การได้ชื่อว่าเป็น นักเตะค่าตัวแพงที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดย่อมไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง
เพราะดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ เป็นนักเตะที่เปี่ยมด้วยพรสวรรค์พันฝีเท้าหาตัวจับยากยิ่งคนหนึ่งในโลกลูกหนังปัจจุบัน
เบอร์บาตอฟเป็นศูนย์หน้าในสไตล์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ที่ยากจะค้นพบได้สักคนหนึ่งในบรรดานักเตะอังกฤษ เซอร์อเล๊กซ์ เฟอร์กูสันถึงกับยกย่องว่าเป็นจีเนียสเป็นอัจฉริยะลูกหนังคนหนึ่ง
ไม่เพียงแต่มีทักษะฝีเท้าไม่เป็นสองรองใครแล้ว ปลายเท้าของเบอร์บาตอฟ ยังพลิ้วแพร้ว ประดุจศิลปินใช้เท้าจับพู่กันบรรจงวาดรูปได้อย่างคล่องแคล่วน่าพิศวง เป็นนักเตะที่มีทั้งความแข็งแกร่งและควางดงามที่เรียกเสียงครางในหมู่ผู้ชมได้ตลอดเวลาประดุจเหมือนดูรอนนี่ โอซุลลิแวนสอยคิวเล่นมายากลบนโต๊ะสนุกเกอร์ เป็นทักษะและสไตล์ที่คล้ายกับศิลปินลูกหนังอย่างเอริก คันโตน่าหรือเดวิด ชิโนล่าอย่างไรอย่างนั้น
อัจฉริยะของเบอร์บาตอฟประหนึ่งมี แม่เหล็กและดาวเทียมติดปลายเท้า |
ฤดูกาลที่สาม (2010-2011) ในชุดปีศาจแดง ดูเหมือนว่าเบอร์บาตอฟสร้างผลงานได้อย่างคุ้มค่าสมกับเป็นนักแตะค่าตัวแพงที่สุดของสโมสร ด้วยสถิติ 21 ประตู ครองตำแหน่งดาวซัลโวสูงสุดของสโมสรและในพรีเมียร์ลีกในเวลานี้
นอกจากนี้ เบอร์บาตอฟยังสร้างสถิติเป็นประวัติศาสตร์แห่งเกียรติยศที่น่าภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นนักเตะคนแรกในรอบ 65 ปี ที่ทำแฮททริตยิงลิเวอร์พูลได้เมื่อต้นฤดูกาล และเป็นคนแรกนับตั้งแต่ฤดูกาล 2002-2003 ที่สามารถทำสามแฮททริตได้ในฤดูกาลเดียวกัน รวมทั้งสถิติยิงทีมแบล็คเบิร์นคนเดียวถึง 5 ประตูเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว
เบอร์บาตอฟในวันที่ยิงแฮทริตทีมลิเวอร์พูล |
ในวันที่ท้องฟ้าสดใส "เบอร์บา" สามารถยิงประตู สุดสวยอย่างที่นักเตะคนอื่นๆ เลียนแบบได้ยาก |
ถึงแม้จะมีสไตล์ที่ใจเย็น แต่เบอร์บาตอฟ ก็ไม่เขินอายที่จะฉลองชัยหลังยิงประตู |
ไม่เป็นที่สงสัยว่า เบอร์บาตอฟมีทั้งคลาสมีทั้งฟอร์มที่ครบถ้วน ที่สามารถลงเล่นเป็นศูนย์หน้าตัวจริงได้ในทุกทีมทั่วโลก ซึ่งในความคิดของเวนน์ รูนีย์ แล้ว ยกย่อง "เบอร์บา" ให้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมแห่งฤดูกาลของทีมปีศาจแดง
ในขณะเดียวกัน สถิติตัวเลขรวม 22 ประตูที่ดูสวยงามน่าพึงพอใจเป็นอย่างยิ่งนั้น กลับมีตำหนิรอยดำ และเป็นสิ่งที่น่ากังวลเป็นอย่างยิ่งสำหรับอดีตยอดศูนย์หน้าทีมชาติบัลแกเรียคนนี้ เพราะเบอร์บาตอร์ไม่สามารถยิ่งประตูทีมยักษ์หรือบิ๊กทีมที่เป็นคู่แข่งคู่ชิงตำแหน่งแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลได้เลยไม่ว่าจะเป็นอาร์เซนัล เชลซี และแมนเชสเตอร์ ซิตี้
