.
นับเป็นครั้งแรกๆในประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่น้ำตาได้กลายเป็นประเด็นถกเถียงทางการเมือง และถือเป็นครั้งแรกๆที่สังคมไทยได้เห็นนายกรัฐมนตรีของประเทศหลั่งน้ำตาร้องไห้ปรากฏต่อสาธารณชน
ถึงแม้ว่า จะเป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ทุกคน แต่การร้องไห้ก็ไม่ได้เป็นเรื่องปกติที่ผู้นำ(ระดับประเทศ) คนใดจะสามารถกระทำได้อย่างเปิดเผยเสมอไป
ใช่น้ำตานี้ร้องไห้ให้กับอเมริกันทั้งประเทศ(?) |
ว่ากันว่า ผู้นำคนดังๆของโลกในอดีตที่มีบุคลิกภาพเข็มแข็ง มาดมั่นหรือเด็ดขาดอย่างวินส์ตัน เชอร์ชิล (อังกฤษ) เลนิน (รัสเซีย) อด๊อฟ ฮิตเลอร์ (เยอรมัน) ดไวท์ ไอเซนฮาวร์ (สหรัฐฯ) นายพลโตโจ (ญี่ปุ่น) หรือริชาร์ด นิกสัน (สหรัฐฯ) โดยเนื้อแท้แล้วไม่ใช่พระสงฆ์หรือซามูไรที่ไม่รู้จักการร้องไห้ แต่ในชีวิตจริงแล้ว ผู้นำเหล่านี้ล้วนแต่เคยผ่านการหลั่งน้ำตา ที่ต้องกระทำอยู่หลังฉากไม่อาจให้ใครพบเห็นได้
วินาทีที่เอ๊ด มุสกี้สะอื้น |
ไม่ว่าจะร่ำไห้ด้วยเหตุผลใด แต่น้ำตาหยดนั้นได้ทำลายความหวังทางการเมืองของมัสกีอย่างสิ้นเชิง จากผู้สมัครเต็งจ๋าที่มีโอกาสเป็นผู้นำประเทศคนต่อไปมากที่สุด มัสกีถูกสังคมอเมริกันมองว่า ไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้นำประเทศเพราะไม่มีความมั่นคงทางอารมณ์ ซึ่งถือเป็นคุณสมบัติหนึ่งที่จำเป็นมากๆสำหรับผู้นำ สุดท้ายต้องถอนตัวออกไปอย่างน่าขมขื่นที่สุดว่ากันว่า จุดเปลี่ยนสำคัญที่มีผลทำให้ “กฏมัสกี” คลายความขลังลงไปในสังคมการเมืองของสหรัฐฯก็คือบทบาทและภาพพจน์ของฮีโร่กล้ามโตอย่าง “แรมโบ้” ในภาพยนต์เรื่อง First Blood ที่เริ่มออกฉายตั้งแต่ปี 2525ถึงแม้จะมีบุคลิกที่เข้มแข็งและหาญกล้า แต่แรมโบ้ก็มีด้านที่เป็นมนุษย์ที่สามารถร้องไห้เสียใจได้ ความนิยมในตัวแรมโบ้มีส่วนช่วยเปลี่ยนแปลงความคิดของสังคมไม่มากก็น้อย และสร้างความหมายใหม่ให้กับน้ำตาในวัฒนธรรมอเมริกัน ค่อยๆทำให้การร้องไห้ของผู้ชายไม่ใช่เป็นน่าอับอายขายหน้าอีกต่อไปหลังจากนั้น น้ำตากับบุรุษเพศกลายเป็นของคู่กันอย่างไม่น่าเชื่อ และแพร่ขยายไปสู่โลกความเป็นจริงมากขึ้น จากวงการบันเทิงสู่วงการกีฬาและวงการการเมืองดูเหมือนว่าบิลล์ คลินตันคือผู้เข้าใจและประยุกต์น้ำตาเพื่อเป้าหมายทางการเมืองได้อย่างชาญฉลาดที่สุด พูดกันว่า คลินตันเป็นคน “แพ้กล้อง” และสามารถหลั่งหรือบีบน้ำตาได้ทุกเมื่อที่โอกาสเอื้ออำนวย(ราวกับดาราฮอลลิวูด) โดยเฉพาะความสามารถในการเปลี่ยนแปลงอารมณ์จากหัวเราะเริงร่าให้กลายเป็นน้ำตาแห่งความเศร้าได้ในบัดดล (เหมือนเช่นที่สังคมไทยกำลังวิพากษ์กรณีล่าสุดของคุณยิ่งลักณ์ ชินวัตร)
แรมโบ้ - ฮีโร่สำหรับอเมริกา |
