3 ตุลาคม 2558

วิกฤติซีเรีย : รัสเซียมาแล้ว (ตอนที่ 1)

"


จากจุดเล็กๆที่มีการประท้วงทางการเมืองอันเป็นผลพวงมาจากอิทธิพลของ “อาหรับสปริง” ในตอนต้นปี 2011 ก่อนจะลุกลามขยายวงกลายเป็นสงครามการเมืองที่รุนแรงจนคร่าชีวิตผู้คนกว่าสองแสน และอีกหลายล้านคนที่บ้านแตกต้องหนีภัยสงคราม จนกลายเป็นปัญหาผู้ลี้ภัยที่เลวร้ายที่สุดสำหรับยุโรปในปัจจุบัน

จากจุดเริ่มต้นของการประท้วงในเดือนมีนาคม 2011


การประท้วงที่พัฒนาการเป็นสงครามการเมือง

แต่จู่ๆ โลกก็ต้องตะลึง เมื่อรัฐบาลรัสเซียตัดสินใจส่งกองทัพทหารเข้าร่วมช่วยเหลือรัฐบาลของบาชาร์ อัล อัสเซดแห่งซีเรียด้วยการเริ่มต้นเปิดฉากถล่มฐานที่มั่นของกลุ่มการร้ายไอเอส (IS) และกลุ่มก่อการร้ายอื่นๆ ในวันที่ 30 กันยายนที่ผ่านมา
คำถามสำคัญแรกก็คือ รัสเซียก้าวไปสู่จุดวันนี้ได้อย่างไร และทำไมต้องก้าวเข้ามาเกี่ยวข้องในวิกฤติซีเรียครั้งนี้ด้วย


นายพลกาเซม โซเลมานีแห่งกองทัพอิหร่าน ผู้จุดประกายให้รัสเซียมาร่วมวงรบ

            หากสืบย้อนหลัง เชื่อได้ว่าจุดเริ่มต้นแรกๆที่เป็นรูปธรรมของการวางแผนเพื่อช่วยเหลือรัฐบาลซีเรียทาง ด้านการทหารในครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงปลายเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมา เมื่อผู้บัญชาการทหารระดับสูงของอิหร่านเดินทางไปรัสเซียอย่างลับๆ (เพราะติดเงื่อนไขเป็นบุคคลต้องห้ามตามคำสั่งของยูเอ็นไม่สามารถเดินทางระหว่างประเทศได้) เพื่อโน้มน้าวและชักจูงให้รัสเซียเข้ามาร่วมช่วยเหลือฝ่ายรัฐบาลซีเรียซึ่งกำลังอยู่ในช่วงสถานการณ์ที่เสียเปรียบย่ำแย่ที่สุด ด้วยความเชื่อมั่นว่า กองทัพรัสเซียจะช่วยทำให้ฝ่ายรัฐบาลซีเรียสามารถพลิกกลับมาเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างแน่นอน


ในวันที่ประธานาธิบดีบาชาร์ อัล อัสเซดประกาศยอมรับว่ากองทัพซีเรียกำลังย่ำแย่
      ในช่วงระยะเวลาที่ผู้นำรัสเซียและอิหร่านกำลังกำลังเจรจาลับเพื่อหาหนทางช่วยเหลือรัฐบาลซีเรียนั้ ประธานาธิบดีบาชาร์ อัล อัสเซดก็สร้างเซอร์ไพรซ์ด้วยการเปิดเผยยอมรับต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงในปี 2011 ว่า กองทัพรัฐบาลประสบปัญหาขาดแคลนกำลังพลอย่างหนัก ไม่สามารถเปิดศึกรบกับกลุ่มต่างๆได้ทั้งหมด จนต้องสูญเสียพื้นที่ของประเทศกว่าสี่ในห้าให้กับฝ่ายต่อต้านรัฐบาล