รวมไปถึงบิ๊กทีมและบิ๊กเกมในแมทช์แชมป์เปี้ยนลีกที่ยังยิงประตูไม่ได้เลยในเกม 6 นัดของฤดูกาลนี้ ยิ่งดูสถิติย้อนหลังแล้วยิ่งน่ากังวลเป็นอย่างยิ่ง เพราะเบอร์บาตอฟไม่สามารถยิงประตูคู่แข่งได้ติดต่อกัน 18 นัดแล้ว ระยะเวลาสองปีครึ่งที่ยิงประตูไม่ได้ในสังเวียนแห่งนี้ต้องถือเป็นวิกฤติฟอร์มที่ถูกซุกใต้พรมที่คนทั่วไปไม่สังเกต
นี่คือสิ่งที่แตกต่างชัดเจนระหว่างเบอร์บาตอฟและรุด ฟาน นิสเตลรอย
แน่นอนที่สุดว่า เบอร์บาตอฟสมควรได้เครดิตกับการยิง 3 ประตูสุดสวยในนัดที่เจอกับลิเวอร์พูลเมื่อกันยายนปีที่แล้ว แต่บิ๊กทีมอย่างลิเวอร์พูลในช่วงเริ่มต้นฤดูกาลกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนทีมไม่แข็งแกร่งเหมือนชื่อ ไม่ได้เป็นบิ๊กทีมที่อยู่ในตำแหน่งและมีศักย ภาพในการท้าทายตำแหน่งแชมป์พรีเมียร์ลีก ครั้งสุดท้ายที่เบอร์บาตอฟยิงบิ๊กทีมก็คือเดือนมกราคม 2009 ในนัดแข่งกับเชลซี ต้องถือว่า เวลาสองปีกว่าๆที่ยิงประตูบิ๊กทีมไม่ได้นั้นนานเกินไปสำหรับศูนย์ระดับอัฉจริยะคนนี้
หลังจากแฮททริตยิงลิเวอร์พูลแล้ว เบอร์บาตอฟก็ไม่เคยยิงประตูบิ๊กทีมหรือในแมทช์บิ๊กเกมได้อีกเลยแม้เพียงประตูเดียว แน่นอนที่สุด เซอร์อเล๊กซ์คงไม่ได้คิดทุ่มเงินซื้อศูนย์หน้าด้วยราคาแพงเป็นประวัติศาสตร์ขนาดนี้ เพื่อให้ยิงประตูบิ๊กทีมฤดูกาลละหนึ่งครั้งหนึ่งทีมเท่านั้น หรือเพื่อให้ทำหน้าที่ยิงประตูทีมระดับธรรมดาๆ
ชื่อของเบอร์บาตอฟถูกนำไปเปรียบเทียบกับแอนดี้ โคลในยุค 3 แชมป์เมื่อทศวรรษก่อนอย่างช่วยไม่ได้ เพราะแม้โคลจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นศูนย์หน้าที่ใช้โอกาสเปลืองมากที่สุด (จนแทบจะไม่ได้รับโอกาสสำหรับทีมชาติอังกฤษ) แต่บ่อยครั้งที่ศูนย์หน้าผิวหมึกคนนี้สามารถยิงประตูบิ๊กทีมหรือในบิ๊กแมทช์ที่สำคัญๆได้
ด้วยสถิติ 21 ประตูในพรีเมียร์ลีกในเวลานี้ และมีแนวโน้มค่อนข้างสูงที่เบอร์บาตอฟจะได้ตำแหน่งดาวซัลโวสูงสุดเมื่อจบฤดูกาลนี้ (เพราะดาวซัลโวสูงสุดอันดับสองอย่างคาร์ ลอส เตเวชของทีมแมน ซิตี้ก็เจ็บยาว) แต่ย่อมไม่ใช่สิ่งที่เฟอร์กูสันชื่นชมหรือพึงพอใจเป็นที่สุด เพราะสายตาของผู้จัดการทีมปีศาจแดงแล้ว เบอร์บาตอฟกลายเป็น "ม้าตีนแผ่ว" ไปทุกขณะ จะเห็นได้ว่านับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นมา ศูนย์หน้าอัจฉริยะคนนี้ยิงได้เพียง 2 ประตูเท่านั้นจาก 12 นัดที่ลงสนาม นับเป็นสถิติที่ไม่น่าปลื้มสักเท่าไหร่ และคนที่ไม่ปลื้มมากที่สุดกับความไม่คงเส้นคงวาเช่นนี้ก็คือเซอร์อเล๊กซ์
