9 ธันวาคม 2556

วันเก้าเดิน



ประวัติศาสตร์ของหลายๆประเทศได้บันทึกไว้ว่า สร้างชาติด้วยสองมือของมนุษย์ ในขณะ เดียวกัน ประวัติศาสตร์ของบางชาติก็ถูกเปลี่ยนแปลงด้วยพลังของสองขาอย่างที่มีบันทึกไว้ให้ศึกษา
      โดยข้อเท็จจริงที่น่าสนใจ จะเห็นได้ว่า พลังสองขามีบทบาทสำคัญมากๆต่อประวัติศาสตร์ยุคใหม่ยุคสร้างชาติสร้างประเทศของยักษ์ใหญ่อย่างอินเดียและจีน
        ในการต่อสู้กับมหาอำนาจอังกฤษเพื่อเอกราชของอินเดีย  มหาตมะ คานธีเลือกใช้แนวทางการต่อสู้บนรากฐานของสัจจะและความรักที่เรียกว่าสัตยาเคราะห์  กลยุทธ์หนึ่งที่มหาตมะ คานธีเลือกใช้และเป็นจุดเริ่มต้นของการขัดขืนดื้อแพ่งต่ออังกฤษก็คือ การเริ่มเดินเท้าจากเมืองหนึ่งไปยังอีกหลายๆ เมืองเมื่อ 83 ปีที่แล้ว เพื่อคัดค้านไม่เห็นด้วยกับคำสั่งผูกขาดการผลิตและจำหน่ายเกลือในอินเดียโดยอังกฤษ เรียกว่าเป็นคำสั่งที่ห้ามคนอินเดียผลิตและจำหน่ายเกลือภายในประเทศของตัวเอง หากใครฝ่าฝืนก็จะถูกจำคุก









มหาตมะ คานธีกับการเดินเท้า
 
ใครจะเชื่อว่า ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูผอมแห้งแรงน้อยอย่างมหาตมะ คานธี จะมีพลังจิตใจพลังสองขาที่แข็งกล้ามากเกินที่สายตาจะประเมินเห็น
จากจุดเริ่มต้นที่มีคนร่วมเดิน 78 คน ใช้เวลาเดินเท้ากว่า 23 วันผ่านเมืองต่างๆตลอดระยะทางร่วม 386 กิโลเมตร จนกระทั่ง มหาตมะ คานธีประสบความสำเร็จในการ จุดติดกระแสการแสดงอารยะขัดขืนต่ออังกฤษและเริ่มได้รับการสนับสนุนจากคนอินเดียมากขึ้นตลอดทางของการเดินเท้า เมื่อเดินถึงที่หมายที่เป็นชายทะเล มหาตมะ คานธีและผู้ร่วมเดินเท้าก็ใช้โอกาสนี้ผลิตเกลือแบบง่ายๆ เป็นสัญลักษณ์ของอารยะขัดขืนเพื่อต่อต้าน ดื้อแพ่งและท้าทายต่ออังกฤษ และคนอินเดียทั้งประเทศได้ตระหนักว่า ถึงเวลาแล้วที่คนอินเดียจะผลิต จำหน่ายและบริโภคเกลือเอง 
การกระทำของมหาตมะ คานธีเข้าข่ายผิดกฎหมาย จึงถูกเจ้าอาณานิคมอังกฤษจับกุมพร้อมพวกนับหมื่นคน ในวันที่ขึ้นในการต่อศาล มหาตมะ คานธีได้กล่าวว่า 

“.. การที่ข้าพเจ้ามิได้ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าหน้าที่นั้น มิใช่เพราะข้าพเจ้าไม่เคารพกฎหมายบ้านเมือง แต่เป็นเพราะข้าพเจ้าต้องการปฏิบัติตามคำสั่งที่สูงยิ่งไปกว่านั้น นั่นคือคำสั่งแห่งความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของข้าพเจ้าเอง...

จากจุดเริ่มต้นของการเดินเท้าของมหาตมะ คานธีที่เรียกว่า Salt March” หรือ เดินเพื่อเกลือ ในครั้งนั้น จุดประกายให้คนอินเดียหลายล้านคนสนับสนุนและทำตาม เริ่มต้นต่อสู้เพื่ออิสรภาพของอินเดียจากอังกฤษ  เรียกว่าจากสองขาที่จุดประกายให้มีการต่อสู้กว่าสองทศวรรษ จนกระทั่งประสบความสำเร็จในปีพ.ศ. 2490
เช่นเดียวกับประวัติศาสตร์ยุคใหม่ของอินเดียที่เริ่มต้นด้วยการเดินเท้า ประวัติศาสตร์จีนยุคใหม่ก็มีความคล้ายคลึงกัน ถ้าหากการเดินเท้าเป็นการเริ่มต้นสร้างชื่อ ศรัทธาและบารมีของมหาบุรุษนามอุโฆษอย่างมหาตมะ คานธีแล้ว ประวัติศาสตร์ของจีนและเหมา เจ๋อตุงก็มีลักษณะไม่แตกต่างกันก็ว่าได้




