ในขณะที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.)กำลังทำงานอย่างขะมักเขม้น
เพื่อเค้นหาสูตรที่เหมาะสมลงตัวกับสังคมไทย แก้โรคร้ายในวงการเมือง และให้สอดคล้องกับเป้าหมายคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ต้องการเห็นการปฏิรูปการเมืองเกิดขึ้นจริง นั้น
ดูเหมือนกรณีตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่ไม่จำเป็นต้องเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร
หรือเรียกว่า “นายกฯคนนอก” จะเป็นประเด็นที่อ่อนไหวและมีการถกเถียงมากที่สุดประเด็นหนึ่งทั้งที่ผ่านๆมาและ
ณ ปัจจุบันที่กำลังมีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ล่าสุด ฝ่ายที่คัดค้านแนวคิดนี้
เชื่อว่า “นายกฯคนนอก” ขัดกับหลักการประชาธิปไตยเพราะไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง
ไม่ได้ยึดโยงใยกับประชาชน ส่วนฝ่ายที่สนับสนุนเพราะเห็นว่า
ด้วยข้อจำกัดของมนุษย์เราที่ไม่สามารถคาดเดาเหตุการณ์ในอนาคตได้อย่างแม่นยำถูกต้อง
โดยเฉพาะในกรณีที่เกิดวิกฤติไร้ทางออกจริงๆ ดังนั้น จึงควรเปิดทางไว้บ้างเผื่อเหลือเผื่อขาด
เพื่อป้องกันไม่ให้บ้านเมืองสู่จุดอับจุดอุดตัน
การพิจารณาประเด็นเรื่องนี้ ก่อนอื่นควรต้องยอมรับว่า หนึ่ง โดยพื้นฐานแล้ว
คนไทยทุกคนควรมีสิทธิที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีได้
(เหมือนที่คนอังกฤษเชื่อและคิด) สอง เราไม่ควรปิดประตูในเรื่องใดเรื่องหนึ่งแบบสนิทปิดตาย
แต่ควรเผื่อเป็นเสมือน “ทางออกฉุกเฉิน” ที่จะใช้ในกรณีที่จำเป็นจริงๆไว้บ้าง
ในความเป็นไปได้ที่น่าจะเป็นทางเลือกหนึ่ง “นายกฯคนนอก” ของประเทศไทยจะเกิดขึ้นได้ในสองกรณี
ภายใต้หลักการว่า “นายกฯคนนอก” คือ “นายกฯรักษาการ” เป็นแนวทางข้อเสนอที่เข้าข่ายเป็นรูปแบบใหม่
มีลักษณะเฉพาะแบบไทยๆและไม่ขัดมาตรฐานสากลใดๆ
ดังนี้
กรณีแรก เมื่อเกิดวิกฤติจนประเทศหยุดชะงักไม่สามารถเดินหน้าได้ “นายกฯคนนอก” นี้จะเข้ามาทำหน้าที่ รักษาการและบริหารจัดการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในอีก
2-4 เดือนข้างหน้า(หรือตามความเหมาะสม) ทั้งนี้ “นายกฯคนนอก” ควรจะต้องมีอำนาจมากในระดับหนึ่ง
ที่จะสามารถกำหนดและบังคับใช้เพื่อทำให้การเลือกตั้งดำเนินไปได้โดยไม่เกิดการได้ เปรียบเสียเปรียบระหว่างพรรคการเมืองมากเกินไป
ทางเลือกนี้น่าจะช่วยผ่อนคลายความกังวลหรือข้อเรียกร้องว่านายกรัฐมนตรีจะต้องเป็นมาส.ส.เท่านั้นเนื่อง
จาก “นายกฯคนนอก”
ตามแนวทางนี้จะเข้ามาทำหน้าที่บริหารจัดการการเลือกตั้งเป็นการเฉพาะเท่านั้น
นอกเหนือ
จากการทำหน้าที่รักษาการในช่วงระยะเวลาสั้นๆเพียงไม่เกินสามสี่เดือน(หรือจนกว่าจะมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่)
เปรียบเหมือนเช่นกรณีของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า)
ที่แต่งตั้งคณะกรรมการกลางหรือคณะกรรม การฟื้นฟู (normalization
committee) เข้ามาทำหน้าที่บริหารสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยเป็นการชั่วคราว
คณะกรรมการกลางนี้ถูกแต่งตั้งขึ้นมาเนื่องจากเกิดเหตุการณ์ “ไม่ปกติ”
หรือถึงขั้นวิกฤติขึ้น ดังนั้น ฟีฟ่าจึงต้องการให้คณะกรรมการเฉพาะกิจชุดนี้เข้ามาทำหน้าที่หลักเพื่อให้สถานการณ์กลับคืนสู่จุดปกติ
(normalise) ภายในระยะ เวลาที่กำหนด ภายใต้หลักการเดียวกันนี้
“นายกฯคนนอก” จึงควรเข้ามาทำหน้าที่บริหารเพียงชั่วคราวเท่านั้น ด้วยเป้าหมายเพื่อทำให้เหตุการณ์ในบ้านเมืองกลับคืนสู่จุดปกติ
หรือกลับไปสู่จุดเริ่มต้นใหม่
ในกรณีที่สอง เมื่อรัฐบาลประกาศยุบสภาแล้วกำหนดให้มีการเลือกตั้งใหม่ ควรจะต้องมีการตั้ง
“นายกฯคนนอก” เข้ามาทำหน้าที่รักษาการและบริหารจัดการการเลือกตั้ง (ร่วมกับ กกต.)
