ถึงแม้จะมีธรรมชาติที่ต้องต่อสู้ตบตีแย่งชิงอำนาจความเป็นจ่าฝูงเหมือนสัตว์อื่นๆ แต่เมื่อการต่อสู้สิ้นสุดลงและผ่าน พ้นไปแล้วประมาณ 10 นาที ลิงชิมแปนซีก็จะกลับมาหวนคืนดีเหมือนเดิม
และถึงแม้จะมีธรรมชาติที่คล้ายคลึงกับมนุษย์ในหลายๆด้าน
แต่ลิงชิมแปนซีไม่ต้องอาศัย “ลิงกลาง” หรือการเจรจาต่อรองเพื่อกลับมาปรองดองอีกครั้ง
ซึ่งแตกต่างจากมนุษย์เราที่ยุ่งยากซับซ้อนซ่อนเงื่อน(ไข)มากกว่า
ความ น่าสนใจอยู่ที่ขั้นตอนแรกสุด
เมื่อลิงตัวชนะจะเป็นฝ่ายหยิบยื่นมือไปหาลิงตัวที่แพ้ก่อน
เป็นเสมือนการหยิบยืนไมตรีให้เลิกแล้วต่อกัน และไม่ต้องใช้เวลาข้ามวันข้ามคืนกว่าลิงทั้งสองตัวก็จะกลับมาร่วมฝูงเหมือน
เช่นเดิมเสมือนหนึ่งแผลทางใจได้ถูกสมานแล้ว
แต่ความขัดแย้งของมนุษย์เรานั้นมีความยุ่งยากและเงื่อนไขนานัปการ
จึงเป็นเรื่องยากที่จะเห็นมนุษย์เรามีพฤติกรรมของการคืนดีเหมือนเช่นกรณีของลิงชิมแปนซี
ลิงตัวชนะจะเป็นฝ่ายยื่นมือไปขอคืนดีกับตัวที่แพ้ |
การยื่นมือเป็นพฤติกรรมและความงดงามของมนุษย์เช่นกัน |
ในความเป็นจริงแล้ว
กว่าที่มนุษย์จะก้าวข้ามความขัดแย้งเข้าสู่โหมดของการสมานฉันท์ได้ก็กินเวลาเนิ่น.......นาน
แทบจะไม่มีมนุษย์ชาติไหนวัฒนธรรมใดที่จะยอมรับและหันมาคืนดีกันโดยอัตโนมัติโดยไม่มีการเจรจาต่อรองต่อเถียง
ที่มักจะต้องมีการวางเงื่อนไขหนึ่ง..สอง...สาม...เพื่อสร้างความได้เปรียบเสียเปรียบ
ประการสำคัญ มนุษย์มักคำนึงถึง “หน้า” อย่างมากๆ ด้วยเหตุนี้ จึงอ่อนไหวกับฐานะความเป็นผู้ชนะผู้แพ้มากเป็นพิเศษ
ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ จึงมักจะไม่ค่อยปรากฏว่า ผู้ชนะเป็นฝ่ายร้องขอหรือแสดงความประสงค์ก่อนว่าอยากจะสมานฉันท์กับคืนดีผู้แพ้ด้วย
เหมือนเช่นพวกลิงชิมแปนซี
ในกรณีที่(ยัง)ไม่มีใครหรือฝ่ายไหนเป็นผู้แพ้ผู้ชนะอย่างเด็ดขาด
ก็ต้องถือเป็นเรื่องที่ยากลำบากใจอย่างยิ่ง
ที่จะเห็นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแสดงออก(ให้สังคมได้รับรู้)ถึงท่าทีว่า “อยาก” คืนดีด้วย
ในวันที่หลวงปู่พุทธอิสระพบปะกับคุณสมชาย วงศ์สวัสดิ์แบบ "เสียของ" |
และยิ่งไม่สงสัยว่า ทำไมฝ่ายของคุณทักษิณ ชินวัตร จึงต้องรีบออกมาปฏิเสธข่าวที่ว่า เป็นฝ่ายที่ร้องขอและอยากจะพูดคุยเจรจากับอีกฝ่ายหนึ่งด้วย
.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น