แม้กระทั่งล่าสุดในนัดรอบรองชนะเลิศเอฟเอคัพที่พบกับแมน ซิตี้ เบอร์บาตอฟพลาดโอกาสทองถึงสองครั้งอย่างไม่น่าเชื่อจนทำให้แมนฯ ยูไนเต็ดหมดโอกาสลุ้น 3 แชมป์ เป็นสิ่งบอกเหตุบอกผลที่มีน้ำหนักชัดเจนสำหรับเซอร์อเล๊กซ์ และเป็นการตอกย้ำทฤษฏีที่ว่าเบอร์บาตอฟไมใช่บิกเนมสำหรับบิ๊กแมทช์มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น
สิ่งสำคัญต่อมาที่ไม่เป็นผลดีกับทีมมากนักก็คือ สไตล์การเล่นของบอร์บาตอฟไม่ได้กระตุ้นหรือทำให้รูนีย์สามารถแสดงศักยภาพได้อย่างเต็มที่ เรียกว่าพรสวรรค์ของเบอร์บาตอฟนอกจากจะไม่ช่วยส่งเสริมรูนีย์แล้ว ยังเป็นการบั่นทอนนักเตะทีมชาติอังกฤษคนนี้ไม่น้อย ตรงกันข้ามกับฮาเวียร์ เฮอร์นันเดชที่มีส่วนทำให้รูนีย์เป็นนักเตะที่มีเขี้ยวเล็บอันตรายอยู่ตลอด
แต่น่าเสียดายที่เบอร์บาตอฟไม่สามารถทำให้เซอร์อเล๊กซ์เชื่อมั่นเชื่อใจได้ว่า เขาเป็นบิ๊กเนมสำหรับบิ๊กเกมด้วย และอาจจะไม่มีโอกาสอีกแล้วก็เป็นไปได้
แต่เบอร์บาตอฟกำลังสงสัยครุ่นคิดว่า เกิดความผิดพลาดอะไรขึ้นมา ทำไมตัวเขาจึงถูกมองข้าม และไม่ได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่ศูนย์หน้าตัวจริงประจำทีมไปทุกๆนัด โดยเฉพาะในนัดที่แข่งกับบิ๊กทีมหรือเกมบิ๊กแมทช์
เซอร์อเล๊กซ์ย่อมมีเหตผลหลายๆปัจจัยในการพิจารณาตัดสินใจเลือกดร็อบเบอร์บาตอฟ หลายต่อหลายครั้ง แน่นอนที่สุดว่า ต้องเป็นเหตุผลเกี่ยวกับฟุตบอลเป็นสำคัญและเชื่อว่าเป็นเหตุผลเดียวกับที่โฮเซ่ มูรินโญ่ในสมัยคุมทีมเชลซีที่มักจะดร็อบโจโคลอยู่บ่อยๆ ถึงแม้จะโชว์ฟอร์มดีทำประตูได้ก็ตาม
ในความคิดของเฟอร์กูสันแล้ว ไม่จำเป็นที่จะต้องตัดสินศูนย์หน้าด้วยสถิติยิงประตูเพียงอย่างเดียว แต่ศูนย์หน้าสมัยใหม่จะต้องทำหลายๆหน้าที่ในเวลาเดียวกัน เป็นความรับผิดชอบเพื่อทีมเป็นสำคัญ โดยเฉพาะการช่วยไล่บอล การวางตัววางตำแหน่งเคลื่อนไหวในช่วงที่ไม่มีบอลอยู่กับตัวเพื่อสร้างข้อได้เปรียบให้กับทีม บางครั้งถูกวิจารณ์ว่าเป็นสไตล์ขี้เกียจ บ่อยครั้งที่เบอร์บาตอฟเน้นความสวยงามมากเกินไป จนปล่อยให้โอกาสหลุดลอยหายไป การเน้นศิลปะจนลืมผลลัพท์หรือ end-product นั้น ไม่ใช่สิ่งที่ยอดผู้จัดการทีมคนนี้ชื่มชอบมากนัก
ยามเมื่อหลายสิ่งไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด |
แต่สิ่งสำคัญมากๆที่นักเตะคนนี้ขาดหายไปนอกเหนือจากความเร็วแล้ว ก็คือความสามารถที่จะบันดาลอะไรๆให้เกิดขึ้นได้ เบอร์บาตอฟถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า เป็นนักเตะระดับบิ๊กเนมที่ไม่เหมาะกับบิ๊กเกม เป็นนักเตะที่คาดหวังหรือพึ่งไม่ได้ในเกมนัดสำคัญๆหรือเกมชี้ชะตา โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ทีมต้องการประตูหรือต้องการปาฏิหาริย์
