


ครั้งหนึ่ง Rinus Michels บิดาแห่งปรัชญา Total Football ผู้วางรากฐาน
หลักฟุตบอลสมัยใหม่ให้แก่เนเธอร์แลนด์และโลกลูกหนัง กล่าวไว้ว่า ฟุตบอลไม่
ต่างจากเกมสงครามอย่างหนึ่ง ที่ต้องมีการต่อสู้ห้ำหั่น มีผู้แพ้ผู้ชนะ
คู่ปฏิปักษ์หลายๆ คู่ ในวงการฟุตบอลระหว่างประเทศ ก็อาัศัยเกมฟุตบอลเป็น
เครืื่องมือหนึ่งในการทำสงคราม หรือทำสงครามที่มองไม่เห็นผ่านเกมฟุตบอล
สำหรับนักประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลกแล้ว ยังเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง
ที่คู่ชิงกลับไม่ใช่เนเธอร์แลนด์และเยอรมนี เพราะหากเป็นคุ่นี้แล้ว เราจะเห็นอดีต
ที่ขมขื่นระหว่างสองประเทศนี้กลับมาหอมหวลฟื้นความทรงจำอีกครั้ง เป็นคู่ชิง
ฟุตบอลโลกที่มีความหมายมากกว่าคู่ชิงฟุตบอลโลก
แต่.....
ถึงแม้ความปฏิปักษ์ระหว่างชนชาติดัทช์และสเปนจะไม่ตึงเครียดและร้าวลึก
เหมือนเช่นคนดัทช์กับคนเยอรมัน แต่ไม่ได้แช่แข็งหรือกลายเป็นฟอสซิลที่คน
ในยุคปัจจุบันจะไม่รับรู้เสียเลยคงจะไม่ถูกต้องกระไร หากจะกล่าวว่า คู่ชิงชนะ
เลิศระหว่างเนเธอร์แลนด์กับสเปนไม่ใช่สงคราม(ที่ต่อเนื่องมาจากประวัติศาตร์)
ทั้งสองชาติเคยมีประวัติศาสตร์แห่งความขัดแย้งและสู้รบมานาร่วมสี่ศตวรรษที่
ชาวโลกส่วนใหญ่นึกไม่ถึง แต่เพลงชาติเนเธอร์แลนด์คือหลักฐานที่เด่นชัดที่สุด
หนึ่งที่สะท้อนถึงความข่มขื่นระหว่างสองชาตินี้ เนื้อหาของเพลงชาติฮอนแลนด์
พูดถึงสงครามกับสเปนในช่วงศตวรรษที่ 16 ประยุกต์มาจากท่อนที่ปลุกระดมให้
ชาวดัทช์ทำสงครามต่อต้านสเปนเมื่อ 440 ปีก่อน
ก่อนจะลงสนามเพียงไม่กี่นาที นักเตะเนเธอร์แลนด์ก็ได้เปรียบนักเตะสเปนแล้ว
เป็นข้อได้เปรียบทางจิตวิทยาที่ไม่มีใครช่วยได้จริงๆ เพราะการร้องเพลงชาติ
"Wilhelmus" จะช่วยปลุกความฮึกโหมให้นักเตะดอกทิวลิปมากเป็นพิเศษ เหมือน
เช่นนักเตะสก๊อตแลนด์ร้องเพลง Braveheart ก่อนทำศึกกับอังกฤษอย่างไรอย่างนั้น
เกมฟุตบอลมีความหมายและแรงจูงใจมากกว่าเพียงแค่เกมฟุตบอลอย่างเดียว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น