หัวอกจีน

 ตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ดูเหมือนว่า โดนัลด์ ทรัมป์พยายามทวีต เพื่อสื่อสารบอกกล่าวผู้นำจีนและชาวโลกว่า

  หนึ่ง ปัญหาเกาหลีเหนือเกิดขึ้นได้เพราะจีน? การที่เกาหลีเหนือก้าวร้าวหรือท้าทายถึงขนาดนี้ก็เพราะทำตามคำสั่งของจีนหรือจีนไม่คิดจะห้าม เพราะฉะนั้น เมื่อรู้จักผูก จีนก็ต้องรู้วิธีแก้ด้วย? เรียกว่าตำหนิหรือโยนภาระให้กับจีนไปเต็มๆ ขึ้นอยู่กับว่าจีนจะเต็มใจมากแค่ไหนหรือจะนิ่งเฉยได้หรือไม่

  สอง หากจีนไม่คิดจะทำ ไม่คิดจะแก้หรือไม่สามารถทำได้ สหรัฐฯก็พร้อมจะแก้ปัญหานี้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องหวังพึ่งพาจีน? 

โดนัลด์ ทรัมป์-เธเรซา เมย์ : เมื่อผู้นำ(ยอม)เสียสัตย์เพื่อชาติ

กลายเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯที่ขึ้นชื่อในเรื่องเปลี่ยนใจถึงขั้นชักเข้าชักออกมากที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์สำหรับโดนัลด์ ทรัมป์   เพราะนับตั้งแต่ชนะการเลือกตั้ง ท่านผู้นำก็ยูเทิร์นกลืนคำสัตย์กลับคำสัญญาที่เคยให้ไว้กับชาวอเมริกันในระหว่างการรณรงค์หาเสียงหลายๆเรื่อง แล้วทำสิ่งตรงกันข้าม  ตั้งแต่เปลี่ยนใจไม่คิดจะสอบสวนสืบสวนเอาผิดฮิลลารี คลินตันจนถึงขั้นจับขังเข้าคุกอีกแล้ว "เพราะไม่อยากทำร้ายจิตใจ"   ออกปากชมบารัค โอบามาว่าเป็นคนน่ารักน่าคบหา แล้วเปลี่ยนใจไม่ยกเลิกนโยบายโอบามาแคร์ทั้งหมด

ล่าสุดเมื่อช่วงสัปดาห์แรกของเดือนเมษายที่ผ่านมา จะเห็นว่าระยะเวลาเพียงแค่หนึ่งสัปดาห์  ทรัมป์ทำให้เอาชาวอเมริกันและชาวโลกต่างพากันช๊อคจนผมชี้ตั้ง เพราะคาดไม่ถึงว่าจะยูเทิร์นหรือกลับลำท่าทีที่เกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศสำคัญๆอย่างเหลือเชื่อ

เกาหลีเหนือล้มยักษ์

ในห้วงประวัติศาสตร์ 68 ปีของเกาหลีเหนือ  อย่างน้อยที่สุดมีช่วงหนึ่งที่สร้างความสุขความภูมิใจให้กับคนเกาหลีเหนือ  สร้างชื่อเสียงให้ประเทศ  และสร้างความประทับใจให้กับคนตะวันตกไม่น้อย นั่นคือ เหตุ การณ์ในเดือนกรกฏาคมปี 1966 เมื่อนักเตะทีมชาติเกาหลีเหนือซึ่งมีความสูงเฉลี่ยเพียงแค่ 165 เซ็นติเมตรสามารถ "ล้มยักษ์" เอาชนะทีมชาติอิตาลี แชมป์เก่าสองสมัยได้อย่างเหลือเชื่อ จนชนะใจแฟนบอลอังกฤษเจ้าภาพ

50 ปีผ่านไป แต่ความทรงจำเดิมๆของชาวเกาหลีเหนือยังไม่จางหายไป ในทางตรงกันข้าม กลับพัฒนากลายเป็นความเชื่อมั่นตั้งแต่ระดับผู้นำจนถึงกรรมกรว่า เกาหลีเหนือมีศักยภาพที่จะล้มยักษ์ได้ทุกเมื่อ แม้กระทั่งยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐฯ(?)