นี่คือสิ่งที่แตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างเบอร์บาตอฟและคันโตน่า
ภาษากายที่บ่งบอกถึงความผิดหวัง |
ในขณะเดียวกัน สถิติตัวเลขรวม 22 ประตูที่ดูสวยงามน่าพึงพอใจเป็นอย่างยิ่งนั้น กลับมีตำหนิรอยดำ และเป็นสิ่งที่น่ากังวลเป็นอย่างยิ่งสำหรับอดีตยอดศูนย์หน้าทีมชาติบัลแกเรียคนนี้ เพราะเบอร์บาตอร์ไม่สามารถยิ่งประตูทีมยักษ์หรือบิ๊กทีมที่เป็นคู่แข่งคู่ชิงตำแหน่งแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลได้เลยไม่ว่าจะเป็นอาร์เซนัล เชลซี และแมนเชสเตอร์ ซิตี้
รวมไปถึงบิ๊กทีมและบิ๊กเกมในแมทช์แชมป์เปี้ยนลีกที่ยังยิงประตูไม่ได้เลยในเกม 6 นัดของฤดูกาลนี้ ยิ่งดูสถิติย้อนหลังแล้วยิ่งน่ากังวลเป็นอย่างยิ่ง เพราะเบอร์บาตอฟไม่สามารถยิงประตูคู่แข่งได้ติดต่อกัน 18 นัดแล้ว ระยะเวลาสองปีครึ่งที่ยิงประตูไม่ได้ในสังเวียนแห่งนี้ต้องถือเป็นวิกฤติฟอร์มที่ถูกซุกใต้พรมที่คนทั่วไปไม่สังเกต
นี่คือสิ่งที่แตกต่างชัดเจนระหว่างเบอร์บาตอฟและรุด ฟาน นิสเตลรอย
แน่นอนที่สุดว่า เบอร์บาตอฟสมควรได้เครดิตกับการยิง 3 ประตูสุดสวยในนัดที่เจอกับลิเวอร์พูลเมื่อกันยายนปีที่แล้ว แต่บิ๊กทีมอย่างลิเวอร์พูลในช่วงเริ่มต้นฤดูกาลกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนทีมไม่แข็งแกร่งเหมือนชื่อ ไม่ได้เป็นบิ๊กทีมที่อยู่ในตำแหน่งและมีศักย ภาพในการท้าทายตำแหน่งแชมป์พรีเมียร์ลีก ครั้งสุดท้ายที่เบอร์บาตอฟยิงบิ๊กทีมก็คือเดือนมกราคม 2009 ในนัดแข่งกับเชลซี ต้องถือว่า เวลาสองปีกว่าๆที่ยิงประตูบิ๊กทีมไม่ได้นั้นนานเกินไปสำหรับศูนย์ระดับอัฉจริยะคนนี้
หลังจากแฮททริตยิงลิเวอร์พูลแล้ว เบอร์บาตอฟก็ไม่เคยยิงประตูบิ๊กทีมหรือในแมทช์บิ๊กเกมได้อีกเลยแม้เพียงประตูเดียว แน่นอนที่สุด เซอร์อเล๊กซ์คงไม่ได้คิดทุ่มเงินซื้อศูนย์หน้าด้วยราคาแพงเป็นประวัติศาสตร์ขนาดนี้ เพื่อให้ยิงประตูบิ๊กทีมฤดูกาลละหนึ่งครั้งหนึ่งทีมเท่านั้น หรือเพื่อให้ทำหน้าที่ยิงประตูทีมระดับธรรมดาๆ
ชื่อของเบอร์บาตอฟถูกนำไปเปรียบเทียบกับแอนดี้ โคลในยุค 3 แชมป์เมื่อทศวรรษก่อนอย่างช่วยไม่ได้ เพราะแม้โคลจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นศูนย์หน้าที่ใช้โอกาสเปลืองมากที่สุด (จนแทบจะไม่ได้รับโอกาสสำหรับทีมชาติอังกฤษ) แต่บ่อยครั้งที่ศูนย์หน้าผิวหมึกคนนี้สามารถยิงประตูบิ๊กทีมหรือในบิ๊กแมทช์ที่สำคัญๆได้
