ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตรบริเวณปราสาทพระวิหารดังกล่าว ซึ่งทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายกัมพูชาต่างก็อ้างสิทธิอธิปไตยและความชอบธรรมเหนือพื้นที่บริเวณนี้ เกิดขึ้นเนื่อง มาจากรัฐบาลกัมพูชาเสนอให้รวมเอาทั้งตัวปราสาทและพื้นที่ทับซ้อนขึ้นเป็นมรดกโลกแต่ฝ่ายเดียวในปี 2548
แรกเริ่มเดิมที รัฐบาลพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตรและรัฐบาลฮุนเซนเห็นพ้องต้องกันว่า จะเสนอปราสาทพระวิหารให้ขึ้นเป็นมรดกโลกร่วมกัน แต่ด้วยเหตุผลกลใดไม่ทราบได้ รัฐบาลไทยในขณะนั้นดูเหมือนจะใจดียินยอมให้กัมพูชายื่นปราสาทพระวิหารที่ครอบคลุมกินพื้นที่รอบบริเวณอีก 4.6 ตารางเมตรขึ้นเป็นมรดกโลกแต่ฝ่ายเดียวโดยไม่ได้คัดค้านใดๆ
ไม่มีใครทราบแน่ชัดว่า ทำไมรัฐบาลไทยในขณะนั้นจึงเปลี่ยนท่าที? และทำไมจึงยินยอม(เสีย)แต่ฝ่ายเดียว?
การเสนอขอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแต่ฝ่ายเดียวของกัมพูชาในปี 2548 ก่อนที่รัฐบาลทักษิณ ชินวัตรจะถูกรัฐประหารในปี 2549 กลายเป็นจุดเริ่มต้นของวาทกรรม “4.6 ตารางกิโลเมตร” ที่สืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบันนี้
พื้นที่ 4.6 ตร.กม. ที่มีค่ามหาศาลมากกว่าเพียงแค่เงิน 4.6 หมื่นล้านบาท |
จนกระทั่งล่าสุด ศาลฏีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองประทับรับฟ้องนายนพดลในความผิดที่ลงนามในแถลงการณ์ ข้างต้นโดยไม่ผ่านการพิจารณาของรัฐสภา จนอาจทำให้ประเทศไทยมีโอกาสสูญเสียดินแดน 4.6 ตารางกิโลเมตร
ความขัดแย้งเหนือพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรดังกล่าว ร้อนแรงจนถึงขั้นนำไปสู่การเผชิญหน้าและการปะทะกันทางทหารระหว่างสองประเทศหลายต่อหลายครั้งในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา และนำไปสู่ผลกระทบด้านอื่นๆอย่างมีนัยยะสำคัญ
ส่วนหนึ่ง กลายเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะประกาศถอนตัวจากการเป็นภาคีอนุสัญญามรดกโลกและคณะกรรมการมรดกโลก องค์การยูเนสโกในปี 2554
และส่วนสำคัญยิ่งก็คือ กลายเป็นมูลเหตุหลักที่ทำให้รัฐบาลกัมพูชายื่นเรื่องฟ้องต่อศาลโลกเป็นคำรบสอง ณ ปัจจุบันนี้
ประเด็นเรื่องพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองทั้งในประเทศและระหว่างสองประเทศได้เป็นอย่างดี และแน่นอนที่สุดว่า บุคคลที่ถูกกล่าวหาและโยงใยว่ามีส่วนเกี่ยวพันกับเรื่องนี้มากที่สุดก็คือคุณทักษิณ
มีการกล่าวหาว่า อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 23 ของประเทศคนนี้ อยู่เบื้องหลังชักใยปัญหาความยุ่งยากทั้งปวง และมีท่าทีสนับสนุนผลประโยชน์ของกัมพูชามากกว่าผลประโยชน์ของแผ่นดินแม่
กล่าวหาว่า รัฐบาลสมัคร สุนทรเวชเป็นรัฐบาลนอมินี จึงดำเนินการใดๆเพื่อประโยชน์ของคุณทักษิณเป็นสำคัญ การลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาโดยคุณนพดล (ซึ่งเป็นคนสนิทของคุณทักษิณ) มีเงื่อนงำมีผลประโยชน์แอบแฝง โดยเฉพาะสัมปทานน้ำมันและก๊าซที่รัฐบาลฮุนเซนของกัมพูชาเสนอให้ แลกกับท่าทีที่สนับสนุนกัมพูชาในการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่ฝ่ายเดียว (ที่พ่วงเอาพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรเข้าไปด้วย)
กล่าวหาว่า คุณทักษิณมีพฤติกรรมที่ไม่รักชาติรักบ้านเกิดเมืองไทย และถือหางเข้าข้างศัตรูของประเทศ(?) เพราะพยายามสื่อพยายามบอกว่า พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรเป็นของกัมพูชามาตั้งนานแล้ว
ซ้ำร้ายไปกว่านั้น มีการกล่าวหาว่า ท่าทีของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตรต่อกรณีพิพาทปราสาทพระวิหารในศาลโลก สอดคล้องเป็นปี่เป็นขลุ่ยกับแนวคิดของของพี่ชาย ผู้มีอำนาจตัวจริงในพรรคเพื่อไทย