ในวันที่แรมโบหลั่งน้ำตาฟูมฟาย |
ความสำเร็จ(ทางการเมือง)ของ “น้ำตาคลินตัน” กลายเป็นแบบอย่างให้ผู้นำสหรัฐฯในทุกระดับหันมาใช้น้ำตาเป็นเครื่องมือหรืออาวุธทางการเมืองที่จะขาดเสียมิได้ ภาพน้ำตาไหลอาบแก้มของจอร์จ บุช และบารัค โอบาม่า กลายเป็นภาพบวกที่มีพลัง(ทางการเมือง)มากๆ มีส่วนทำให้คะแนนนิยมเพิ่มขึ้นอย่างน่ามหัศจรรย์เช่นเดียวกันกับในสังคมญี่ปุ่นที่เคยยึดหลักซามูไรอย่างเหนียวแน่นมาโดยตลอดและ ถือว่าการร้องไห้ต่อหน้าผู้อื่นเป็นสิ่งที่น่าละอายเป็นที่สุด แต่ด้วยภาวะทางเศรษฐกิจที่ตกต่ำมากๆ ในช่วงสองทศวรรษก่อน กลายเป็นเงื่อนไขสำคัญที่มีส่วนพังทลายกฎเหล็กทางวัฒนธรรมนี้ ภาพของผู้นำญี่ปุ่นแบบฮาร์ดแมนเดิมๆค่อยๆจางหายไป และภาพของผู้นำที่กำลังร้องไห้ฟูมฟายเข้ามาแทนที่จนชินตา
น้ำตาของบิล คลินตัน |
น้ำตาอาบแก้มของบิล คลินตัน |
น้ำตาอาบแก้มของจอร์จ บุช |
น้ำตาไหล่เอ่อของบารัค โอบาม่า |
น้ำตาซึมของบารัค โอบาม่า |
ในวันที่จูนิชิโร โคอิซูมิร่ำไห้ฟูมฟาย |
ในช่วงยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา ปรากฏการณ์ผู้นำร้องไห้ด้วยเหตุผลและแรงจูงใจต่างๆเกิดขึ้นทั่วทุกมุมโลก ไม่ว่าจะเป็นเฮลมุท โคห์ล (เยอรมันตะวันตก), มิคาอิล กอร์บาเชฟ และวราดิเมียร์ ปูติน (รัสเซีย), เนลสัน แมนเดล่า ผู้นำผิวดำคนแรกในประวัติศาสตร์แอฟริกาใต้, จูนิชิโร โคอิซูมิ (ญี่ปุ่น), หลุยส์ ดาซิลวา (บราซิล), กอร์ดอน บราวน์ และเดวิด คาเมรอน (อังกฤษ), บ๊อบ โฮว์ค และเควิน รัดด์ (ออสเตรเลีย), นายพลนอร์แมน ชวาร์ซคอฟ ผู้บัญชาการกองทัพสหรัฐฯในศึกสงครามอิรัค, ยัดเซอร์ อาราฟัด(พีแอลโอ, ปาเลสไตน์), ฏอยยิบ อัรดูฆอน(ตุรกี), ฮามิด คาร์ไซ (อัฟกานิสถาน), เซบาสเตียน ปิเนรา (ชิลี), เวินเจียเป่า (จีน), สมเด็จพระสันตะปาปาหรือโป๊ปเบเนดิกก์, กษัตริย์ฮารัลด์แห่งนอร์เวย์ รวมทั้งฮุนเซน
ในวันที่กษัตรย์นอร์เวย์ทรง "หลั่งน้ำตา" หลังเกิดโศกนาฏกรรมฆ่าสังหารหมู่ |
ในวันที่เดวิด คาเมรอนปาดน้ำตา |
ในวันที่หลุยส์ ดาซิลวาหลั่งน้ำตาด้วยความดีใจที่บราซิลได้เป็นเจ้าภาพโอลิมปิค |
ในวันที่ยัสเซอร์ อาราฟัตหลั่งน้ำตา |
ในวันที่ผู้นำอัฟกันนิสถานหลั่งน้ำตาต่อหน้าจอทีวี |
ในวันที่ฮุนเซนร่ำไห้ฟูมฟาย |
ในขณะเดียวกัน ภาพของผู้นำหญิงที่ร้องไห้หลั่งน้ำตาก็มีปรากฏให้เห็นบ้าง อินทิรา คานธี (อินเดีย) หลั่งน้ำตาด้วยความดีใจที่ได้พบอับเดล นัสเซอร์ผู้นำอียิปต์ เพื่อนสนิทชิดเชื้อร่วมอุดมการณ์ของเยาวหะราล เนห์รูบิดาและอดีตผู้นำคนแรกของอินเดีย เช่นเดียวกับเบนาซี บุตโตที่หลั่งน้ำตาออกมาทันทีที่ได้กลับคืนสู่ปากีสถานอีกครั้งหนึ่งนับตั้งแต่ต้องลี้ภัยในต่างแดนร่วม 8 ปี รวมทั้งน้ำตาแห่งความดีใจของอองซานซูจีที่ได้มีโอกาสได้พบหน้าลูกชายเป็นครั้งแรกในรอบทศวรรษ
