สำหรับแฟนลูกหนังทั่วโลก
ณ พ.ศ.นี้ ต้องถือว่าชื่อ "เลสเตอร์ ซิตี้" ถูกกล่าวถึงมากที่สุดชื่อหนึ่งในวงการโลกฟุตบอล
ในฐานะทีมที่กำลังสร้างชื่อและปรากฏการณ์มหัศจรรย์ในวงการฟุตบอลของเกาะอังกฤษ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้
เป็นเพียงทีมฟุตบอลเล็กๆทีมหนึ่งที่ไม่ได้มีประวัติศาสตร์ยิ่งใหญ่เป็นตำนานถ่ายทอดเล่าขาน
มีฐานะเป็นเพียงแค่ "ใบเฟิร์น" ประดับฟุตบอลพรีเมียร์ลีกของอังกฤษเท่านั้น
แล้วความสำเร็จของเลสเตอร์
ซิตี้ที่ประจักษ์แจ้ง ณ เวลานี้ จะสามารถนำมาใช้เป็นโมเดลสร้างประโยชน์อย่างไรได้บ้างให้กับประเทศไทย
ตัวอย่างความสำเร็จของมาเลเซียในช่วงเวลา 4-5
ปีที่ผ่านมาน่าจะเป็นแนวทางให้ข้อคิดแก่รัฐบาลไทยได้เป็นอย่างดี
สำหรับมาเลเซียแล้ว
ภาคการท่องเที่ยวมีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศและระบบเศรษฐกิจเป็นอย่างยิ่ง ตัวเลขล่าสุดเมื่อปี 25015
มาเลเซียมีรายได้จากการท่องเที่ยวประมาณ 2.1 ล้านล้านบาท (ใกล้เคียง กับเป้าหมายของประเทศไทยในปี
2016) เป็นแหล่งดูดเงินตราต่างประเทศเข้าคลังมากที่สุดเป็นอันดับ 3 หรือประมาณ 16
เปอร์เซ็นต์ของรายได้จากต่างประเทศทั้งหมด
ด้วยเหตุนี้
รัฐบาลมาเลเซียจึงให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวเป็นอย่างมากและพยายามใช้แคมเปญต่างๆ
ทุกรูปแบบ เพื่อดึงดูดให้นักท่องเที่ยวมาเยือนมาเลเซียเพิ่มมากขึ้นๆ
โดยวางเป้าหมายว่า ภายในปี 2020 (ซึ่งเป็นปีที่มาเลเซียคาดหวังจะมีฐานะเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว)
มาเลเซียจะมีรายได้จากภาคการท่องเที่ยวมากกว่า 3 ล้านล้านบาทและจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติถึง
36 ล้านคน
กลยุทธ์ที่สำคัญหนึ่งของรัฐบาลมาเลเซียก็คือการประกาศแคมเปญปีแห่งการท่องเที่ยว ภายใต้แผน การตลาด "Visit
Malaysia Year 2014" รัฐบาลตั้งเป้าไว้ว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเยือนมาเลเซีย
28 ล้านคน โดยเฉพาะการทำแคมเปญผ่านเกมฟุตบอล
ในปี
2011 ซึ่งเป็นปีแรกที่เริ่มกลยุทธโปรโมทภาพพจน์และการท่องเที่ยวของประเทศผ่านเกมกีฬาฟุตบอล
มาเลเซียโชคดีที่มีนักธุรกิจหมื่นล้านของตัวเองเป็นเจ้าของสโมสรฟุตบอลในอังกฤษถึงสองทีมคือคาร์ดิฟ
ซิตี้ และ ควีนปาร์ค แรงเจอร์ จึงเปิดโอกาสให้รัฐบาลและภาคเอกชนทุ่มทุนเป็นสปอนเซอร์
โดยสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์และสายการบินแอร์เอเซียร่วมเป็นสปอนเซอร์หลักของสโมสรควีนปาร์ค
แรงเจอร์(ขึ้นชั้นมาเล่นในพรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2011-2012) และการท่องเที่ยวมาเลเซียทุ่มทุนเงิน 3 ล้านปอนด์(ประมาณ 160 ล้านบาท) เป็นสปอนเซอร์ของสโมสรคาร์ดิฟ
ซิตี้ (ที่ขึ้นชั้นมาเล่นในพรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2013-2014) ทำให้ชื่อ "Malaysia" เริ่มผ่านสายตาแฟนๆลูกหนังทั่วทั้งเกาะอังกฤษเป็นครั้งแรกๆ ผลสำเร็จหนึ่งของแคมเปญผ่านเกมฟุตบอล ทำให้ช่วงปี
