"
จากจุดเล็กๆที่มีการประท้วงทางการเมืองอันเป็นผลพวงมาจากอิทธิพลของ
“อาหรับสปริง” ในตอนต้นปี 2011 ก่อนจะลุกลามขยายวงกลายเป็นสงครามการเมืองที่รุนแรงจนคร่าชีวิตผู้คนกว่าสองแสน
และอีกหลายล้านคนที่บ้านแตกต้องหนีภัยสงคราม จนกลายเป็นปัญหาผู้ลี้ภัยที่เลวร้ายที่สุดสำหรับยุโรปในปัจจุบัน
|
จากจุดเริ่มต้นของการประท้วงในเดือนมีนาคม 2011 |
การประท้วงที่พัฒนาการเป็นสงครามการเมือง
แต่จู่ๆ โลกก็ต้องตะลึง เมื่อรัฐบาลรัสเซียตัดสินใจส่งกองทัพทหารเข้าร่วมช่วยเหลือรัฐบาลของบาชาร์
อัล อัสเซดแห่งซีเรียด้วยการเริ่มต้นเปิดฉากถล่มฐานที่มั่นของกลุ่มการร้ายไอเอส (IS)
และกลุ่มก่อการร้ายอื่นๆ ในวันที่ 30 กันยายนที่ผ่านมา
คำถามสำคัญแรกก็คือ
รัสเซียก้าวไปสู่จุดวันนี้ได้อย่างไร และทำไมต้องก้าวเข้ามาเกี่ยวข้องในวิกฤติซีเรียครั้งนี้ด้วย
|
นายพลกาเซม โซเลมานีแห่งกองทัพอิหร่าน ผู้จุดประกายให้รัสเซียมาร่วมวงรบ |
หากสืบย้อนหลัง เชื่อได้ว่าจุดเริ่มต้นแรกๆที่เป็นรูปธรรมของการวางแผนเพื่อช่วยเหลือรัฐบาลซีเรียทาง
ด้านการทหารในครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงปลายเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมา
เมื่อผู้บัญชาการทหารระดับสูงของอิหร่านเดินทางไปรัสเซียอย่างลับๆ
(เพราะติดเงื่อนไขเป็นบุคคลต้องห้ามตามคำสั่งของยูเอ็นไม่สามารถเดินทางระหว่างประเทศได้)
เพื่อโน้มน้าวและชักจูงให้รัสเซียเข้ามาร่วมช่วยเหลือฝ่ายรัฐบาลซีเรียซึ่งกำลังอยู่ในช่วงสถานการณ์ที่เสียเปรียบย่ำแย่ที่สุด
ด้วยความเชื่อมั่นว่า กองทัพรัสเซียจะช่วยทำให้ฝ่ายรัฐบาลซีเรียสามารถพลิกกลับมาเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างแน่นอน
|
ในวันที่ประธานาธิบดีบาชาร์ อัล อัสเซดประกาศยอมรับว่ากองทัพซีเรียกำลังย่ำแย่ |
ในช่วงระยะเวลาที่ผู้นำรัสเซียและอิหร่านกำลังกำลังเจรจาลับเพื่อหาหนทางช่วยเหลือรัฐบาลซีเรียนั้
ประธานาธิบดีบาชาร์ อัล อัสเซดก็สร้างเซอร์ไพรซ์ด้วยการเปิดเผยยอมรับต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงในปี
2011 ว่า
กองทัพรัฐบาลประสบปัญหาขาดแคลนกำลังพลอย่างหนัก
ไม่สามารถเปิดศึกรบกับกลุ่มต่างๆได้ทั้งหมด จนต้องสูญเสียพื้นที่ของประเทศกว่าสี่ในห้าให้กับฝ่ายต่อต้านรัฐบาล
|
ภาพที่สะท้อนว่ากองทัพซีเรียกำลังเสียเปรียบ |
การยอมรับต่อภาวะย่ำแย่ทางทหารดังกล่าวซึ่งผิดวิสัยของผู้นำซีเรียคนนี้ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนสะท้อนให้เห็นว่าสถานการณ์ของรัฐบาลและกองทัพอยู่ในภาวะ