ในขณะเดียวกันประเด็นข้อถกเถียงที่ร้อนแรงที่สุดอีกประเด็นหนึ่งในการเมืองไทยในยุคสมัยรัฐบาลปัจจุบันก็คือ การนิรโทษกรรมทางการเมืองโดยมีคุณทักษิณเป็นเป้าหมายสำคัญแรกสุด
เงิน 4.6 หมื่นล้านบาท : ถูกปล้น ถูกยึด หรือถูกปรับชดเชย? |
หากยังจำกันได้ ในช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งครั้งล่าสุดเมื่อปี 2554 วาทกรรม “4.6 หมื่นล้านบาท” กลายเป็นประเด็นของการต่อสู้และหาเสียงทางการเมืองที่ร้อนแรงและอ่อนไหวอย่างยิ่งควบ คู่กับวาทกรรม “4.6 ตารางกิโลเมตร” ที่มีการเชื่อมโยงกับคุณทักษิณอย่างชัดเจนที่สุด
กลายเป็นอาวุธทางการเมืองที่ทิ่มแทงและหลอกหลอนคุณทักษิณอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มีการต่อยอดเพื่อหวังผลทางการเมืองอย่างเต็มที่ และกำหนดเป็นทางเลือกเป็นขาวเป็นดำที่ชัดเจนที่สุดให้กับประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ณ เวลานั้น
มีการรณรงค์หาเสียงสร้างวาทกรรมเพื่อหวังผลทางการเมืองว่า ประชาชนจะเลือกพรรคการเมืองที่ยกดินแดน 4.6 ตารางกิโลเมตรให้กัมพูชา(?) หรือ พรรคการเมืองที่ปกป้องอธิปไตยดินแดนส่วนนี้(?) และคนไทยจะเลือกพรรคการเมืองที่มีนโยบายคืนเงิน 4.6 หมื่นล้านบาทให้แก่คุณทักษิณ(?) หรือ พรรคการเมืองที่ไม่มีนโยบายล้างความผิดเพื่อคืนเงินส่วนนี้ให้แก่อดีตนายกรัฐมนตรีคนนี้(?)
ต้องถือเป็นความบังเอิญอย่างยิ่งที่ตัวเลข “4.6” เข้ามาเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับชีวิตของคุณทักษิณและการเมืองไทยอย่างเด่นชัดขนาดนี้ เรียกว่า มีเส้นบางๆที่แบ่งแยกระหว่าง ความบังเอิญ เจตนาและทฤษฏีสมคบคิดจนแยกไม่ออก
ภายใต้ทฤษฏีสมคบคิด (ที่ฝ่ายคุณทักษิณอาจให้น้ำหนักในเรื่อง “เจตนา” มากกว่า “ความบังเอิญ”) นั้น ประเด็น “4.6 หมื่นล้านบาท” ซึ่งเกิดขึ้น 19 เดือนภายหลังประเด็น “4.6 ตารางกิโลเมตร” มีความหมายว่า “4.6 หมื่นล้านบาท” คือค่าความเสียหายหรือเงินชดเชยสำหรับความสูญเสีย “4.6 ตารางกิโลเมตร” ที่ต้องมีคนรับผิดชอบ(?)
การสมคบคิดยินยอมให้ฝ่ายกัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก(ที่เชื่อว่า)พ่วงเอาพื้นที่รอบๆอีก 4.6 ตารางกิโลเมตรเข้าไปด้วย อาจจะเป็นมูลเหตุที่ทำให้ถูกยึดทรัพยจำนวน 4.6 หมื่นล้านบาท (อย่างน่าบังเอิญ) บนฐานความเชื่อว่า “เมื่อทำให้เสีย ก็ต้องเสียด้วย(?)”
ในขณะเดียวกัน โอกาสที่คุณทักษิณจะได้เงิน 4.6 หมื่นล้านบาทกลับคืนนั้นค่อนข้างน้อยมาก ดังนั้น บนความคิดที่ว่า “ไหนๆจะเสีย ก็ต้องทำให้เสียด้วย” จึงผลักดันสนับสนุนให้กัมพูชาได้ดินแดน 4. 6 ตารางกิโลเมตรนี้ไปเสียเลย โดยอาศัยยืมมือศาลโลก(?) ตามที่มีการกล่าวหากัน
ในท้ายที่สุด ถึงแม้ว่า ประเด็น “4.6” จะไม่ได้มีอิทธิพลชี้ขาดผลการเลือกตั้งในทางที่เป็นผลเสีย หาย และพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งจนสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้อย่างมีเสถียรภาพ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า คุณทักษิณและรัฐบาลยิ่งลักษณ์จะปลอดภัยจากเชื้อ “4.6” ได้โดยเด็ดขาด ตราบเท่าที่ศาลโลกยังไม่ตัดสินเกี่ยวกับกรณีพิพาทพื้นที่รอบๆบริเวณปราสาทพระวิหาร
บางที ด้วยความเป็นประเด็นที่อ่อนไหวสามารถจุดติดได้ทุกเมื่อ เชื้อ “4.6” อาจจะถูกสะกิดให้ลุกลามและหลอกหลอนคุณทักษิณและรัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อถึงวันเวลาที่ศาลโลกจะมีคำตัดสินออกมา
และหากคำตัดสินของศาลโลกเป็นคุณเป็นประโยชน์จนถึงขั้นทำให้ประเทศไทยต้องเสียดินแดน 4.6 ตารางกิโลเมตรแก่กัมพูชา เมื่อนั้น “เชื้อ 4.6” อาจจะกลายเป็นจุดเปลี่ยน จุดต่ำ หรือจุดจบของคุณทักษิณและรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตรในอนาคตก็เป็นได้
.