ภาพที่สะท้อนว่ากองทัพซีเรียกำลังเสียเปรียบ
การยอมรับต่อภาวะย่ำแย่ทางทหารดังกล่าวซึ่งผิดวิสัยของผู้นำซีเรียคนนี้ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนสะท้อนให้เห็นว่าสถานการณ์ของรัฐบาลและกองทัพอยู่ในภาวะ “สีแดง” เลวร้ายจริงๆ และมีโอกาสที่จะพ่ายแพ้อย่างราบคาบให้กับกองกำลังฝ่ายต่างๆที่ได้รับการสนับสนุนจากตะวันตกและกลุ่มประเทศอาหรับหลายๆประเทศ  หากไม่รับการช่วยเหลือใดๆทันท่วงที
เมื่อก้าวมาสู่จุดที่ตระหนักถึงโอกาสแห่งความพ่ายแพ้ทางทหาร  ทำให้ประธานาธิบดีบาชาร์ อัล อัสเซดไม่มีทางเลือกอื่นๆ  นอกจากร้องขอความช่วยเหลือทางทหารจากประธานาธิบดีปูตินโดยตรง (เหมือนเช่นกรณีที่รัฐบาลอิรัคเคยร้องขอความช่วยเหลือจากสหรัฐฯเมื่อเดือนมิถุนายน 2014)

 
มิตรภาพระหว่างปูตินกับอัสเซดไม่เคยร้าวราน

ซีเรียต้องการความช่วยเหลือ

ดูเหมือนว่า  ประธานาธิบดีวราดิเมียร์ ปูตินแห่งรัสเซียจะเห็นดีเห็นงามกับข้อเสนอของอิหร่านตั้งแต่แรกๆ และตัดสินใจที่จะช่วยแทรกแซงช่วยเหลือกองทัพซีเรียโดยไม่ลังเลรีรอ ดังนั้น ช่วงระยะเวลาสองเดือน (สิงหาคม-กันยายน) จึงเป็นช่วงเวลาของการวางแผนและตระเตรียมปฏิบัติการทางทหารนอกเขตพรมแดนเป็นครั้งแรกในรอบเกือบสามทศวรรษ  สอดคล้องกับคำยืนยันของรัฐมนตรีต่างประเทศซีเรียที่ยอมรับว่า ปฏิบัติการทางทหารของกองทัพอากาศรัสเซียในครั้งนี้ มีการวางแผนเตรียมการมานานหลายเดือนแล้ว 

ความล้มเหลวของกองทัพหมีขาวในการบุกรุกอัฟกานิสถาน
สหรัฐฯและพันธมิตรกับปฏิบัติการโจมตีทางอากาศเหนือดินแดนซีเรีย

ในการวางแผนเตรียมการนั้น เชื่อได้ว่า รัฐบาลรัสเซียศึกษาเรียนรู้บทเรียนในอดีตสมัยบุกรุกอัฟกานิสถาน (1979-1989) และปฏิบัติการทหารของสหรัฐฯในวิกฤติตะวันออกกลางที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบันนี้อย่างถี่ถ้วน เพื่อป้องกันความผิดพลาดใดๆที่อาจจะส่งผลเสียหาย  โดยเฉพาะการสร้างความชอบธรรมให้กับปฏิบัติการทหารในครั้งนี้

เมื่อวุฒิสภารัสเซียไฟเขียวให้รัสเซียร่วมรบในซีเรีย

การสร้างความชอบธรรมตามกฎหมายรัฐธรรมนูญของประเทศ  ซึ่งบัญญัติให้วุฒิสภารัสเซียเป็นผู้อนุมัติเห็นชอบหากรัฐบาลต้องการจะส่งกองทัพไปปฏิบัติการทางทหารนอกประเทศ   ดังนั้น เมื่อได้รับหนังสือร้องขอความช่วยเหลือทางทหารอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลซีเรีย  ประธานาธิบดีปูตินจึงได้เสนอเรื่องต่อให้วุฒิสภาพิจารณา เมื่อวุฒิสภาอนุมัติเห็นชอบอย่างเบ็ดเสร็จเอกฉันท์แล้ว ผู้นำรัสเซียในฐานะเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพรัสเซียจึงมีความชอบธรรม(ครึ่งหนึ่ง) ที่จะส่งกองทัพทหารไปปฏิบัติการในซีเรีย
ทั้งนี้ มติของวุฒิสภาดังกล่าวนี้ ไม่ได้กำหนดขอบเขตวันเวลาและสถานที่ของปฏิบัติการ  เท่ากับเปิดโอกาสให้อำนาจแก่ประธานาธิบดีปูตินสามารถปฏิบัติการทางทหารทั้งในซีเรียหรือที่อื่นๆทุกๆที่ทั่วโลกและทุกๆเมื่อโดยไม่มีเงื่อนไขจำกัดของระยะเวลา
ความจำเป็นต่อมาคือการสร้างความชอบธรรมตามกฎหมายระหว่างประเทศ  ถือเป็นความชอบธรรมอีกครึ่งหนึ่งที่ประธานาธิบดีปูตินต้องเติมเต็มให้ครบถ้วน  ทั้งนี้ การสร้างความชอบธรรมตามกฏหมายระหว่างประเทศนั้นสามารถดำเนินการการโดยผ่านการอนุมัติเห็นชอบจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติหรือโดยการร้องขออย่างเป็นทางการของรัฐบาลของรัฐนั้นๆ ซึ่งทางเลือกที่สองถือเป็นทางเลือกเดียวที่เป็นไปได้สำหรับรัสเซีย