2012-2014 มาเลเซียมีโอกาสต้อนรับนักท่องเที่ยวจากอังกฤษเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะปี
2014 มีตัวเลขนักท่องเที่ยวอังกฤษ
4.4 แสนคนตามเป้าหมายเพิ่มสูงขึ้นถึง 7.8
เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้านั้น
การเลือกใช้กลยุทธ์เชิงรุกในรูปแบบใหม่ผ่านเกมฟุตบอลดังกล่าว
ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงเฉพาะในอังกฤษเท่านั้น
แต่ยังครอบคลุมไปถึงฟุตบอลลาลีก้าของสเปนซึ่งถือเป็นลีกที่ดีที่สุดในโลกลูกหนัง โดยการท่องเที่ยวมาเลเซียเลือกทีมเซบิย่าเป็นหัวหอกแคมเปญเปิดตลาดสเปนและยุโรปอื่นๆ
เซบิย่าไม่ได้เป็นทีมยักษ์ใหญ่ในวงการฟุตบอลสเปน
แต่อาจจะเป็นเรื่องง่ายสำหรับรัฐบาลมาเลเซียที่จะเจรจาตกลงเป็นสปอนเซอร์ระยะสั้นเฉพาะในช่วงแคมเปญปีการท่องเที่ยว
โดยเซบิย่าเริ่มเปิดตัวในชุดเสื้อที่มีโลโก้ "Visit
Malaysia 2014"
ปรากฏแก่สายตาแฟนลูกหนังกระทิงดุเป็นครั้งแรกในนัดที่แข่งกับทีมยักษ์ใหญ่อย่างรีล
แมดริด ซึ่งมีแฟนๆหลายร้อยล้านคนทั่วโลกติดตามชมในช่วงปลายเดือนมีนาคม 2014
แต่แมชท์ที่เชื่อกันว่าสร้างมูลค่าการตลาดให้กับแคมเปญ "Visit Malaysia
2014" เป็นอย่างมาก ก็คือนัดชิงชนะเลิศรายการการยูเอฟ่า
ยูโรป้าลีคที่เซบิย่าสามารถเอาชนะเบนฟิก้าคว้าแชมป์มาครองได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร
ถึงแม้ตัวเลขนักท่องเที่ยวจากสเปนจะมีเพียงแค่หลักหมื่นเมื่อเทียบกับหลักครึ่งล้านจาเกาะอังกฤษ
แต่การเป็นสปอนเซอร์ทีมเซบิย่าก็ส่งผลบวกอย่างทันตาเห็น ตัวเลขนักท่องเที่ยวจากสเปนตลอดทั้งปี
2014 เพิ่มถึง 35 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปี 2013 ถือเป็นอัตราการเพิ่มสูงที่สุดในกลุ่มเป้าหมาย
long-haul market หรือตลาดเส้นทางระยะไกล
ทั้งนี้
มีเหตุปัจจัยสำคัญที่ทำให้เชื่อว่า ตัวเลขความสำเร็จของปีการท่องเที่ยวจากการดำเนินกลยุทธ์ผ่านเกมฟุตบอลทั้งในอังกฤษและสเปนจะมีเพิ่มมากขึ้นกว่านี้อย่างแน่นอน
หากว่าในปี 2014 มาเลเซียไม่โชคร้ายประสบเหตุโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ถึงสองเหตุการณ์ นั่นคือเที่ยวบินของมาเลเซียแอร์ไลน์ประสบเหตุหายไปอย่างไร้ร่องรอยเมื่อต้นเดือนมีนาคม
และก็ถูกยิงกลางอากาศขณะบินผ่านเหนือน่านฟ้าของยูเครนในเดือนกรกฏาคม
ดังนั้นความสำเร็จของมาเลเซียในการใช้กลยุทธ์โปรโมทประเทศผ่านเกมฟุตบอลดังกล่าว
น่าจะเป็นแนวทางที่ดีที่ประเทศไทยจะได้ประยุกต์ปรับใช้ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่สโมสรเลสเตอร์
ซิตี้กำลังจะสร้างสิ่งมหัศจรรย์ให้เกิดขึ้นในวงการลูกหนังของอังกฤษ เป็นเงื่อนไขที่เอื้ออำนวยให้กับไทยแลนด์เป็นอย่างยิ่ง
มากยิ่งกว่ามาเลเซียเสียอีก ชนิดที่ทำให้การท่องเที่ยวมาเลเซียต้องอิจฉาน้ำตาไหล
ในด้านหนึ่ง
