ปฏิเสธไม่ได้ว่า
เชื้อรากเหง้าส่วนหนึ่งของปัญหาความความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาในปัจจุบันนี้
เป็นผลมาจากคำตัดสินของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือศาลโลกเมื่อปี 2505
ที่ให้ปราสาทพระวิหารอยู่ในเขต อธิปไตยของกัมพูชา
คำตัดสินของศาลโลกยุติที่กรุงเฮกเท่านั้น แต่กลาย เชื้อแห่งความขัดแย้งตลอด 5 ทศวรรษที่ผ่านมา |
ความชัดเจนที่สุดก็คือ กัมพูชาเป็นเจ้าของปราสาทพระวิหารโดยนิตินัย แต่ศาลโลกก็ทิ้งมรดกความคลุมเครือจากคำตัดสินดังกล่าว
เป็นความคลุมเครือว่า
การเป็นเจ้าของปราสาทพระวิหารนี้หมายถึงการเป็นเจ้าของพื้นที่บริเวณโดยรอบด้วยหรือไม่ โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่โดยรอบ 4.6 ตารางกิโลเมตรที่กลายเป็นหัวใจของความขัดแย้งในวันนี้
ดูเหมือนว่า
ฝ่ายกัมพูชาและผู้สนับสนุนจะยึดเอาทฤษฏี "คอนโดมิเนียม" เป็นหลักในการตีความ นั่นคือโดยหลักการแล้ว
การเป็นเจ้าของห้องชุดหนึ่งๆ ย่อมหมายถึงการเป็นเจ้าของ(ร่วม)ในที่ดินทังหมดที่เป็นที่
ตั้งของคอนโดฯด้วย
เพราะฉะนั้น ภายใต้หลักการนี้ ผู้นำกัมพูชาจึง(อาจ)เชื่อว่า
การเป็นเจ้าของปราสาทพระวิหารจึงครอบคลุมถึงสิทธิการเป็นเจ้าของพื้นที่ที่เป็นที่ตั้งและพื้นที่บริเวณโดยรอบด้วย
ปราสาทพระวิหารในฐานะอสังหาริมทรัพย์เช่นเดียวกับคอมโดมิเนียม? |
ในขณะที่ฝ่ายรัฐไทย
มองว่าคำตัดสินของศาลโลกสอดคล้องกับหลักการ "ตึกเซ้ง" มากกว่า นั่นคือ
เป็นเจ้าของเฉพาะตัวตึกเท่านั้น
แต่ไม่มีสิทธิหรือเป็นเจ้าของที่ดินด้วย เพราะฉะนั้น โดยนัยยะนี้
กัมพูชาเป็นเจ้าของเฉพาะตัวปราสาทพระวิหารเท่านั้น
แต่ไม่ได้รวมถึงสิทธิการเป็นเจ้าของเขาพระวิหารเฉพาะพื้นที่บริเวณใต้และรอบๆปราสาท
เพราะต่างฝ่ายต่างยึดถือหลักการและมุมมองที่แตกต่างกันดังกล่าว ความขัดแย้งอันเนื่องมาจากและเกี่ยวข้องกับปัญหาปราสาทพระวิหารจึงยากจะหาข้อยุติ ได้ง่ายๆ เว้นเสียแต่บุคคลที่สามที่จะเป็นผู้ตัดสินว่า
กรณีนี้ควรยึดเอาทฤษฏี "คอนโดมิเนียม" หรือทฤษฏี "ตึกเซ้ง" มากกว่ากัน
ปัญหาความข้ดแย้งไทย-กัมพูชาที่ต้อง ใช้เวลาสมานเฉกเช่นระยะทางที่ต้อง เดินสู่ชั้นบนสุดของตัวปราสาท |
ได้แต่หวังว่าทั้งสองฝ่ายจะสามารถหาข้อยุติในปัญหาข้อพิพาทนี้ได้อย่างสนิทใจ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื่องในโอกาสครบ 50 ปีของคำตัดสินของศาลโลกในปี 2555
แทนที่จะเป็นการกลับสู่เวทีศาลโลก อีกครั้งหนึ่งหลังจาก
5 ทศวรรษผ่านพ้นไป
.
เทียบกับซื้อบ้านเดี่ยว คือ ซื้อทั้งที่ดิน และตัวบ้าน
ตอบลบถ้าตัวบ้านถล่ม หรือ รื้อถอนไป ก็ยังเหลือที่ดิน
กรณีเขมร จึงไม่ใช่คอนโด เพราะเจ้าของที่ดินที่สร้างคอนโด มีเจตนาให้ผู้ซื้อห้องมีกรรมสิทธิ์ร่วม ซึ่งไม่ใช่ในกรณีเขาพระวิหาร
ซึ่งเป็นการซื้อตึกเซ้ง คือได้แต่ตัวอาคาร ดังนั้น
สมมติว่า คำพิพากษาศาลโลกยุติแค่นี้ เขมรจะต้องเสียค่าเช่าที่ดินสำหรับอาคารของตน
ในกรณีนี้ไม่จำเป็นต้องคำนึงเรื่องการครอบครองพื้นที่ของอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าว ในเมื่อพื้นที่สิทธิที่อยู่บนผืนแผ่นดินไทยทั้งหมดที่มีการปักปันเขตแดนแล้วคือสันปันน้ำอันได้แก่หน้าผาซึ่งรวมทั้งพื้นที่ตัวปราสาทพระวิหารด้วยนั้น อยู่ในกรรมสิทธิ์ของไทยทั้งสิ้น
ตอบลบแต่การที่ปราสาทพระวิหารถูกศาลตัดสินให้อยู่ในกรรมสิทธิ์ของกัมพูชาเพราะเราไม่คัดค้านตอนที่มีการไปเยือนปราสาทพระวิหารแล้วคนฝรั่งเศสมาต้อนรับ ในขณะที่เขตแดนของไทยกินบริเวณกว้างไปถึงหน้าผา ในเมื่อได้ครอบครองปราสาทพระวิหารไปแล้วจึงเป็นการยกสิทธิเฉพาะตัวปราสาทเท่านั้น ดินแดนไม่เกี่ยวข้องครับ แค่เราไปยอมเล่นละครลิงกับเขาตอนเสียปราสาทพระวิหารก็แย่อยู่แล้วครับ