“สีแดง” เลวร้ายจริงๆ และมีโอกาสที่จะพ่ายแพ้อย่างราบคาบให้กับกองกำลังฝ่ายต่างๆที่ได้รับการสนับสนุนจากตะวันตกและกลุ่มประเทศอาหรับหลายๆประเทศ หากไม่รับการช่วยเหลือใดๆทันท่วงที
เมื่อก้าวมาสู่จุดที่ตระหนักถึงโอกาสแห่งความพ่ายแพ้ทางทหาร ทำให้ประธานาธิบดีบาชาร์ อัล
อัสเซดไม่มีทางเลือกอื่นๆ นอกจากร้องขอความช่วยเหลือทางทหารจากประธานาธิบดีปูตินโดยตรง
(เหมือนเช่นกรณีที่รัฐบาลอิรัคเคยร้องขอความช่วยเหลือจากสหรัฐฯเมื่อเดือนมิถุนายน 2014)
|
มิตรภาพระหว่างปูตินกับอัสเซดไม่เคยร้าวราน |
|
ซีเรียต้องการความช่วยเหลือ |
ดูเหมือนว่า
ประธานาธิบดีวราดิเมียร์ ปูตินแห่งรัสเซียจะเห็นดีเห็นงามกับข้อเสนอของอิหร่านตั้งแต่แรกๆ
และตัดสินใจที่จะช่วยแทรกแซงช่วยเหลือกองทัพซีเรียโดยไม่ลังเลรีรอ ดังนั้น
ช่วงระยะเวลาสองเดือน (สิงหาคม-กันยายน)
จึงเป็นช่วงเวลาของการวางแผนและตระเตรียมปฏิบัติการทางทหารนอกเขตพรมแดนเป็นครั้งแรกในรอบเกือบสามทศวรรษ สอดคล้องกับคำยืนยันของรัฐมนตรีต่างประเทศซีเรียที่ยอมรับว่า
ปฏิบัติการทางทหารของกองทัพอากาศรัสเซียในครั้งนี้
มีการวางแผนเตรียมการมานานหลายเดือนแล้ว
|
ความล้มเหลวของกองทัพหมีขาวในการบุกรุกอัฟกานิสถาน |
|
สหรัฐฯและพันธมิตรกับปฏิบัติการโจมตีทางอากาศเหนือดินแดนซีเรีย |
ในการวางแผนเตรียมการนั้น เชื่อได้ว่า
รัฐบาลรัสเซียศึกษาเรียนรู้บทเรียนในอดีตสมัยบุกรุกอัฟกานิสถาน (1979-1989) และปฏิบัติการทหารของสหรัฐฯในวิกฤติตะวันออกกลางที่เกิดขึ้น
ณ ปัจจุบันนี้อย่างถี่ถ้วน เพื่อป้องกันความผิดพลาดใดๆที่อาจจะส่งผลเสียหาย โดยเฉพาะการสร้างความชอบธรรมให้กับปฏิบัติการทหารในครั้งนี้
|
เมื่อวุฒิสภารัสเซียไฟเขียวให้รัสเซียร่วมรบในซีเรีย |
การสร้างความชอบธรรมตามกฎหมายรัฐธรรมนูญของประเทศ
ซึ่งบัญญัติให้วุฒิสภารัสเซียเป็นผู้อนุมัติเห็นชอบหากรัฐบาลต้องการจะส่งกองทัพไปปฏิบัติการทางทหารนอกประเทศ ดังนั้น
เมื่อได้รับหนังสือร้องขอความช่วยเหลือทางทหารอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลซีเรีย
ประธานาธิบดีปูตินจึงได้เสนอเรื่องต่อให้วุฒิสภาพิจารณา
เมื่อวุฒิสภาอนุมัติเห็นชอบอย่างเบ็ดเสร็จเอกฉันท์แล้ว ผู้นำรัสเซียในฐานะเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพรัสเซียจึงมีความชอบธรรม(ครึ่งหนึ่ง)
ที่จะส่งกองทัพทหารไปปฏิบัติการในซีเรีย
ทั้งนี้ มติของวุฒิสภาดังกล่าวนี้
ไม่ได้กำหนดขอบเขตวันเวลาและสถานที่ของปฏิบัติการ
เท่ากับเปิดโอกาสให้อำนาจแก่ประธานาธิบดีปูตินสามารถปฏิบัติการทางทหารทั้งในซีเรียหรือที่อื่นๆทุกๆที่ทั่วโลกและทุกๆเมื่อโดยไม่มีเงื่อนไขจำกัดของระยะเวลา