ถ้าทรัมป์จะไม่บอก ถ้าบอกจะไม่ทรัมป์

หนึ่งวันก่อนที่เรือรบสหรัฐฯจะยิงขีปนาวุธโทมาฮอคถล่มฐานทัพอากาศซีเรีย  โดนัลด์ ทรัมป์ได้กล่าวเป็นนัยไว้ว่า ในทางการทหารแล้ว จะไม่มีการบอกกล่าวล่วงหน้าว่าจะไปทำอะไรและที่ไหน

ดังนั้น การถล่มซีเรียในวันต่อมาจึงสร้างความประหลาดใจไปทั่วโลก เพราะไม่มีใครคาดคิดว่าผู้นำสหรัฐฯคนนี้จะกล้าตัดสินใจเยี่ยงนี้ นับเป็นปฏิบัติการ "ฉายเดี่ยว" ครั้งแรกของสหรัฐฯนับตั้งแต่เข้าไปเกี่ยวข้องในวิกฤติซีเรีย

โดนัลด์ ทรัมป์ กับระเบิด "พญาบอมบ์"

เกิดประเด็นข้อถกเถียงว่า จริงหรือไม่ที่โดนัลด์ ทรัมป์ไม่ได้รู้เรื่องราวหรือรับทราบล่วงหน้าถึงแผนปฏิบัติการทิ้งระเบิด"พญาบอมบ์" ในอัฟกานิสถาน เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

เป็นไปได้หรือที่กองทัพสหรัฐฯจะไม่เห็นหัวหรือสั่งการแบบพลการโดยข้ามหัวประธานาธิบดีของประเทศ สำหรับปฏิบัติการทิ้งระเบิดที่เรียกว่าครั้งประวัติศาสตร์นี้? 

ในด้านหนึ่งที่เป็นข้อเท็จริงในทางปฏิบัติ เป็นไปไม่ได้เลยที่ประธานาธิบดีของประเทศจะต้องรับรู้ รับทราบล่วงหน้า หรืออนุมัติสั่งการให้ทิ้งระเบิดแต่ละลูกแต่ละครั้งหรือในทุกๆภาระกิจที่มีอยู่เกือบทั่วโลก 

สองปีศาจร้าย : อัสซาด VS คิม จอง อึน

ในสายตาของตะวันตกแล้ว ประธานาธิบดี Bashar al-Assad แห่งซีเรีย และ Kim Jong Un แห่งเกา หลีเหนือ คือสองปีศาจร้ายหมายเลขหนึ่งของโลกครองตำแหน่งร่วมกันแบบไม่มีคู่แข่ง แต่หากพิจารณาแบ๊ค กราวน์เดิมๆแล้วก็ให้เกิดข้อสงสัยว่า ทั้งคู่มีความโหดเหี้ยมแต่ใดมา

ผู้นำทั้งสองไม่ได้เป็นลูกคนโตที่พ่อหมายมั่นปั้นมือจะให้สืบทอดอำนาจ ไม่ได้มีความสนใจในเรื่องการเมืองการทหารเป็นทุนเดิม เรียกได้ว่าไม่มีความมักใหญ่ไฝ่สูงเรื่องอำนาจสักเท่าไร แต่ชะตาชีวิตลิขิตให้ต้องเป็น ไม่เป็นก็ไม่ได้

ทรงผมท่านผู้นำ

นอกจากจะได้ชื่อว่า เป็นสองผู้นำที่ร้อนแรงที่สุดในโลกการเมืองระหว่างประเทศ ณ ชั่วโมงนี้แล้ว  ทั้งโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯและคิมจองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือก็ยังมีความโดดเด่นที่แตกต่างจากผู้นำคนอื่นๆทั่วทั้งปฐพีนั่นคือ ทรงผมที่เป็นเอกลักษณ์ ไม่มีใครเหมือน 

ถ้ายังไม่สามารถหาข้อตกลงกันได้ บางทีอาจ จะลองเปลี่ยนสลับทรงผมซึ่งกันและกัน เผื่อจะช่วยทำให้ได้ลุคใหม่ได้ความคิดใหม่ จนสามารถหาทาง ออกสำหรับวิกฤติครั้งนี้ได้

 หรืออาจจะช่วยทำให้ชาวโลกหายเครียดได้บ้าง

 .

ระเบิดเคมี : ปูติน VS ทรัมป์

ถึงแม้จะระดมยิงถล่มใส่ฐานทัพอากาศของ ซีเรียด้วยขีปนาวุธโทมาฮอคถึง 59 ลูก แต่ดูเหมือนว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นน้อยเกิน กว่าที่จะเป็นจริงได้   ทั้งในแง่จำนวนผู้เสียชีวิต (6-7 ราย) และจำนวนเครื่องบินรบในฐานทัพ จนเกิดข้อสงสัยว่า รัฐบาลซีเรียมี "ของดี"  หรืออย่างไร จึงทำให้อาวุธร้ายแรงของสหรัฐฯยิงพลาดเป้าไป