ด้วยสถิติ 21 ประตูในพรีเมียร์ลีกในเวลานี้ และมีแนวโน้มค่อนข้างสูงที่เบอร์บาตอฟจะได้ตำแหน่งดาวซัลโวสูงสุดเมื่อจบฤดูกาลนี้ (เพราะดาวซัลโวสูงสุดอันดับสองอย่างคาร์ ลอส เตเวชของทีมแมน ซิตี้ก็เจ็บยาว) แต่ย่อมไม่ใช่สิ่งที่เฟอร์กูสันชื่นชมหรือพึงพอใจเป็นที่สุด เพราะสายตาของผู้จัดการทีมปีศาจแดงแล้ว เบอร์บาตอฟกลายเป็น "ม้าตีนแผ่ว" ไปทุกขณะ จะเห็นได้ว่านับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นมา ศูนย์หน้าอัจฉริยะคนนี้ยิงได้เพียง 2 ประตูเท่านั้นจาก 12 นัดที่ลงสนาม นับเป็นสถิติที่ไม่น่าปลื้มสักเท่าไหร่ และคนที่ไม่ปลื้มมากที่สุดกับความไม่คงเส้นคงวาเช่นนี้ก็คือเซอร์อเล๊กซ์
แม้กระทั่งล่าสุดในนัดรอบรองชนะเลิศเอฟเอคัพที่พบกับแมน ซิตี้ เบอร์บาตอฟพลาดโอกาสทองถึงสองครั้งอย่างไม่น่าเชื่อจนทำให้แมนฯ ยูไนเต็ดหมดโอกาสลุ้น 3 แชมป์ เป็นสิ่งบอกเหตุบอกผลที่มีน้ำหนักชัดเจนสำหรับเซอร์อเล๊กซ์ และเป็นการตอกย้ำทฤษฏีที่ว่าเบอร์บาตอฟไมใช่บิกเนมสำหรับบิ๊กแมทช์มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น
อาการผิดหวังเป็นที่สุดหลังพลาดโอกาสทองอย่างไม่น่าเชื่อ |
สิ่งสำคัญต่อมาที่ไม่เป็นผลดีกับทีมมากนักก็คือ สไตล์การเล่นของบอร์บาตอฟไม่ได้กระตุ้นหรือทำให้รูนีย์สามารถแสดงศักยภาพได้อย่างเต็มที่ เรียกว่าพรสวรรค์ของเบอร์บาตอฟนอกจากจะไม่ช่วยส่งเสริมรูนีย์แล้ว ยังเป็นการบั่นทอนนักเตะทีมชาติอังกฤษคนนี้ไม่น้อย ตรงกันข้ามกับฮาเวียร์ เฮอร์นันเดชที่มีส่วนทำให้รูนีย์เป็นนักเตะที่มีเขี้ยวเล็บอันตรายอยู่ตลอด
ครุ่นคิดหาคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้น |
ที่นั่ง(ไม่)ประจำสำหรับอัจฉริยะ? |
เพราะเหตุนี้เอง จึงทำให้เบอร์บาตอฟเสียเซลฟ์ไม่น้อย และจำใจต้องยอมรับบทบาทบนเก้าอี้ม้าสำรองอย่างเลือกไม่ได้และครุ่นคิดสำหรับอนาคตและชีวิตใหม่ในฤดูกาลหน้า
ถึงแม้ว่าจะเป็นฤดูกาลที่ดีที่สุดนับตั้งแต่ย้ายมาจากท๊อตแน่ม ฮ๊อทสเปอร์สเมื่อสามฤดูกาลก่อน ด้วยผลงานเกียรติยศดาวซัลโวสูงสุด(ในขณะนี้) และได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งฤดูกาล
หรือว่า เบอร์บาตอฟต้องก้มหน้ายอมรับ ชะตากรรมทีเกิดจากตัวเองแล้วมองหาอนาคตใหม่ |
ถึงแม้ว่าจะเป็นฤดูกาลที่ดีที่สุดนับตั้งแต่ย้ายมาจากท๊อตแน่ม ฮ๊อทสเปอร์สเมื่อสามฤดูกาลก่อน ด้วยผลงานเกียรติยศดาวซัลโวสูงสุด(ในขณะนี้) และได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งฤดูกาล
แต่น่าเสียดายที่เบอร์บาตอฟไม่สามารถทำให้เซอร์อเล๊กซ์เชื่อมั่นเชื่อใจได้ว่า เขาเป็นบิ๊กเนมสำหรับบิ๊กเกมด้วย และอาจจะไม่มีโอกาสอีกแล้วก็เป็นไปได้
.
คนนี้ไม่ใช่หรอครับที่ยิง แฮทริกใส่ ลิเวอร์พูล เกมส์นั้นไม่ใช่บิ๊กเกมส์หรอครับ
ตอบลบรู้แต่ว่าประวัติตอนเด็กของ เบอรืบ น่าสงสารมาก
ตอบลบแล้วมันกลายมาเป็นตัวตนของเขาในวันนี้