เหมา เจ๋อตุงกับการเดินทัพไกล

ว่ากันว่า จุดเริ่มต้นของความยิ่งใหญ่นามอุโฆษของเหมา เจ๋อตุงเกิดขึ้นจากการเดินทางทัพทางไกลในปี 2477  ในช่วงเวลานั้น เหมา เจ๋อตุงกลายเป็นผู้นำรับบทนำพากองทัพแดงและสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ร่วมแสนคนเดินถอยทัพจากการต่อสู้กับกำลังทหารของรัฐบาลเจียง ไคเช็ก
“Long March” หรือการเดินทางทัพทางไกลเป็นเวลาหนึ่งปีเต็มจากทางใต้ขึ้นไปทางเหนือเป็นระยะทางไกลกว่า 12,000 กิโลเมตร อย่างชนิดที่ไม่มีใครในยุคปัจจุบันที่สามารถทำได้อีกแล้ว ตลอดระยะเวลาและเส้นทางที่เส้นหฤโหดกว่าหนึ่งปีเต็ม  ถือเป็นบททดสอบที่สำคัญที่สุดของผู้นำประเทศที่ชื่อเหมา เจ๋อตุงคนนี้ และทำให้เหมา เจ๋อตุงกลายเป็นผู้นำของชาวคอมมิวนิสต์จีนไปโดยปริยาย
เมื่อมองย้อนกลับมาประวัติศาสตร์ของการเมืองไทยเองก็มีจุดน่าสนใจให้เทียบเคียงได้ไม่น้อย แน่นอนที่สุดว่า ประวัติศาสตร์การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไทยจะไม่มีวันผลิตผู้นำอย่างมหาตมะ คานธีและเหมาเจ๋อตุงอย่างแน่นอน และไม่มีวันที่จะเทียบเคียงประวัติศาสตร์การเปลี่ยนแปลงอย่างกรณีของอินเดียและจีนได้เป็นแน่แท้

นอกเหนือจากหนังสือประวัติศาสตร์การเมืองไทยยุคใหม่ จะได้มีโอกาสต้อนรับเดือนพฤศจิกายนและธันวาคมเข้าทำเนียบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากที่เรามีเดือนเมษายน (2553) เดือนพฤษภาคม (เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535) และเดือนตุลาคม (2516 และ 2519) ก่อนหน้านี้ให้ระลึกถึงและศึกษา 

ประวัติศาสตร์การเมืองไทยก็ได้บันทึกว่ามีมวลชนมาร่วมชุมนุมนับล้านคนเป็นสถิติใหม่ที่อาจ จะไม่มีวันทำลายได้  เวบไซต์ของ Wikipedia บันทึกตัวเลขประมาณการณ์ว่า วันที่ 24 พฤศจิกายน 2556 มีมหามวลชนมาร่วมชุมนุมทางการเมืองอย่างสันติในกรุงเทพมหานครร่วม 5 ล้านคนเป็นสถิติของประวัติศาสตร์ชาติไทย  ถือว่าเป็นการชุมนุมทางการเมืองที่เป็นสถิติโลกรองจากการชุมนุมในอียิปต์ในปีนี้ก็ว่าได้




การชุมนุมเป็นล้านในกรุงไคโร อียิปต์

วันที่ 9 ธันวา 56 อาจจะเป็นอีกวันหนึ่งที่สร้างประวัติศาสตร์หลายๆหน้าให้เป็นสถิติทางการ เมือง ด้านหนึ่ง ถือเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนที่จะเห็นคนไทยร่วมชุนนุมและเดินเท้าเป็นระยะทางไกลสิบๆกิโลเมตรในเขตเมืองหลวงของประเทศ ทั้งๆที่คนไทยโดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯมีธรรมชาติไม่ชอบเดิน 






วันเก้าเดิน วันแห่งประวัติศาสตร์หน้าใหม่

การกำหนดเส้นทางเดินหลายๆเส้นทางพร้อมๆกันเพื่อมุ่งหน้าไปสู่ทำเนียบรัฐบาล อาจจะกลาย เป็นสถิติโลกที่กินเนสส์บุคต้องบันทึก และมีโอกาสเป็นไปได้ว่า หากรวมทุกเส้นทางของ วันเก้าเดิน นี้เข้าด้วยกันแล้ว อาจจะยาวมากกว่า 12 กิโลเมตรที่เคยเป็นสถิติของนางเบนาซีร์ บุตโต อดีตผู้นำหญิงคนแรกของปากีสถาน ในวันที่เดินทางกลับมาประเทศหลังจากต้องลี้ภัยในต่างแดนกว่า 9 ปี และมีผู้คนแห่แหนมาต้อนรับเป็นล้านคนตลอดระยะทาง 12 กิโลเมตร
ท้ายที่สุดแล้ว คงต้องติดตามว่า พลังสองขา และวันเก้าเดินแห่งประวัติศาสตร์นี้ จะทำให้ประเทศก้าวไปอีกระดับหนึ่ง และก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองไทยหรือไม่ 



.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

มอเตอร์ หรือ สติกเกอร์

เมื่อตอนที่ Real Madrid ทีมดังในสเปนตัดสินใจขาย Claude Makelele ให้กับทีม Chelsea แล้วซื้อ David Beckham มาแทนที่ในช่วงกลางปี 2003 ปรา...