ในช่วงกลางเดือนตุลาคมปีที่แล้ว หลังจากที่รัสเซียเริ่มปฏิบัติโจมตีทางอากาศต่อฐานที่มั่นของกลุ่ม ISIS จนเกิดผลแล้ว ก็มีความพยายาม(จากฝั่งของรัสเซีย)ที่จะชักชวนโน้มน้าวให้สหรัฐฯและพันธมิตรตะวันรวมทั้งพันธมิตรอาหรับเข้ามาสู่โต๊ะเจรจาเพื่อหาทางแก้ปัญหาความขัดแย้งในซีเรีย แต่ได้รับการปฏิเสธ
.
จนกระทั่ง เมื่อทั่วโลกได้เห็นภาพของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล อัสซาดแห่งซีเรีย เดินทางไปเยือนมอสโคว์เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม จับมือแนบแน่นกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินแห่งรัสเซียก็เกิดอาการตกใจหวั่นวิตกแบบอธิบายไม่ถูก จนสุดท้ายต้องยอมเข้าสู่โต๊ะเจรจาที่จัดขึ้นที่กรุงเวียนนาในปลายเดือนนั้นแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้
.
การเดินทางออกนอกประเทศเป็นครั้งแรกของผู้นำซีเรียในรอบสี่ปีแบบลับสุดยอดก่อนที่มีการเผยภาพในวันต่อมานั้น ก่อให้เกิดผลทางจิตวิทยาอย่างมหาศาล อย่างน้อยที่สุด บ่งบอกว่า สถานการณ์(หลังจากผ่านไปได้เพียงสามสัปดาห์) ได้พลิกกลับมาเข้าทางรัฐบาลซีเรียเพิ่มขึ้นจนสามารถวางใจและมั่นใจถึงขนาดยอมเสี่ยงเดินทางออกนอกประเทศได้
.
เพราะความสำคัญผู้นำซีเรียคนนี้ ทำให้สื่อของทางการอิหร่านประโคมข่าวในช่วงกลางเดือนธันวาคมว่า งประธานาธิบดีบาชาร์ อัล อัสซาดจะเดินทางมาเยือนเตหะรานช่วงเวลาใดช่วงเวลาหนึ่งในเดือนมกราคม นอกเหนือจากจะเดินทางไปขอบคุณต่อความช่วยเหลือของอิหร่านที่ช่วยพลิกเกมแล้ว ยังเป็นเครื่องหมายหนึ่งที่จะบ่งบอกชาวโลกว่า ชัยชนะอยู่แค่เอื้อมแล้ว
.
อาจจะเพราะด้วยเหตุผลนี้เอง จึงเกิดเหตุการณ์สำคัญๆหลายเหตุการณ์จนถึงขั้นตึงเครียด โดยเฉพาะความเขม็งเกรียวระหว่างและอิหร่านและซาอุดิ อาระเบีย ที่ไม่ต้องการเห็นผู้นำร่างโย่งของซีเรียเดินทางไปอิหร่าน หรือจะต้องพยายามในทุกวิถีทางที่จะยับยั้งไปให้ผู้นำซีเรียสามารถก้าวเท้าเดินบนพรมแดงในแผ่นดินของอิหร่าน เหมือนที่เราเห็นในทุกวันนี้
.
และเพราะด้วยเหตุผลความจำเป็นนี้เอง ไม่มีใครรู้ว่า ประธานาธิบดีบาชาร์ อัล อัสซาดได้เดินทางไปเยือนอิหร่านแล้วหรือยัง หรือยังมีความตั้งใจที่จะต้องทำให้ได้ในเร็วๆนี้ ไม่ว่าจะมีความเสี่ยงมากแค่ไหน
.
เพราะผลทางจิตวิทยา(ของการไปเยือน) นั้นมหาศาลพอๆกับตอนที่เสี่ยงเดินทางไปเยือนมอสโคว์
.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น