11 สิงหาคม 2558

ทูตอเมริกันคนใหม่ (ตอนที่ 2)

.

กรณีต่อมาก็คือกรณีของอียิปต์ซึ่งมีความน่าสนใจมากเป็นพิเศษ ในแง่เปรียบเทียบกับกรณีของประเทศไทย(บทวิเคราะห์เฉพาะในเรื่องนี้จะนำเสนอในโอกาสต่อไป) เพราะทั้งอียิปต์และไทยต่างก็มีเหตุการณ์การรัฐประหารเหมือนกัน มีผู้ชุมนุมหลักล้านเป็นประวัติศาสตร์ ทูตอเมริกันทั้งในกรุงไคโรและในกรุงเทพต่างก็เป็นผู้หญิง ทั้งคู่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในเรื่องท่าทีที่แทรกแซงกิจการภายใน(มากเกินไป) และวางตัวไม่เป็นกลางให้เหมาะสมกับตำแหน่งเอกอัครราชทูต



อย่างไรก็ตาม มีประเด็นข้อแตกต่างหลายๆประการ ที่ควรจะได้พินิจพิจารณาเปรียบเทียบ  ดังนี้
หนึ่ง คือความแตกต่างในช่วงระยะเวลาหรือวาระที่อยู่ในตำแหน่ง โดยปกติแล้ว ทูตสหรัฐฯจะอยู่ในตำแหน่งประมาณสามปีและสามารถอยู่ต่อได้อีกหนึ่งปีตามความจำเป็นหรือเหมาะสม   ในข้อเท็จจริง ปรากฏว่า  ทูตสหรัฐฯประจำกรุงไคโรอยู่ในตำแหน่งสองปีหย่อนๆ (26 เดือน) เมื่อเทียบกับทูตสหรัฐฯประจำกรุงเทพ ซึ่งอยู่ในวาระนานถึง 47 เดือนหรือเกือบ 4 ปีเต็ม  จนกลายเป็นทูตสหรัฐฯ(ประจำประเทศไทย)ที่อยู่ในตำแหน่งนานที่สุดในรอบ 20 ปี  

ทั้งนี้  หากพิจารณาในรายละเอียดเพิ่มเติมจะเห็นได้ว่า ทูตสหรัฐฯประจำกรุงไคโรพ้นจากตำแหน่งในเดือนสิงหาคม 2556 นั่นคือหนึ่งเดือนหลังจากอดีตประธานาธิบดีโมฮัมหมัด โมร์ซีซึ่งเป็นผู้นำคนแรกที่มาจากการเลือกตั้งในประวัติศาสตร์ของอียิปต์ถูกรัฐประหารโค่นล้ม โดยอ้างเหตุผลว่าต้องไปรับตำแหน่งใหม่ที่สูงขึ้น (แต่ในอีกด้านหนึ่ง  อาจตีความได้ว่าคือการประท้วงไม่ยอมรับรัฐประหาร?)
ในขณะที่ทูตสหรัฐฯประจำกรุงเทพกลับยังอยู่ในตำแหน่งต่อเนื่องไปอีกห้าเดือนกว่าหลังจากที่เกิดเหตุรัฐ ประหารในเดือนพฤษภาคมจนหมดวาระอย่างเป็นทางการในเดือนพฤศจิกายน  ทั้งๆที่กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯสามารถเลือกแนวทางเดียวกับทูตสหรัฐฯประจำอียิปต์ โดยให้ทูตคริสตี้ เคนนีย์พ้นจากตำแหน่งแล้วไปรับตำแหน่งใหม่เร็วกว่านั้นก็อยู่ในวิสัยที่ทำได้ 
  

