จับสลากแบ่งสายเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับฟุตบอลโลกโซนเอเซีย
ที่กำหนดให้ 12 ทีม12 ชาติต้องต่อสู้บนผืนหญ้าเพื่อหาตัวแทน 4 ทีมผ่านเข้ารอบสุดท้ายไปเล่นที่รัสเซียในปี
2018
ในบรรดา 12 ทีมทั้งหมดนี้ พินิจพิเคราะห์แล้วเชื่อได้ว่า ทีมชาติซีเรียน่าจะมีแรงจูงใจพิเศษมากกว่าชาติอื่นๆ ด้วยเหตุผลว่า ประเทศต้องประสบกับภัยสงครามที่รุนแรงยืดเยื้อติดต่อมานานกว่า 5 ปี ผู้คนล้มตายเกือบ 3 แสนชีวิต และอีกหลายล้านคนที่ต้องพลัดถิ่นกลายเป็นผู้อพยพ ยิ่งไปกว่านั้น ผลของสงครามการเมือง ทำให้ชื่อและภาพพจน์ของซีเรียเสียหายอย่างหนักในสายตาของประชาคมโลก โดยเฉพาะการถูกกล่าวหาว่าเป็น "โรงงาน" ผลิตผู้ก่อการร้ายให้กับชาวโลก
ดังนั้น สำหรับทีมชาติซีเรียแล้ว ฟุตบอลโลกคือโอกาสทองที่จะกอบกู้และซ่อมแซมภาพพจน์ของประเทศ เป็นแรงจูงใจพิเศษที่ประเทศอื่นๆอีก 11 ประเทศอาจจะไม่มี
คล้ายๆกับกรณีของประเทศโครเอเซีย
ซึ่งแยกตัวออกมาจากอดีตยูโกสลาเวียในปี 1991
ดังนั้น
เพราะความเป็นประเทศเกิดใหม่ที่ประชาคมโลกไม่ค่อยรู้จักมักคุ้น
จึงทำให้ทีมชาติโครเอเซียมีแรงจูงใจมากเป็นพิเศษที่จะพยายามโปรโมทชื่อเสียงของประเทศให้เป็นที่รู้จักของชาวโลก
เมื่อทีมชาติโครเอเซียผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายที่ฝรั่งเศสในปี 1998 นักเตะแต่ละคนจึงมุ่งมั่นและทุ่มเทจนสามารถคว้าตำแหน่งที่
3 ไปครองได้อย่างน่าอัศจรรย์ และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ชื่อของโครเอเซียจึงเป็นที่รู้จักของประชาคมโลกและโลกลูกหนังมากขึ้น
สำหรับทีมชาติซีเรียที่ประเทศชาติต้องสะบักสะบอมบอมช้ำหนักจนยากจะเยียวยาฟื้นฟูได้ในเร็ววัน
แรงจูงใจพลังสองที่จะเพิ่มพลังความมุ่งมั่นของให้นักเตะซีเรียก็คือ ฟุตบอลโลกปี 2018 จะจัดขึ้นที่รัสเซีย
ซึ่งเป็นประเทศที่ช่วยเหลือทำให้สถานการณ์ของรัฐบาลบาชาร์ อัล
อัสซาดของซีเรียพลิกเปลี่ยนกลายเป็นผู้ได้เปรียบและได้ชัยในสมรภูมิการสู้รบ ณ วันนี้
ดังนั้น การผ่านเข้ารอบไปบรรเลงเพลงเตะในดินแดนของประธานาธิบดีวลาดิเมียร์
ปูติน จึงน่าจะเป็นสิ่งที่น่าปรารถนาที่สุดสำหรับประธานาธิบดีอัสซาดและผู้สนับสนุน ที่รู้สึกซาบซึ้งเป็นหนี้บุญคุณผู้นำรัสเซียอย่างไม่อาจใช้คืนได้
ซีเรียจะเป็นทีมเดียวที่มีชื่อ Syria ปักบนหลังเสื้อ |
ที่สำคัญมากๆอีกประการหนึ่งที่จะต้องกล่าวถึงก็คือ ทีมชาติซีเรียร่วมอยู่ในสายเดียวกับทีมชาติอิหร่านซึ่งถือเป็นประเทศที่มีบุญคุณทั้งทางการเมืองและการทหารอย่างมหาศาลต่อประธานาธิบดีอัสซาดในการทำศึกสงครามกลางเมืองตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา
แน่นอนที่สุดว่า ในแง่ของฟุตบอลแล้ว
ทั้งทีมชาติอิหร่านและทีมชาติซีเรียต่างก็ปรารถนาที่จะผ่านไปเล่นรอบสุดท้ายไม่ต่างกัน
แต่เพราะเหตุความใกล้ชิดเป็นพันธมิตรทางการเมืองและการทหารทีแนบแน่นปรากฏประจักษ์แจ้ง
บางที เราอาจจะเห็นทั้งสองทีมเล่นแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย หรืออาจจะถึงขั้น "ซูเอี๋ย"
ก็เป็นได้ หากสถานการณ์เอื้ออำนวยและถึงขั้นจำเป็นแล้ว การที่อิหร่านซึ่งมีศักยภาพทางลูกหนังเป็นหมายเลข 1 ของเอเซีย ณ ปัจจุบันจะช่วยเหลือและช่วยทำให้ซีเรียผ่านเข้ารอบสุดท้ายได้ ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะเป็นไปไม่ได้
เหมือนครั้งหนึ่งในศึกฟุตบอลโลกปี 1982 ทีมชาติเยอรมันตะวันตกก็เล่นแบบดึงๆและประคับประคองจนกอดคอทีมชาติออสเตรียผ่านเข้ารอบมาสมประสงค์มาแล้ว
.
ซีเรียจะทำได้หรือไม่ ต้องติดตาม
.
.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น