ในวันที่นางอินทิรา คานธีหลั่งน้ำตา |
น้ำตาแห่งความดีใจที่ได้คืนสู่มาตุภูมิของเบนาซีร์ บุตโต |
ในวันที่อองซานซูจีหลั่งน้ำตาแห่งความดีใจ |
มาร์กาเรต แธตเชอร์ ผู้นำฉายา “สตรีเหล็ก” ของอังกฤษก็ยังมีวันที่ร้องไห้ถึงสองครั้งสองคราอย่างไม่น่าเชื่อ หลังจากต้องก้าวลงจากตำแหน่งผู้นำประเทศและวางมือปิดฉากความเป็นนักการเมืองอาชีพที่อยู่ในสายเลือด เช่นเดียวกรณีของแพท ชโรเดอร์ที่ร่ำไห้ออกมาในระหว่างประกาศยอมรับความพ่ายแพ้ในการชิงชัยเป็นตัว แทนของพรรคเดโมแครตสำหรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯในปี 2531
ความสูญเสียของชีวิตผู้คนยังคงเป็นมูลเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้นำหญิงหลายๆคนหลั่งน้ำตาได้ ไม่ว่าจะเป็นกรณีของกลอเรีย อาโรโย่แห่งฟิลิปปินส์, สมเด็จพระราชินีแห่งนอร์เวย์, จูเรีย กิลลาร์ดแห่งออสเตรเลีย หรือแม้กระทั่งสมเด็จพระราชินีอลิซาเบธแห่งอังกฤษ
การร้องไห้หลั่งน้ำตาของผู้นำหญิงเหล่านี้ ไม่ได้ส่งผลกระทบหรือเป็นพิษอะไรมากนัก ส่วนสำคัญหนึ่งก็เนื่องมาจากมูลเหตุจูงใจที่สมเหตุสมผลที่ไม่ได้หวังผลทางการเมือง แต่ประการสำคัญ หากหลั่งน้ำตาไม่ถูกกาลเทศะแล้ว ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า น้ำตาจะกลายเป็นพิษทันที
น้ำตาของ "หญิงเหล็ก" ในวันที่สูญเสียตำแหน่งผู้นำพรรคอนุรักษ์นิยม |
น้ำตาของ "หญิงเหล็ก" ในวันอำลาจบฉากชีวิตการเมือง |
ในวันที่จูเรีย กิลลาร์ดหลั่งน้ำตากลางสภา |
ในวันที่ต้องเสียน้ำตาเพราะเรื่องราวฉาวโฉ่ทางเพศของบิลล์ คลินตันผู้เป็นสามี ดูเหมือนว่าสังคมอเมริกันจะเห็นใจและเข้าใจฮิลลารี่ คลินตันอย่างมาก แต่น้ำตาที่ฮิลลารีหลั่งออกมาในระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งแข่งกับบารัค โอบาม่าเพื่อเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตเข้าชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดีในช่วงต้นปี 2551กลับถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก
ฮิลลารี่อาจจะคาดการณ์ผิดพลาดว่า น้ำตาจะเป็นอาวุธเด็ดที่ทำให้ชนะการเลือกตั้งได้ แต่ปรากฏผลตรงกันข้าม พิษของน้ำตาได้กัดกร่อนภาพพจน์ความเป็นสตรีเหล็ก และกลายเป็นจุดเปลี่ยนหนึ่งที่ทำให้ความหวังของฮิลลารี่ในการเป็นผู้นำหญิง คนแรกของประเทศต้องพังทลายลงไปอย่างน่าเสียดาย สะท้อนให้เห็นว่า น้ำตามีประโยชน์เฉพาะคนชื่อ “บิลล์ คลินตัน” ไม่ใช่ “ฮิลลารี คลินตัน”
ในวันที่ฮิลลารี่ คลินตันหลั่งน้ำตา |
