กลายเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯที่ขึ้นชื่อในเรื่องเปลี่ยนใจถึงขั้นชักเข้าชักออกมากที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์สำหรับโดนัลด์
ทรัมป์
เพราะนับตั้งแต่ชนะการเลือกตั้ง
ท่านผู้นำก็ยูเทิร์นกลืนคำสัตย์กลับคำสัญญาที่เคยให้ไว้กับชาวอเมริกันในระหว่างการรณรงค์หาเสียงหลายๆเรื่อง
แล้วทำสิ่งตรงกันข้าม ตั้งแต่เปลี่ยนใจไม่คิดจะสอบสวนสืบสวนเอาผิดฮิลลารี
คลินตันจนถึงขั้นจับขังเข้าคุกอีกแล้ว "เพราะไม่อยากทำร้ายจิตใจ"
ออกปากชมบารัค โอบามาว่าเป็นคนน่ารักน่าคบหา แล้วเปลี่ยนใจไม่ยกเลิกนโยบายโอบามาแคร์ทั้งหมด
ล่าสุดเมื่อช่วงสัปดาห์แรกของเดือนเมษายที่ผ่านมา จะเห็นว่าระยะเวลาเพียงแค่หนึ่งสัปดาห์ ทรัมป์ทำให้เอาชาวอเมริกันและชาวโลกต่างพากันช๊อคจนผมชี้ตั้ง เพราะคาดไม่ถึงว่าจะยูเทิร์นหรือกลับลำท่าทีที่เกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศสำคัญๆอย่างเหลือเชื่อ
ที่ชัดเจนที่สุดก็คือนโยบายต่อวิกฤติซีเรีย เพราะทรัมป์แสดงจุดยืนมานานตั้งแต่ปี 2012 ไม่เห็นด้วยที่สหรัฐฯจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวเพราะถือว่าไม่ใช่เรื่องธุระอะไรของอเมริกา แม้กระทั่ง ช่วงสองวันสุดท้ายของเดือนมีนาคมที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐฯเพิ่งยืนยันอย่างหนักแน่นว่า จะเลิกคิดที่จะกำจัดประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาดแห่งซีเรียแล้วปล่อยให้ชาวซีเรียเป็นผู้ตัดสิน
แต่สัปดาห์ต่อมา ทรัมป์ก็ออกคำสั่งให้เรือรบสหรัฐฯยิงขีปนาวุธถล่มฐานทัพอากาศของซีเรีย และรัฐบาลสหรัฐฯพร้อมที่จะโจมตีด้วยอาวุธหนักตราบใดที่กองทัพซีเรียยังคงใช้ระเบิดแก๊สพิษสังหารผู้บริสุทธิ์
แน่นอนที่สุดว่า ท่าทีที่แข็งกร้าวของสหรัฐฯต่อปัญหาซีเรีย ส่งผลทำให้เกิดการกระทบกระทั่งกับรัสเซียในฐานะผู้คุ้มครองซีเรียอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ บนหน้าเสื่อแล้ว ดูเหมือนความสัมพันธ์ระหว่างสองชาติมหาอำนาจเริ่มมีช่องว่างมากขึ้น เริ่มเผชิญหน้ากันมากขึ้น จากเดิมที่ต้องการปรับความสัมพันธ์ให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น ณ เวลานี้กลายเป็นว่า ทั้งสองชาติอาจจะมาถึงจุดที่ตกต่ำที่สุดตามคำกล่าวของทรัมป์เอง
นอกจากจะกลับลำจากดีเป็นร้ายแล้ว
ทรัมป์ก็ยังสามารถปรับเปลี่ยนจากท่าทีร้ายเป็นท่าทีดีได้เหมือนกัน จากเดิม
ที่เคยกล่าวหาว่าองค์การพันธมิตรทางทหารของตะวันตกอย่างนาโต้เป็นเสมือน
"ไดโนเสาร์" แต่ ณ ตอนนี้ ทรัมป์มองว่า
นาโต้ไม่ได้เป็นของโบราณอีกแล้วเพราะเป็นองค์กรที่จำเป็นในการต่อสู้กับการก่อการ้ายในปัจจุบัน
ยูเทิร์นที่ได้ชื่อว่าทรยศอย่างมากๆต่อสิ่งที่เคยประกาศเป็นจุดยืนของทรัมป์ก็คือท่าทีที่เคยมองจีนเป็นผู้ร้ายจอมปั่นหุ้นปั่นค่าเงิน
และ "ข่มขืน" เศรษฐกิจของสหรัฐฯจนเสียหายอย่างหนัก
แต่ในวันนี้ ท่านผู้นำเหมือนโดนล้างสมองหรือถูกมนต์คาถา พร้อมกับความคิดใหม่ว่าสิ่งที่เคยเชื่อในอดีตไม่มีอีกแล้วปัจจุบัน เชื่อว่ามี "เคมี" ที่เข้ากันได้ดีกับประธานาธิบดีจีนหลังจากเพิ่งได้พบปะสนทนาเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 6 เมษายนที่ผ่านมา