สอง การประกาศเสนอชื่อบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งทูตสหรัฐฯคนใหม่ประจำกรุงไคโรเกิดขึ้นในช่วงประมาณสองสัปดาห์ก่อนถึงกำหนดวันเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ (26-28 พฤษภาคม 2557) และได้รับการอนุมัติ เห็นชอบจากวุฒิสภาสหรัฐฯสองสัปดาห์ภายหลังประธานาธิบดีคนใหม่ของอียิปต์สาบานตนเข้ารับตำแหน่ง (8 มิถุนายน 2557) 
แต่ในกรณีของไทยนั้น การเสนอชื่อทูตสหรัฐฯคนใหม่และการอนุมัติเห็นชอบจากวุฒิสภาเกิดขึ้นในขณะ ที่ประเทศยังไม่มีการเลือกตั้งหรือกำหนดเวลาการเลือกตั้งที่แน่นอน อีกทั้งยังไม่มีรัฐบาลพลเรือนตามครรลองประชาธิปไตยที่สหรัฐฯต้องการเห็น
สาม ถึงแม้ทูตสหรัฐฯประจำอียิปต์และประจำประเทศไทยจะเป็นนักการทูตอาชีพที่เติบโตไต่เต้ามาจากกระทรวงต่างประเทศโดยตรง (ไม่ใช่ทูตที่แต่งตั้งเฉพาะกิจด้วยเหตุผลทางการเมืองหรือเป็นบุคคลของพรรคการ เมืองเดียวกับประธานาธิบดี) แต่ทูตอเมริกันประจำอียิปต์คนปัจจุบันนี้ไม่ใช่ตัวเลือกแรกที่รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ(จอห์น แคร์รี่)เสนอและต้องการ ดังนั้น เมื่อรัฐบาลอียิปต์ปฏิเสธไม่ยอมรับ (อดีตทูตสหรัฐฯประจำซีเรียซึ่งมีท่าทีสนับสนุนฝ่ายต่อต้านรัฐบาลซีเรีย) สหรัฐฯจึงต้องเปลี่ยนตัวและเสนอคนใหม่
ในส่วนทูตสหรัฐฯประจำประเทศไทย ดูเหมือนรัฐบาลไทยจะยอมรับชื่อ “Glyn Townsend Davies” ที่ทางสหรัฐฯเสนอมาตั้งแต่แรก ทั้งๆที่มิสิทธิที่จะปฏิเสธไม่ต้อนรับทูตคนนี้  (เหมือนเช่นกรณีอียิปต์รวมทั้งกรณีของโบลิเวียและเวเนซูเอล่า) หากพิจารณาแล้วเห็นว่ามีพื้นฐาน ประสบการณ์หรือทัศนคติที่จะมาสร้างปัญหามากกว่าเชื่อมสานสัมพันธ์สร้างบรรยากาศไมตรีจิตระหว่างกัน
หากนับวันเวลาที่ทูตสหรัฐฯประจำอียิปต์คนเก่าพ้นจากตำแหน่งจนถึงวันเวลาที่วุฒิสภาอนุมัติรับรองทูตสหรัฐฯคนใหม่ได้ครบ 10 เดือน ซึ่งใกล้เคียงกับกรณีของทูตสหรัฐฯประจำประเทศไทยที่ใช้เวลา 9 เดือน  ทั้งๆที่อียิปต์มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่หลังการรัฐประหารผ่านพ้นไปเกือบหนึ่งปี ซึ่งแตกต่างจากกรณีของประเทศไทย