เช่นเดียวกับกรณีของฮิลลารี่ ในวันที่มากิโกะ ทานะกะหลั่งน้ำตา (เมื่อปี 2545) เพราะความสะเทือนใจที่ได้เห็นภาพความทุกข์ยากลำบากของผู้อพยพชาวอัฟกานิสถานนั้น ยากที่จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็น “น้ำตาจระเข้” แต่ในวันที่หลั่งน้ำตาสะอื้นกลางสภาเมื่อถูกตราหน้าจากผู้อาวุโสทางการเมืองว่าเป็นคนโกหกมุสาเชื่อถือไม่ได้กลับปรากฏผลตรงกันข้ามว่ากันว่า น้ำตาหยดนั้นกลายเป็นพิษที่อาจจะเป็นฟางเส้นสุดท้าย จนทำให้ต้องถูกปลดออกจากตำแหน่งและแทบจะหมดสิ้นอนาคตทางการเมืองไปเลย ทั้งๆที่ ณ เวลานั้น มะกิโกะคือรัฐมนตรีต่างประเทศหญิงคนแรกของญี่ปุ่น เป็นนักการเมืองหญิงที่ได้รับความนิยมมากที่สุดและมีโอกาสสร้างประวัติ ศาสตร์เป็นผู้หญิงคนแรกที่ก้าวสู่ตำแหน่งสูงสุดของประเทศเมื่อกลับมาพิจารณาในสังคมไทยแล้ว จะเห็นได้ว่า ด้านหนึ่งดูเหมือน สังคมไทยจะมีวัฒนธรรมความเชื่ออย่างฝังลึกว่า “เป็นเสือต้องไม่ร้องไห้” แต่ไม่น่าเชื่อว่า กฎเหล็กนี้กลับไม่สามารถใช้กับผู้นำหัวใจเหล็กหลายๆคนได้ เพราะโดยข้อเท็จจริงแล้ว ผู้นำไทยหลายๆคนเคยหลั่งน้ำตาด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน จอมพลผิน ชุณหะวัณ ได้รับฉายาว่า “จอมพลเจ้าน้ำตา” หลังจากที่แถลงด้วยน้ำตานนองหน้าถึงเหตุผลความจำเป็นที่ต้องทำรัฐประหารปี 2490 เหมือนเช่นกรณีของพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลินที่อัดอั้น “อยากจะร้องไห้ที่เห็นบ้านเมืองเป็นอย่างนี้” จนนำไปสู่การตัดสินใจทำรัฐประหารครั้งล่าสุดในปี 2549
ในวันที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัตน์แถลงด้วยน้ำตา |
ในขณะที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ อดีตนายกรัฐมนตรีที่ขึ้นชื่อว่าเด็ดขาดที่สุดในบรรดาผู้นำไทยทั้งหมด ก็ยังมีวันต้องหลั่งน้ำตา เป็นการแถลงด้วย “น้ำตาของลูกผู้ชาย ของเลือด ของความคับแค้น และการผูกใจเจ็บชั่วชีวิตชาตินี้และชาติหน้าต่อดวงวิญญาณของบรรพบุรุษผู้กล้าหาญของชาวไทย” ภายหลังที่ศาลโลกตัดสินให้ปราสาทพระวิหารตกเป็นของกรรมสิทธิ์ของกัมพูชาในปี 2505 แม้กระทั่งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. เจ้าของฉายา “สฤษดิ์น้อย” เพราะความเด็ดขาดน่าเกรงขาม ก็เคยน้ำตาคลอปรากฏให้เห็นต่อสาธารณชน เพราะสะเทือนใจและเจ็บปวดที่เห็นกำลังพลของกองทัพที่ต้องบาดเจ็บพิการและสูญเสียชีวิต
ครั้งหนึ่ง คุณเนวิน ชิดชอบก็ยังเคยกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือพร้อมกับน้ำตาคลอเบ้าเพื่อบอกกล่าวไปถึงพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ว่า “มันจบแล้วครับนาย” เช่นเดียวกันกับ “นายใหญ่” ที่มีมูลเหตุให้เชื่อได้ว่า เคย(แอบ)น้ำตาซึม เป็นน้ำตาแห่งความเศร้าโศกเมื่อจำเป็นต้องหย่ากับคุณหญิงพจมานภรรยา เป็นน้ำตาแห่งความตื้นตันใจที่ได้กลับคืนสู่มาตุภูมิในเดือนกุมภาพันธ์ 2551 และเป็นน้ำตาแห่งความ....
