ถึงแม้ว่า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีมเหสีเจ้าจอมหม่อมห้ามหลายคน แต่เป็นที่รับทราบกันดีว่า พระองค์ทรงโปรดปรานสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรีพระบรมราชินาถมากที่สุดและมากเป็นพิเศษ
เล่ากันว่า ในช่วงที่จำเป็นต้องเสด็จประพาสยุโรปในปีพ.ศ. 2440 ด้วยเหตุผลเกี่ยวข้องกับอนาคตของประเทศนั้น พระองค์ทรง
"โทมนัสอัดอกอึ้ง อาวรณ์
จำจิตจำจากสมร หม่นไหม้"
เพราะ "ไกลบ้าน" คือ ไกลห่าง "ผู้อันเป็นสิเน่หา"
ในช่วงเวลาที่เสด็จนิวัติ ณ ต่างประเทศนี้ พระองค์ทรงมีพระราชหัตถเลขาส่วนพระองค์ถึงสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรีฯ อย่างสม่ำเสมอ และในทุกฉบับ พระองค์ทรงแสดงพระทัยถึงความรู้สึก"คิดถึง รักลูก ห่วงเมีย" อย่างเปี่ยมล้นสนิทเสน่หาสุดซึ้งเป็นที่สุด
ถึงแม้ว่า "การที่ฉันเขียนหนังสือนี้ดูเปนที่เบื่อหน่ายของคนอื่นเต็มที แต่ช่างเปนไร ฉันหลงเมีย ไม่ใช่หลงผู้หญิงที่ไหน"
ในคำบันทึกของนายแพทย์มัลคอล์ม สมิธซึ่งเป็นแพทย์ยุโรปในราชสำนัก ได้สะท้อนถึงเคล็ดลับที่ทำให้สมเด็จพระนางเจ้าสาวภาผ่องศรีฯ ทรงมีบุคลิกภาพที่น่าชื่นชม เป็นที่สนิทสิเนห่าของรัชกาลที่ 5 อย่างที่สุด
หนึ่ง. "ทรงมีพระวรกายได้สัดส่วน พระหัตถ์และพระบาทได้รูป อ่อนละมุม"
สอง. "แม้พระชนอายุมากขึ้น แต่พระพักตร์ก็ดูอ่อนเยาว์กว่าวัย ไม่ปรากฏริ้วรอยอันใด"
สาม. "พระเกษาดกและดำขลับ.. พระภูษาของพระองค์ก็อบร่ำในภาชนะดินเผาที่ฝาขดเทียนไขผสมกลิ่นชะมดไว้ เมื่อจุดทิ้งไว้แล้วปิดฝา ควันหอมที่ตระลบอยู่ก็จะอบร่ำภูษาให้มีกลิ่นหอม"
สี่. "ทรงระมัดระวังพระสิริโฉมอยู่เสมอ ทรงใช้เวลาค่อนข้างนานในการแต่งพระองค์ในแต่ละวัน...."
ห้า. "ทรงสรงน้ำที่มีกลิ่นหอมสดชื่นทำขึ้นจากดอกไม้สดและสมุนไพรที่เป็นเครื่องหอม"
หก. "ทรงมีปฏิภาณหลักแหลม ทั้งที่ไม่เคยทรงได้รับการศึกษาตามแบบสมัยใหม่ แต่ทรงสะสมความรู้จากประสบการณ์ รวมทั้งความเฉลียวฉลาด สุขุมและช่างสังเกตของพระองค์เอง"
เคล็ดลับดังกล่าวของสมเด็จพระนางเจ้าสาวภาผ่องศรีฯ ไม่ได้เป็นสิ่งที่ล้าสมัยเลยสำหรับหญิงไทยในยุคสมัยปัจจุบัน ไม่ว่าจะอยู่วัยไหนช่วงใดของชีวิต
เพราะนี่คือเคล็ดลับที่สามารถนำไปประยุกต์ปรับใช้เพื่อเพิ่มเสน่ห์ในตัวและสร้างเสริมบุคลิกภาพให้เป็นที่ชื่นชมมัดใจชายได้อย่างสนิทสิเน่หา(ไม่มากก็น้อย)
.
ยังมีอีกพระองค์นะคะ
ตอบลบสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์