เพราะซีเรียร้องขอ รัสเซียจึงตอบสนอง

สภาพที่สะท้อนให้เห็นว่าทำไมซีเรียต้องการความช่วยเหลือจากรัสเซีย

ดังนั้น ภายใต้ทฤษฏีสมคบคิด รัฐบาลซีเรียจำเป็นต้องเปิดตัวก่อน(ซึ่งไม่ได้เป็นเรื่องเสียหายใดๆ) โดยการทำหนังสือจดหมายร้องขออย่างเป็นทางการต่อรัฐบาลรัสเซีย เพื่อยืนยัน(บนหน้าเสื่อ)ว่า รัสเซียไม่ได้ตัดสินใจตามอำเภอใจหรือคิดใช้อำนาจบาตรใหญ่ในการบุกรุกประเทศอื่นๆ แต่เป็นการตอบสนองต่อคำร้องขอของซีเรียในฐานะรัฐฯหนึ่งและในฐานะประเทศพันธมิตรที่เก่าแก่ที่สุดประเทศหนึ่งของรัสเซีย
ด้วยเหตุนี้ ถึงแม้จะไม่ปรากฏวันที่ยื่นเรื่องหรือระบุวันที่ในจดหมาย แต่หนังสือร้องขอ(ความช่วยเหลือ)อย่างเป็นทางการที่ประธานาธิบดีบาชาร์ อัล อัสเซดมีถึงประธานาธิบดีปูตินโดยตรงนี้ จึงเป็นเอกสารหลักฐานสำคัญที่ยืนยันความชอบธรรมตามกฏหมายระหว่างประเทศ(ทางเลือกที่สอง) ทำให้การตัดสินใจในการปฏิบัติการทางทหารครั้งนี้มีความชอบธรรมที่สุด 


ความชอบธรรมของรัสเซียคือตอบสนองตามความต้องการของรัฐบาลซีเรีย

การเตรียมการดังกล่าวถือได้ว่าให้คุณประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่าย  นั่นคือ นอกจากจะเป็นการสร้างความชอบธรรมให้แก่ประธานาธิบดีปูตินแล้ว ยังเป็นการสร้างความชอบธรรมให้แก่ผู้นำซีเรียด้วย เพราะตลอดช่วงระยะเวลาสี่ปีของสงครามการเมืองในซีเรีย ฐานะความเป็นรัฏฐาธิปัตย์ของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล อัสเซด กลายเป็นอุปสรรคสำคัญหนึ่งที่ทำให้ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงเพื่อสันติภาพได้ ด้วยเหตุที่ชาติตะวันตกและหลายๆประเทศในตะวันออกกลางไม่รับรองรัฐบาลบาชาร์ อัล อัสเซด  ดังนั้น การที่ผู้นำรัสเซียหยิบยกอ้างอิงถึงหนังสือทางการของผู้นำซีเรียวัย 50 ปีคนนี้ จึงเท่ากับเป็นการรับรองฐานะของรัฐบาลประธานาธิบดีบาชาร์ อัล อัสเซดทั้งโดยนิตินัยและโดยพฤตินัย  ซึ่งจะมีผลอย่างมากต่อแผนการเจรจาเพื่อสันติภาพในอนาคตอย่างที่ชาติตะวันตกและพันธมิตรในตะวันออกกลางจะปฏิเสธไม่ได้อย่างแน่นอน
 

                                             (อ่านต่อตอนที่ 2)
.
.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

มอเตอร์ หรือ สติกเกอร์

เมื่อตอนที่ Real Madrid ทีมดังในสเปนตัดสินใจขาย Claude Makelele ให้กับทีม Chelsea แล้วซื้อ David Beckham มาแทนที่ในช่วงกลางปี 2003 ปรา...