ความจำเป็นต่อมาคือการสร้างความชอบธรรมตามกฎหมายระหว่างประเทศ
ถือเป็นความชอบธรรมอีกครึ่งหนึ่งที่ประธานาธิบดีปูตินต้องเติมเต็มให้ครบถ้วน ทั้งนี้ การสร้างความชอบธรรมตามกฏหมายระหว่างประเทศนั้นสามารถดำเนินการการโดยผ่านการอนุมัติเห็นชอบจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติหรือโดยการร้องขออย่างเป็นทางการของรัฐบาลของรัฐนั้นๆ
ซึ่งทางเลือกที่สองถือเป็นทางเลือกเดียวที่เป็นไปได้สำหรับรัสเซีย
|
เพราะซีเรียร้องขอ รัสเซียจึงตอบสนอง |
|
สภาพที่สะท้อนให้เห็นว่าทำไมซีเรียต้องการความช่วยเหลือจากรัสเซีย |
ดังนั้น ภายใต้ทฤษฏีสมคบคิด รัฐบาลซีเรียจำเป็นต้องเปิดตัวก่อน(ซึ่งไม่ได้เป็นเรื่องเสียหายใดๆ)
โดยการทำหนังสือจดหมายร้องขออย่างเป็นทางการต่อรัฐบาลรัสเซีย
เพื่อยืนยัน(บนหน้าเสื่อ)ว่า
รัสเซียไม่ได้ตัดสินใจตามอำเภอใจหรือคิดใช้อำนาจบาตรใหญ่ในการบุกรุกประเทศอื่นๆ
แต่เป็นการตอบสนองต่อคำร้องขอของซีเรียในฐานะรัฐฯหนึ่งและในฐานะประเทศพันธมิตรที่เก่าแก่ที่สุดประเทศหนึ่งของรัสเซีย
ด้วยเหตุนี้ ถึงแม้จะไม่ปรากฏวันที่ยื่นเรื่องหรือระบุวันที่ในจดหมาย
แต่หนังสือร้องขอ(ความช่วยเหลือ)อย่างเป็นทางการที่ประธานาธิบดีบาชาร์ อัล อัสเซดมีถึงประธานาธิบดีปูตินโดยตรงนี้
จึงเป็นเอกสารหลักฐานสำคัญที่ยืนยันความชอบธรรมตามกฏหมายระหว่างประเทศ(ทางเลือกที่สอง)
ทำให้การตัดสินใจในการปฏิบัติการทางทหารครั้งนี้มีความชอบธรรมที่สุด
|
ความชอบธรรมของรัสเซียคือตอบสนองตามความต้องการของรัฐบาลซีเรีย |
การเตรียมการดังกล่าวถือได้ว่าให้คุณประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่าย นั่นคือ นอกจากจะเป็นการสร้างความชอบธรรมให้แก่ประธานาธิบดีปูตินแล้ว
ยังเป็นการสร้างความชอบธรรมให้แก่ผู้นำซีเรียด้วย
เพราะตลอดช่วงระยะเวลาสี่ปีของสงครามการเมืองในซีเรีย ฐานะความเป็นรัฏฐาธิปัตย์ของประธานาธิบดีบาชาร์
อัล อัสเซด กลายเป็นอุปสรรคสำคัญหนึ่งที่ทำให้ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงเพื่อสันติภาพได้
ด้วยเหตุที่ชาติตะวันตกและหลายๆประเทศในตะวันออกกลางไม่รับรองรัฐบาลบาชาร์ อัล
อัสเซด ดังนั้น การที่ผู้นำรัสเซียหยิบยกอ้างอิงถึงหนังสือทางการของผู้นำซีเรียวัย
50 ปีคนนี้
จึงเท่ากับเป็นการรับรองฐานะของรัฐบาลประธานาธิบดีบาชาร์ อัล อัสเซดทั้งโดยนิตินัยและโดยพฤตินัย ซึ่งจะมีผลอย่างมากต่อแผนการเจรจาเพื่อสันติภาพในอนาคตอย่างที่ชาติตะวันตกและพันธมิตรในตะวันออกกลางจะปฏิเสธไม่ได้อย่างแน่นอน
(อ่านต่อตอนที่ 2)
.
.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น