ผู้ก่อการร้ายจากเอเซียกลาง : แนวโน้มใหม่

ในบรรดารัฐๆต่างที่เคยร่วมเป็นส่วนหนึ่งของอดีตสหภาพโซเวียต  ถือว่ารัฐที่อยู่ในเขตเอเซียกลางทั้งห้าได้แก่ Kazakhstan, Kyrgyzstan, Tajikistan, Turkmenistan และ Uzbekistan มีความผูกพันกับรัสเซียมากยิ่งกว่ารัฐอื่นๆที่มีพรมแดนติดกับยุโรป (เช่นยูเครน ลิธัวเนีย เอสโตเนีย ลัตเวีย หรือ จอร์เจีย)   ผู้คนยังคงนับถือเลนินไม่เสื่อมคลาย  เรียกว่าเป็นรัฐที่มีปัญหากับรัสเซียน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับอดีตรัฐอื่นๆ 

ระเบิดเคมี : สหรัฐฯ VS รัสเซีย

ข้อเท็จจริงที่ยากจะมีผู้นำคนไหนกล้าเห็นแย้งก็คือเครื่องบินรบได้ทิ้งระเบิดลงในเขตจังหวัด Idlip ของซีเรียซึ่งอยู่ห่างจากพรมแดนตุรกีประมาณ 50-100 กิโลเมตร ของเช้าตรู่วันที่ 4 เมษายนที่ผ่านมา จนทำให้มีผู้เสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 80 คน

แต่ด้วยเป้าหมายทางการเมืองที่แตกต่างกัน จึงทำให้มีการสรุปตีความข้อเท็จจริงดังกล่าวออกมาเป็นสองมุมสองด้านที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ด้านหนึ่ง ฝ่ายสหรัฐฯ (ซึ่งได้รับการสนับสนุนอย่างท้วมท้นจากประเทศตะวันตกและตะวันออกกลางหลายๆประเทศ) ปักใจเชื่อมั่นเต็มร้อยว่า  ระเบิดที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตในครั้งนี้เป็นระเบิดเคมี ซึ่งเป็นสิ่งต้องห้ามโดยเด็ดขาด 

ไม่นั่งท้ายเอาเท่าไร

  ต้องยอมรับว่า กฏหมายห้ามนั่งท้ายรถกระบะมีเจตนาที่ดีเพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจทำให้สูญเสียชีวิตผู้คนได้ ซึ่งถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของกฏหมายฉบับหนึ่งๆ  

  

  แต่เนื่องจากความไม่พร้อมและความคุ้นเคยของผู้คน จึงทำให้กฏข้อห้ามนี้ต้องหยุดชะงักชั่วคราว

 ข้อเสนอหนึ่งที่เหมือน"พบกันครึ่งทาง" ก็คือ อนุโลม ให้คนนั่งท้ายกะบะได้ (อาจถึงสิ้นปี) โดยมีข้อแม้ข้อบังคับว่า 

  หนึ่ง ห้ามนั่งบนขอบท้ายรถโดยเด็ดขาด

  สอง บังคับให้รถกระบะที่มีคนนั่งท้ายรถตั้งแต่หนึ่งคนขึ้นไปต้องขับอยู่ในเลนซ้ายเท่านั้น ซึ่งจะช่วยทำให้ขับช้าลง

  หากพบว่ามีการทำผิดในกรณีใดกรณีหนึ่งหรือทั้งสองกรณี จะต้องจับและปรับผู้ขับให้หนักที่สุด 

.

เกณฑ์ทหาร - ความเปลี่ยนแปลงในยุโรป

เมื่อกำแพงเบอร์ลินพังทลายในปี 1989 พร้อมๆกับการสิ้นฤทธิ์ของภัยคอมมิวนิสต์ ทำให้การเกณฑ์ทหารของประเทศต่างๆในยุโรปกลายเป็นสิ่งที่ล้าสมัยและไม่จำเป็นอีกต่อไป หลายๆประเทศในยุโรปอย่างฝรั่งเศส อิตาลี เบลเยี่ยมและเนเธอร์แลนด์ เริ่มทยอยยกเลิกข้อบังคับการเกณฑ์ทหารตั้งแต่ยุคกลางทศวรรษที่ 1990 เรื่อยมาจนถึงสวีเดนในปี 2010 และเยอรมนีในปี 2011

ที่น่าสนใจมากๆก็คือบรรดากลุ่มประเทศที่ได้ชื่อว่าก้าวหน้าที่สุด เป็นประชาธิปไตยที่สุด และรักสงบที่สุดอย่างนอร์เวย์ ฟินแลนด์ สวิสเซอร์แลนด์ ออสเตรียและเดนมาร์ค  ไม่น่าเชื่อว่า การเกณฑ์ทหารยังมีผลบังคับใช้อยู่ ไม่ได้ยกเลิกเหมือนประเทศอื่นๆ ทั้งๆที่ไม่มีประวัติและไม่มีนโยบายเคยคิดจะไปรบรุกรานใครๆเลย

เพราะนี่คือเรื่องของความมั่นคง  ไม่ใช่เรื่องของความล้าสมัยใดๆ