ถึงแม้ว่าเลสเตอร์ ซิตี้จะเป็นทีมเล็กๆ ไม่ได้มีคลาสหรือประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ที่เป็นตำนานให้เล่าขาน
ไม่ต่างจากคาร์ดิฟ ซีตี้หรือควีนปาร์ค แรงเจอร์ของมหาเศรษฐีมาเลเซีย แต่ในอีกด้านหนึ่งที่แตกต่างอย่างมหาศาล เลสเตอร์ ซิตี้ซึ่งมีมหาเศรษฐีคนไทยเป็นเจ้าของคือทีมที่มีฟอร์มดีที่สุด
ด้วยผลงานที่น่าทึ่งเกินความคาดหมาย
และกลายเป็นทีมนำอันดับหนึ่งในตารางพรีเมียร์ลีกในปัจจุบันนี้
ณ
เวลานี้ เลสเตอร์ ซิตี้กลายเป็นทีมที่ถูกพูดถึง
ได้รับความสนใจและถูกจับตามองมากที่สุดว่า จะสามารถฝ่าอุปสรรค "Mission
Impossible" แห่งโลกลูกหนัง สร้างปาฏิหารย์จนคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ได้หรือไม่
ด้วยผลงานที่(ดี)เกินคาดของทุกๆคน
ส่งผลทำให้เลสเตอร์ ซิตี้ กลายเป็นจุดสนใจของแฟนบอลทั่วโลกกว่า 700 ล้านคนใน 80
ประเทศที่หันมาเฝ้าติดตามชมแมทช์ถ่ายทอดสด รวมทั้งสื่อกีฬาทุกฉบับ เรียกว่าเพราะผลงานดีเลิศถึงขั้นมหัศจรรย์เช่นนี้
จึงทำให้ข่าวสารของเลสเตอร์ ซิตี้ปรากฏยู่ส่วนบนสุดของหน้ากีฬหนังสือพิมพ์และสื่อกีฬาออนไลน์โดยอัตโนมัติ
ไม่ใช่กรอบเล็กๆหรือส่วนล่างๆเหมือนเช่นในอดีต
นี่คือทุนทางการตลาดอันมหาศาล
และนี่คือโอกาสทองครั้งสำคัญ(ที่อาจจะมีเพียงแค่ครั้งเดียว)
ที่สามารถสร้างคุณปการให้แก่ประเทศไทยได้ไม่น้อย โดยเฉพาะในสถานการณ์ปัจจุบัน
รัฐบาลไทยโดยเฉพาะกระทางการท่องเที่ยวและกีฬาควรถือโอกาสนี้เจรจาแบบเร่งด่วนกับเจ้าของสโมสรเลสเตอร์
ซิตี้(ซึ่งอยู่ในวิสัยที่สามารถทำได้) ขอความร่วมมือและลงทุนเป็นสปอนเซอร์(เฉพาะช่วงโค้งสุดท้ายนี้) ซื้อพื้นที่บนเสื้อทีมเลสเตอร์ ซิตี้ รวมทั้งภายในสนามและรถบัสประจำทีม
เพื่อโปรโมทภาพพจน์และการท่องเที่ยวของประเทศ คำสั้นๆง่ายๆเช่น "Love
Thailand" หรือ "Visit Thailand"
ที่จะปรากฏผ่านสายตาผู้คนทั้งเกาะอังกฤษและอีกหลายร้อยล้านคนทั่วโลกในช่วงโค้งสุดท้ายนี้จะให้ผลที่คุ้มค่าอย่างมหาศาล
คุ้มค่ายิ่งกว่าการเป็นสปอนเซอร์ทีมยักษ์ใหญ่
คุ้มค่ายิ่งกว่าที่มาเลเซียเคยประสบความสำเร็จ และคุ้มค่ายิ่งกว่าการทุ่มเทโปรโมทผ่านนักเทนนิสระดับโลกอย่างเทียบกันไม่ได้
ณ ชั่วโมงนี้ กับคะแนนที่นำทีมอันดับสองถึง 5 แต้มและเหลือการแข่งขันอีกเพียง 7 นัด ไคล์แม๊กซ์ความสนใจในทีมเลสเตอร์ ซิตี้ก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นๆ คนทั้งเกาะอังกฤษและส่วนอื่นๆของโลกฟุตบอลกำลังรอลุ้นรอเชียร์ว่า ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อถึงกลางเดือนพฤษภาคมนี้ ทีมเล็กๆอย่างเลสเตอร์ ซิตี้จะสร้างปาฏิหารย์ให้เกิดขึ้นได้สำเร็จหรือไม่
แน่นอนที่สุดว่า
มหัศจรรย์ของทีมเจ้าของฉายา "เดอะฟ๊อกซ์" หรือที่คนไทยเรียกขานว่า
"จิ้งจอกสยาม" ทีมนี้ก็คือโอกาสทองที่ดีที่สุดสำหรับไทยแลนด์
อย่าปล่อยให้โอกาสดีๆเช่นนี้หลุดลอยไป
.
.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น