในประเทศเป็นครั้งแรก แบบไม่เกรงใจวิญญาณปู่วิญญาณพ่อ อีกทั้งโดยพื้นฐานเป็นคนชอบกีฬาบาสเกตบอลเป็นชีวิตจิตใจ (ถึงแม้ส่วนสูงจะไม่เอื้ออำนวยก็ตาม) ชื่นชอบอดีตซุเปอร์สตาร์บาสเก็ตบอลอเมริกันอย่าง Dennis Rodman มากๆ จนถึงขั้นเปิดประเทศเชิญให้มาเป็นแขกพิเศษ
เรียกว่า
ผู้นำคิมชื่นชอบหรือมีลิงค์สัมพันธ์กับนักร้องนักกีฬาอเมริกันเป็นทุนเดิม (เหมือนปูตินแห่งรัสเซีย)
ตอนเด็กๆ
ทั้งคู่มีบุคลิกเป็นคนเงียบๆค่อนข้างขี้อายเหมือนๆกัน
บวกกับพื้นฐานต่างๆที่บ่งบอกว่าไม่มีความทะเยอทะยาน
เป็นคนที่น่าจะมีทัศนคติเปิดกว้างมากกว่ารุ่นพ่ออย่างแน่นอน
จากข้อมูลพื้นฐานดังกล่ว จึงนำมาซึ่งข้อสงสัยว่า เหตุไฉนเมื่อครองอำนาจแล้วทั้งสองคนจึงได้ชื่อว่าเหี้ยมโหดเสียเหลือเกิน
จะบอกว่าอำนาจและวันเวลาทำให้คนเปลี่ยนก็อาจ จะมีส่วนถูกต้องได้ หรือจะเป็นเพราะว่า ระบบอำนาจที่เป็นมรดกตกทอดจากรุ่นพ่อรุ่นปู่ฝังรากลึกจนทำให้ทั้ง อัสซาดทั้งคิมต้องกลายเป็นอีกคนหนึ่ง? ไม่อาจเป็นตัวของตัวเองอย่างแท้จริงได้
อัสซาดโชคดีที่อยู่รอดมาได้นานถึง
17 ปีอย่างไม่น่าเชื่อหากพิจารณาวิกฤติในซีเรียที่รุนแรงยืดเยื้อมานาน
ส่วนคิมนั้นครองอำนาจมาแล้ว
5 ปี แต่จะโชคดีเหมือนอัสซาดหรือไม่ ต้องลองถามโดนัลด์ ทรัมป์
.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น