เพื่อให้เกิดความเรียบร้อยและยุติธรรมที่สุด
ป้องกันไม่ให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างพรรคการเมืองต่างๆมากเกินไปเหมือนที่ผ่านๆมา
เพราะด้วยฐานะความเป็น “นายกฯคนนอก” นี้ น่าเชื่อว่าจะดำรงหรือวางตัวเป็นกลางมากกว่านายกรัฐมนตรีที่เพิ่งพ้นจากตำแหน่งและสังกัดพรรคการเมือง
ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่า
การให้อำนาจรัฐบาลในการตัดสินใจเลือกยุบสภาและกำหนดช่วงวันเลือกตั้ง ตลอดจนรักษาการในตำแหน่งหน้าที่เดิมในช่วงระหว่างการเลือกตั้ง
ไม่อาจนับว่าเป็นเรื่องแฟร์และยุติธรรมได้เลย เพราะการที่ยังสามารถควบคุมอำนาจรัฐไว้ในมือ
ทำให้พรรครัฐบาลนั้นๆได้เปรียบพรรคการเมืองอื่นๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นเลยในการแข่งขันที่เป็นประชาธิปไตยที่สุด
นอกจากนี้ ประเด็นเรื่องเสถียรภาพและวาระการดำรงตำแหน่งของรัฐบาลหนึ่งๆถือเป็นปัญหาสำคัญหนึ่งที่เกิดขึ้นในระบบการเมืองไทยมาตลอดจนส่งผลกระทบต่อการพัฒนาประเทศในหลายๆด้าน สมควรพิจารณาควบคู่
กับประเด็น“นายกฯคนนอก” ด้วย
รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ควรจะสร้างโอกาสหรือหลักประกันว่า
รัฐบาลแต่ละชุดสามารถอยู่ในภาวะที่ “นิ่ง” ได้นานพอที่จะบริหารประเทศได้อย่างเต็มที่และต่อเนื่อง
โดยไม่ต้องกังวลในเรื่องแรงกดดันทางการเมืองใดๆ นั่นคือการสร้างกฏกติกาให้เป็นที่ยอมรับกันว่า
การเปลี่ยนแปลงใดๆจะเกิดขึ้นในทุกๆสองปีเท่านั้น ยกเว้นกรณีการปรับคณะรัฐมนตรีที่สามารถกระทำได้ตามความเหมาะสม
นั่นคือ ควรเปิดโอกาสให้รัฐบาลได้บริหารประเทศอย่างเต็มที่
โดยไม่มีใครสามารถกดดันหรือชุมนุมขับไล่ได้ (เป็นการนำเอาจุดแข็งหนึ่งของระบบประธานาธิบดีมาประยุกต์ใช้) เมื่อรัฐบาลบริหารได้ครบสองปีแล้ว
ฝ่ายค้านจะสามารถอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลได้โดยอัตโนมัติ
โดยฝ่ายรัฐบาลไม่สามารถขัดขวางใดๆได้
เมื่ออภิปรายเสร็จสิ้นแล้ว แทนที่จะมีการโหวตลงมติในรัฐสภา
(ซึ่งเสียงข้างมากทำให้ฝ่ายรัฐบาลชนะอยู่เสมอ) ควรให้ประชาชนทั้งประเทศลงประชามติ (หลังจากฟังการอภิปรายไม่ไว้วางใจ)ว่า
จะยังคงสนับสนุนรัฐบาลหรือเห็นด้วยกับฝ่ายค้าน
วิธีการนี้จะเพิ่มจูงใจให้ฝ่ายค้านพยายามทำหน้าที่ตรวจสอบมากเป็นพิเศษ
เพราะหากประชาชนเห็นด้วยกับฝ่ายค้านและเสียงส่วนใหญ่ลงประชามติไม่ยอมรับ(ผลงานหรือข้อแก้ตัวของ)รัฐบาล
รัฐบาลต้องพ้นจากตำแหน่งและให้ฝ่ายค้านก้าวขึ้นมาเป็นรัฐบาลบริหารประเทศแทนที่
ทั้งนี้ ภายใต้แนวคิดข้อเสนอนี้ เท่ากับว่า
จะไม่มีการประกาศยุบสภาโดยนายกรัฐมนตรีอีกต่อไป เพราะทุกๆอย่างจะเป็นไปตามกรอบระยะเวลาปกติทุกๆสองปี
เมื่อนั้น “นายกฯคนนอก” ตามแนวทางข้อเสนอข้างต้นก็จะทำหน้าที่
“นายกฯรักษาการ” ได้จริงๆ
.
.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น