โดยปกติแล้ว กัปตันทีมคือนักเตะที่สำคัญที่สุดของทีม โดยไม่จำเป็นว่าต้องเป็น
นักเตะที่ดีหรือเก่งที่สุดในทีม มักจะเป็นนักเตะที่เสียงดัง เป็นปากเป็นเสียง และมี
อิทธิพลในทีมมากที่สุด รอย คีนเป็นตัวอย่างหนึ่งที่จัดอยู่ในกลุ่มนี้
ในฟุตบอลโลก 2010 ครั้งนี้ เป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างยิ่งว่า เยอรมนีและ
เนเธอร์แลนด์เลือกกัปตันทีมด้วยหลักเกณฑ์ไหน
เริ่มจากเนเธอร์แลนด์ที่สามารถผ่านทะลุเข้าไปสู่รอบชิงชนะเลิศได้เป็นครั้ง
แรกในรอบ 32 ปี หากพิจารณาจากนักเตะ 11 คนแรกแล้วไม่มีใครมีคุณสมบัติ
เหมาะสมที่จะเป็นกัปตันทีมชาติได้เท่า Mark van Bommel ซึ่งมีฐานะเป็นกัปตันทีม
บาเยิร์น มิวนิจในเยอรมนีด้วย บวกกับบุคลิกลักษณะที่เป็นผู้นำ อีกทั้งเป็นผู้อาวุโส
ในทีมชาติด้วย
แต่กลับกลายเป็น Giovanni van Bronckhorst ที่ได้รับปลอกแขนแห่งเกียรติ
ยศนี้ ทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นนักเตะที่สำคัญที่สุดหรือมีอิทธิพลในทีมมากที่สุด ไม่ได้มี
คาแรกเตอร์ของความเป็นผู้นำที่โดดเด่นเลยเมื่อเทียบกับ Mark van Bommel
เว้นแต่เฉพาะคุณสมบัติที่มีอาวุโสสูงสุดในวัย 35 ปี
Mark van Bommel |
Giovanni van Bronckhorst |
เช่นเดียวกับกรณีของทีมชาติยอรมนี ซึ่ง Philipp Lahm ได้รับแต่งตั้งให้
เป็นกัปตันทีมเฉพาะกิจแทนที่ Michael Ballack ที่บาดเจ็บต้องถอนตัวออก
จากการแข่งขันตั้งแต่แรก ทั้ง Ballack และ Bommel ต่างก็มีบุคลิกที่เป็นผู้นำ
โดยธรรมชาติ เรียกว่า Born leader หรือ natural leader
น่าสนใจว่า ตัว Lahm เองก็ไม่ได้มีคาแรกเตอร์ของความเป็นผู้นำที่โดด
เด่นอะไรเช่นเดียวกับ Bronckhorst และไม่ได้เป็นนักเตะอาวุโสสูงสุดในทีม
ด้วย แต่เป็นผู้เล่นที่ลงสนามสม่ำเสมอมากที่สุดในการแข่งขันรอบคัดเลือกทั้ง
10นัด
Michael Ballack |
Philipp Lahm |
เมื่อร่วมทำศึกบนสนาม Michael Ballack จะมีความเป็นผู้นำมากกว่า Philipp Lahm |
หรือว่า เมื่อไม่มีนักเตะ "ผู้นำ" ตัวจริงอยู่ในทีม หรือไม่ได้ทำหน้าที่
เป็นผู้นำตัวจริง (ที่บางครั้งมักเป็นตัวปัญหาเสียเอง) กลายเป็นเงื่อนไขให้
ทั้งทีมขยับเขยื้อนได้มากขึ้นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ทีมเนเธอร์แลนด์และ
เยอรมนีแตกต่างและดีขึ้นกว่าเดิม เรียกว่า ประสบความสำเร็จเกินคาดหมาย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น