แม้กระทั่ง พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ก็เคยปรากฏภาพขณะกล่าวด้วยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ นัยน์ตาแดงก่ำคล้ายจะร่ำไห้เพราะผิดหวังที่ไม่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรักษาราชการแทน ผบ.ตร.
ในฟากของพรรคประชาธิปัตย์เอง คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะก็เคยยอมรับว่า เหตุ การณ์ที่เกิดขึ้นในคืนวันที่ 10 เมษายน 2553 “คือคืนที่ผมทุกข์ที่สุดตั้งแต่เป็นนายกฯ มาจนถึงวันนี้...คืนนั้นเป็นคืนที่ผมร้องไห้อยู่นานมาก” ในขณะที่คุณสุเทพ เทือกสุบรรณเองก็ยังเคยหลั่งน้ำตาเมื่อกล่าวถึงเหตุการณ์เดียวกันนี้ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต 91 ศพอันเนื่องมาจากความขัดแย้งทางการเมือง
ในคืนที่ "สุเทพ เทือกสุบรรณ" ปาดน้ำตาที่ราชประสงค์ |
ถ้าหากน้ำตาไม่ได้ทำให้เราฉลาดขึ้นจริงๆเหมือนคำกล่าวของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ แต่อย่างน้อยที่สุด น้ำตาก็สามารถทำให้ชนะการเลือกตั้งได้เช่นกัน และคนที่รู้จักเลือก “เล่น” กับ น้ำตาได้ดีที่สุด คนหนึ่งก็น่าจะเป็นม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตรที่เชื่อว่าการหลั่งน้ำตาหลายครั้งหลายหนเป็นปัจจัยสำคัญหนึ่งที่ทำ ให้ชนะการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
หากหม่อมสุขุมพันธุ์ได้ชื่อว่าสร้างสถิติเป็นผู้นำชายที่หลั่งน้ำตาบ่อยครั้งที่สุดในสังคมการเมืองไทย คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตรก็สร้างประวัติศาสตร์เป็นนายกรัฐมนตรีไทยที่หลั่งน้ำตามากที่สุดไม่ต่ำกว่า 7 ครั้งตลอดช่วงระยะเวลาสองปีที่ดำรงตำแหน่งผู้นำของประเทศ
ไม่นานหลังจากก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำหญิงคนแรกของประเทศในเดือนสิงหาคม 54 ประเทศไทยก็ประสบกับภาวะน้ำท่วมใหญ่ที่สุดในรอบหลายทศวรรษ และอุทก ภัยครั้งนี้ส่งผลทำให้อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 28 ถึงกับน้ำเสียงสั่นเครือและน้ำตาคลอเบ้าถึงสามครั้งสามครา
หลากหลายน้ำตาของ "ยิ่งลักษณ์" |
ต่อมา สังคมไทยก็มีโอกาสได้ยินเสียงสั่นเครือและได้เห็นน้ำตาของคุณยิ่งลักษณ์อีกหลายครั้งหลายคราต่างกรรมต่างวาระ ตั้งแต่น้ำตาคลอเมื่อยอมรับความพ่ายแพ้ของการเลือกตั้งผู้ว่ากทม. น้ำตาคลอเมื่อได้พบปะกับกลุ่มญาติของผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ทางการเมือง ที่มาสนับสนุนการนิรโทษกรรม หรือน้ำตาคลอ(ของความเป็นแม่)เมื่อกล่าวถึงลูกชายที่ตกเป็นเหยื่อความขัด แย้งทางการเมือง(?)