ดังนั้น ความล่าช้าในการแต่งตั้งทูตสหรัฐฯคนใหม่ประจำประเทศไทยจึงไม่สามารถตีความอย่างผิวเผินว่าเป็นผลมาจากการที่สหรัฐฯไม่ยอมรับการรัฐประหารและรัฐบาลทหารไทย  แต่ในข้อเท็จจริงที่เป็นจริงยิ่งกว่าเท็จนั่นคือ เป็นผลมาจากปัญหาการเมืองสองพรรคในวุฒิสภาสหรัฐฯเป็นสำคัญรวมถึงความเหมาะสมของตัวบุคคล
นอกเหนือจากกรณีของทูตสหรัฐฯประจำไอร์แลนด์และโรมาเนียที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นแล้ว ปรากฏว่า หลายๆประเทศที่มีความสัมพันธ์อันดีกับสหรัฐฯหรือไม่ได้มีปัญหาทางการเมืองใดๆภายในประเทศกลับประสบปัญหาการแต่งตั้งที่ยืดเยื้อนานยิ่งกว่ากรณีของไทยเสียอีก
ในทวีปอเมริกากลางและลาตินอเมริกาที่เปรียบเสมือนเป็น “คอหอย” ของสหรัฐฯนั้น ประเทศเพื่อนบ้านที่สำคัญที่สุดอย่างเม็กซิโกซึ่งมีพรมแดนติดกันและสถานทูตสหรัฐฯในเม็กซิโกซิตี้ก็ถือว่าใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง (ด้วยจำนวนของเจ้าหน้าที่) กลับไม่มีทูตประจำการมาตั้งแต่กลางปี 2557  ส่วนคอสตาริก้า ก็เพิ่งดีใจได้ทูตอเมริกันคนใหม่หลังจากรอมานานร่วมสองปีเต็ม  แต่ที่เฝ้ารอมานานที่สุดก็คือบาฮามาส (45 เดือน) และทรินิแดดแอนโทบาโก (35 เดือน)
แม้กระทั่ง คิวบาซึ่งสหรัฐฯเพิ่งฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตและเปิดสถานทูตในรอบ 50 ปีเมื่อเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมา  ก็ยังไม่สามารถแต่งตั้งใครเป็นเอกอัครราชทูตได้ ทั้งๆที่เป็นประเทศที่มีความหมายทางการทูตต่อสหรัฐฯมากเป็นพิเศษ
ในฟากยุโรปเหนือ ทั้งนอร์เวย์และสวีเดนซึ่งไม่เคยมีข้อขัดแย้งกับสหรัฐฯเลยก็ประสบปัญหาเดียวกัน โดยนอร์เวย์ไม่มีทูตสหรัฐฯมาประจำนานร่วมสองปีแล้ว ส่วนสวีเดนก็ยืดเยื้อมาตั้งแต่กลางปี 2557  และมีแนวโน้มว่า การแต่งตั้งอาจจะยืดเยื้อต่อไปจนกระทั่งบารัค โอบาม่าพ้นจากตำแหน่งประธานาธิบดีในปลายปีหน้าแล้วก็เป็นได้  เว้นเสียแต่ว่า กระทรวงต่างประเทศจะพิจารณาเลือกแต่งตั้งนักการทูตอาชีพแทนที่จะเป็นนักการทูตสายการเมือง
นอกจากนี้ ปัจจัยในเรื่องระยะเวลาก็มีความสำคัญไม่น้อย  เพราะสหรัฐฯขึ้นชื่อในเรื่องความล่าช้าในขั้น ตอนการแต่งตั้งเอกอัครราชทูตแต่ละคน (ส่วนสำคัญเป็นผลมาจากภาวะการเมืองสองพรรคในวุฒิสภา) ว่ากันว่า โดยเฉลี่ยแล้ว ต้องใช้เวลานานถึงประมาณแปดเดือนครึ่งหรือประมาณ 258 วันในขั้นตอนกว่าที่วุฒิสภาจะอนุมัติ
จากบันทึกในปี 2557 ปรากฏว่า ทูตสหรัฐฯประจำประเทศเซียร์ราลีโอน(ในแอฟริกา)เคยสร้างสถิติใช้เวลารอการอนุมัติเห็นชอบจากวุฒิสภานับจากวันที่ได้รับการเสนอชื่อนานถึง 351 วัน   ทูตสหรัฐฯประจำอัลบาเนีย อาร์เจนติน่าและคาแมรูน แต่ละคนต้องรอนาน 330 วัน  แม้กระทั่งทูตสหรัฐฯประจำติมอร์เลสเต้ (เพื่อนบ้านในอาเซียน) ก็ต้องรอนานถึง 229 วัน  
เมื่อพิจารณาเทียบเคียงกับกรณีของประเทศไทยแล้วจะเห็นได้ว่าใช้เวลาน้อยกว่ามาก   หากนับจากวันที่ทูตคริสตี้ เคนนี่ย์พ้นจากตำแหน่ง (6 พฤศจิกายน 2557) จนถึงวันที่ประธานาธิบดีโอบาม่าเสนอชื่อทูตคนใหม่ (13 เมษายน 2558) ห่างกัน 23 สัปดาห์(ประมาณ 158 วัน) หรือหากจะนับรวมจากวันที่มีการเสนอชื่อจนถึงวันที่วุฒิสภาอนุมัติเห็นชอบ (5 สิงหาคม 2558)  ให้กลิน ทาว์นเซนด์ เดวี่ส์ เป็นทูตสหรัฐฯคนใหม่ใช้เวลา  16 สัปดาห์หรือ 114 วันซึ่งถือว่าเร็วมากหากวัดจากเกณฑ์เฉลี่ยของกรณีอื่นๆที่ได้กล่าวมาแล้ว
เพราะฉะนั้น จึงไม่ได้เป็นเรื่องเลวร้ายน่ากังวลมากมายอย่างที่บางฝ่ายคิดเห็น  แต่เป็นเหตุการณ์ที่ถือว่าปกติ หรืออาจจะเรียกว่าดีกว่าอีกหลายๆประเทศเสียอีก ทั้งๆที่มีเงื่อนไขเรื่อง “รัฐประหาร” เป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับประเทศไทย
สิ่งดีๆที่ต้องคาดเดาต่อไปก็คือว่า ทูตกลิน ทาว์นเซนด์ เดวี่ส์จะพิจารณาเลือกฤกษ์ดีในการเดินทางมารับตำแหน่งที่กรุงเทพฯอย่างไร  หลังจากที่ก่อนหน้านี้  ประธานาธิบดีบารัค โอบาม่าประกาศชื่อว่าที่ทูตสหรัฐฯคนใหม่ตรงกับวันสงกรานต์พอดิบพอดี จนน่าเชื่อว่าเป็นความตั้งใจ(ดี)มากกว่าความบังเอิญ
ดังนั้น หากทูตสหรัฐฯคนใหม่ตั้งใจเลือกเดินทางมารับตำแหน่งในช่วงโอกาสวันมหามงคลเดือนธันวาคม ก็ถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมเป็นฤกษ์ดีที่สุด ที่จะช่วยสร้างบรรยากาศแห่งความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯและไทยให้อบอุ่นเหมือนเมื่อวันวาน ให้สมกับฐานะเป็นประเทศแรกในเอเชียที่สหรัฐฯสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตเมื่อ 182 ปีที่แล้ว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

มอเตอร์ หรือ สติกเกอร์

เมื่อตอนที่ Real Madrid ทีมดังในสเปนตัดสินใจขาย Claude Makelele ให้กับทีม Chelsea แล้วซื้อ David Beckham มาแทนที่ในช่วงกลางปี 2003 ปรา...