ทั้งหลายทั้งปวง โดนัลป์ ทรัมป์ให้เหตุผลอย่างภูมิใจในความเป็นคนที่ยืดหยุ่นแบบ "ยิมนาสติก" และ "โยคะ" ที่พร้อมจะ "ดัด" จะ "งอ" เปลี่ยนท่าทีจุดยืนใดๆได้ทุกเมื่อตามความจำเป็น เพราะสถานการณ์ของโลกปัจจุบันยุ่งยากซับซ้อนเกินกว่าจะยึดมั่นจุดยืนเดิมๆนั้นไปตลอด
ล่าสุด
นายกรัฐมนตรีเทเรซา เมย์ของอังกฤษเหมือนจะติดเชื้อ "ยูเทิร์น"
จากผู้นำสหรัฐฯ จนแสดงอาการเปลี่ยนใจเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีของเกาะอังกฤษเมื่อกลางเดือนกรกฏาคม
ปีที่แล้ว
ตลอดระยะเวลา
9 เดือนที่ผ่านมา ท่านผู้นำหญิงสร้างเครดิตให้กับตัวเองได้อย่างน่าชื่นชม
ในฐานะผู้ยืนหยัดและยึดมั่นต่อคำพูดเป็นสรณะ โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับ Brexit เพื่อเจรจาถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป
หนึ่ง
ยืนยันว่า "Brexit
means Brexit" ออกก็คือออก
สอง
ยืนยันว่าจะไม่มีการยื่นหนังสือแจ้งความประสงค์ต่ออียูภายในสิ้นปี 2016
ทั้งสามข้อนี้ ท่านผู้นำหญิงยืนหยัดและรักษาคำพูดอย่างเคร่งครัดชนิดไม่มีบิดพริ้ว สร้างความประทับใจ จนกลายเป็นนายกรัฐมนตรีที่น่าเชื่อถือมากๆของชาวเกาะอังกฤษ เทเรซ่า เมย์ได้ประกาศท่าทีอย่างชัดเจนตั้งแต่ก่อนเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีว่า จะไม่มีการยุบสภาจัดการเลือกตั้งใหม่ก่อนปี 2020 อย่างแน่นอน เป็นคำมั่นสัญญาที่ได้ยินไปทั่วทั้งเกาะ และยืนยันอย่างหนักแน่นอีกหลายครั้งหลายคราในเดือนกันยายน ตุลาคมและช่วงวันคริสมาสต์ในคำสัญญาเดิม
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ก่อนที่จะยื่นหนังสือต่ออียูอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่
29 มีนาคม ก็มีการตอกย้ำท่าทีเดิมนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ด้วยเหตุผลว่า
ต้องการให้รัฐบาลมีเสถียรภาพในช่วงระหว่างการเจรจากับอียู
แต่สุดท้าย ท่านผู้นำหญิงก็ไม่สามารถรักษาสัจจะวาจาได้ตลอดรอดฝั่ง จนถึงขึ้นถูกมองว่ากลืนน้ำลายด้วยการประกาศยุบสภาและกำหนดจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 8 มิถุนายน ถึงแม้จะอ้างว่าเพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศในการเจรจา Brexit กับอียูก็ตาม
เพราะเมื่อจำเป็นต้องเปลี่ยนใจกลับลำเรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้ว
ผู้นำมักจะมีข้ออ้างและเหตุผลเสมอ แต่ถ้าเปลี่ยนใจยอมกลืนน้ำลายเพื่อประโยชน์ของประเทศจริงๆก็ย่อมเป็นสิ่งที่น่ายินดีอย่างมาก
บางที หากผู้นำสหรัฐฯจะยอมเสียสัตย์อีกหลายๆครั้ง
โดยเฉพาะท่าทีนโยบายที่ยอมโอนอ่อนผูกมิตรกับผู้นำเกาหลีเหนือและกลุ่ม ISIS
จนทำให้เกิดคำศัพท์ใหม่ U-trump
ซึ่งหมายถึงการเปลี่ยนแปลงกลับลำจนเป็นนิสัย เมื่อนั้น
ผู้นำหญิงแห่งเกาะอังกฤษก็ย่อมมีเหตุผลที่จะกลับลำให้ช๊อคไปทั้งทวีปยุโรป โดยประกาศว่า Brexit ไม่มีอีกแล้ว
อังกฤษจะยังคงเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรปต่อไป
.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น