น้ำเสียงสั่นเครือและน้ำตาคลอเบ้าของคุณยิ่งลักษณ์ย่อมหนีไม่พ้นที่จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆนานา บ้างก็ว่า “ดีแต่ร้อง” ขาดความเป็นผู้นำและดูอ่อนแออ่อนไหวเกินไปสำหรับความเป็นผู้นำประเทศ จนถึง “น้ำตาเสแสร้ง” แกล้งร้องดราม่าขอความเห็นใจ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ ในช่วงที่เดินสายหาเสียง คุณยิ่งลักษณ์ก็เคยหลั่งน้ำตา(โดยไม่ถูกวิพากษ์วิจารณ์)เรียกร้องขอความเป็นธรรมให้แก่“พี่ชาย” และน้ำตาคลอซึ้งใจเมื่อได้กลับบ้านที่เชียงใหม่ ประหนึ่งเพื่อสื่อให้เห็นว่า การ “กลับบ้าน” จะมีความหมายอย่างยิ่งสำหรับคุณทักษิณ
โดยข้อเท็จจริงที่ขมขื่นสำหรับผู้หญิงแล้ว ไม่ว่าจะในสังคมการเมืองไหนวัฒนธรรมใด น้ำตายังคงความหมายเดิมไม่เปลี่ยนแปลง นั่นคือ สัญญลักษณ์แห่งความอ่อนแอ เป็นความอ่อนแอทั้งทางด้านสภาพจิตใจและด้านอารมณ์
ในขณะที่น้ำตากลายเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของผู้นำชายที่จะขาดเสียมิได้ แต่สำหรับผู้นำหญิงแล้วกลับเป็นสิ่งที่ตรงกันข้าม เป็นสองมาตรฐานที่ดำรงอยู่จริงเกือบในทุกมุมโลกแม้ในทุกวันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง น้ำตาจะกลายเป็นพิษอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากว่าร้องไห้โดยไม่ถูกกาลเทศะหรือพร่ำเพรื่อมากเกินไป
คุณยิ่งลักษณ์อาจจะไม่ได้มีเจตนาที่จะใช้น้ำตาเป็นอาวุธ(ทางการเมือง)เพื่อสยบบุรุษเพศ เหมือนเช่นคำกล่าวของอดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นจูนิชิโร โคอิซูมิ แต่ข้อคิดของเนลสัน แมนเดล่าแห่งแอฟริกาใต้ก็เป็นสิ่งที่ผู้นำไทยควรได้คิดพิจารณาว่า การบริหาร(ควบคุม)อารมณ์และใบหน้านั้นเป็นศิลปะและสิ่งที่จำเป็นมากๆสำหรับ ผู้นำ โดยเฉพาะผู้นำหญิง เพราะพิษของน้ำตานั้นอาจจะร้ายแรงไร้เหตุผลเกินกว่าที่จะคาดคิดได้
.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น