สหรัฐฯเป็นชาติหนึ่งที่ผู้คนคลั่งไคล้กีฬาประเภทต่างๆ เป็นอย่างมาก
เรียกว่า คนอเมริกันส่วนใหญ่หายใจเข้าออกเป็นกีฬาก็ว่าได้
ใน ช่วงยุคสงครามเย็น สหรัฐฯใช้เกมกีฬาเป็นสํญญลักษณ์หนึ่งในการต่อสู้กับฝ่ายคอมมิวนิสต์
โดยเฉพาะในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิคฤดูร้อน สหรัฐฯให้ความสำคัญและพยายามเกือบทุกวิถีทางเพื่อครองตำแหน่งเจ้าเหรียญทอง
ให้ได้
เมื่อสงครามเย็นสิ้นสุดลง ศักยภาพทางกีฬาของกลุ่มประเทศ(อดีต)คอมมิวนิสต์หลายๆประเทศลดลง
สหรัฐฯจึงกลายเป็นมหาอำนาจเจ้าเหรียญทองโอลิมปิคอย่างค่อนข้างจะสะดวกสบาย กว่าเดิม
แต่ในทางกลับกัน กีฬาหลายๆประเภทที่คนอเมริกันคลั่งใคล้ ชื่นชอบและถือเป็นสัญญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ของชาติ
กำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ตกต่ำอย่างน่าวิตก
สหรัฐฯเป็นชาติ เกิดใหม่ที่มีประวัติศาสตร์เพียงสองร้อยกว่าปี บรรพบุรุษของคนอเมริกันสร้างชาตินี้ขึ้นมาจากศูนย์ และด้วยสองมือที่ค่อยๆ ก่อร่างสร้างชาติจนทำให้สหรัฐฯเป็นมหาอำนาจที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดใน
ปัจจุบันนี้
อาจจะเพราะเป็นชาติที่สร้างด้วยสองมือเปล่า นี้เอง ที่ทำให้
"มือ" ของคนอเมริกันมีลักษณะพิเศษ เป็นยีนที่ถ่ายทอดสู่คนรุ่นแล้วรุ่นเล่า
และทำให้คนอเมริกันถนัดหรือเก่งกาจในกีฬาทีต้องใช้มือมากเป็นพิเศษ
หากจะไล่เรียงกีฬาที่คนอเมริกันชื่มชอบและคลั่งไคล้มากที่สุด ส่วนใหญ่แล้วเป็นเกมกีฬาที่ต้องใช้มือเป็นหลัก โดยเฉพาะเกมกีฬาที่สหรัฐฯ เป็นผู้คิดค้น เช่น อเมริกันฟุตบอล บาสเก็ตบอล
เบสบอลและฮ็อคกี้น้ำแข็ง รวมไปถึงกีฬาประเภทอื่นๆที่ได้รับความนิยมมากๆ คือเทนนิส
กอล์ฟและมวย
คน อเมริกันถือว่าการเป็นสุดยอดในเวทีโลกกีฬาคือสัญญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ของ
สหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเป็นหมายเลขหนึ่งหรือเป็นแชมป์โลกในกีฬาเทนนิส
กอล์ฟ มวยรุ่นยักษ์ รวมทั้งเจ้าลมกรด 100 เมตร ซึ่งนักกีฬาของสหรัฐฯเป็นเต้ยมาเนิ่นนาน
แต่ในวันนี้ ไม่มีนักกีฬาอเมริกันคนใดที่อยู่ในจุดสูงสุดของกีฬาทั้งสี่ประเภทนี้
เป็นเรื่องน่าอับอายหรือว่าเป็นเรื่องปกติของวัฏจักรแห่งโลกความจริงที่มี ขึ้นมีลง(?)
เทนนิสถือเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ประเภทหนึ่งในสหรัฐฯ มีคนอเมริกันกว่า
20 ล้านคนที่เล่นเทนนิสและอีกหลายสิบล้านคนที่ติดตามเทนนิสรายการต่างๆ
ช่วงเวลา 25 ปีนับตั้งแต่ปี 1974 ถือเป็นยุคทองของวงการเทนนิสสหรัฐฯก็ว่าได้ เพราะเป็นยุคที่นักเทนนิสชายของสหรัฐฯโดดเด่นเหลือหลาย
เหนือนักเทนนิสชาติอื่นๆ ซุปเปอร์สตาร์มือหนึ่งระดับโลกอย่างจิมมี คอนเนอร์, จอห์น แมคเอนโร, จิม คูเรียส์, พิส แซมพราส, อังเดร อากัสซี่ รวมกระทั่งไมเคิล
ชางและแอนดี้ ร็อคดิก ช่วยกันกวาดช่วยกันคว้าแชมป์รายการแกรนด์สแลมรวมกันแล้วกว่า 44
รายการ
จิมมี่ คอนเนอร์สเก่งกาจครบเครื่องอย่างหาใครเสมอ เหมือนไม่ได้ ทั้งประเภทชายเดี่ยว ชายคู่และคู่ผสม |
จอห์น แม็คเอนโร นักเทนนิสจอมโวที่สร้าง สีสันให้กับโลกเทนนิสอย่างเหลือหลาย |
สุดยอดนักเทนนิสที่เซ๊กซี่ที่สุด - อังเดร อากัสซี่ |
พีท แซมพราส นักเทนนิสที่เก่งที่สุด ในประวัติศาสตร์ของวงการเทนนิสสหรัฐฯ |
แอนดี้ ร็อคดิกกับตำแหน่งแชมป์ยูเอส โอเพ่น แชมป์มาสเตอร์แชมป์แรกและแชมป์สุดท้ายของนักเสริฟพลังช้าง |
มาร์ดี ฟิช มือหนึ่งของสหรัฐฯคนปัจจุบันที่แทบจะไม่มีใครรู้จัก |
พิท แซมพราสได้รับการยกย่องว่าเป็นนักเทนนิสที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของ
เทนนิสสหรัฐฯ เพราะสามารถสร้างสถิติคว้าแชมป์สูงสุดถึง 14 รายการ (ก่อนที่จะถูกโรเจอร์
เฟดเดอเรอร์ทำลายสถิตินี้) เมื่อตอนที่แซมพราสคว้าแชมป์ยูเอสโอเพ่นในปี 2002
ซึ่งถือเป็นรายการแชมป์สุดท้ายแล้ว วงการเทนนิสของสหรัฐฯ ต่างก็มีความหวังว่า
ร๊อดดิกคือนักเทนนิสคนต่อไปที่จะสร้างความยิ่งใหญ่ให้แก่วงการเทนนิสชายของ สหรัฐฯ
การคว้าแชมป์ยูเอส
โอเพ่นของร็อดดิกในปี 2003 จุดประกายให้คนอเมริกันเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยม
แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า นับตั้งแต่นั้นมา ก็ไม่เคยมีนักเทนนิสอเมริกันคนใดคว้าแชมป์ในรายการเมเจอร์แกรนด์สแลมใดๆได้
อีกเลย เป็นช่วงเวลาที่โรเจอร์ เฟดเดอเรอร์, ราฟาเอล นาดาล
และโนวัค ยอโควิชยึดครองบัลลังค์โลกเทนนิสชายอย่างเด็ดขาด เรียกว่าเป็นช่วงเวลา 8 ปีแห่งความน่าผิดหวังเป็นที่สุดสำหรับวงการเทนนิสของสหรัฐฯ
โรเจอร์ เฟดเดอเรอร์ นักเทนนิสชาวสวิสที่ได้รับการ ยกย่องว่าเก่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของเกมกีฬาเทนนิส |
ราฟาเอล นาดาล มือหนึ่งของโลก คนปัจจุบันจากสเปน |
โนวัค ยอโควิชนักเทนนิสเซอร์เบียที่มี โอกาสก้าวขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งของโลกคนต่อไป |
อันดับเอทีพีล่าสุด พบว่ามีนักเทนนิสอเมริกันเพียงสองคนเท่านั้นที่อยู่ใน
20 อันดับแรก คือมาร์ดี ฟิช (อันดับ 9) และร็อดดิก(อันดับ 10) ทั้งสองคนอยู่ในช่วงขาลงที่ไม่อาจจะสร้างปาฏิหารย์ใดๆได้อีกแล้ว
แม้กระทั่งฟิชเองก็ถือเป็นนักเทนนิสหมายเลข 1 ของสหรัฐฯที่โลกเทนนิสรู้จักน้อยที่สุดก็ว่าได้
เมื่อเทียบกับนักเทนนิสรุ่นพี่คนอื่นๆ
เชื่อว่า
อีกหลายปีกว่าที่บรรดาดาวรุ่งอเมริกันจะจรัสแสงทวงบัลลังค์ความยิ่งใหญ่นี้กลับคืนมา
สภาพ การณ์ของแชมป์มวยรุ่นเฮฟวิเวทในวันนี้ก็ไม่ต่างจากวงการเทนนิสสักเท่าไหร่
เพราะเป็นอีกสังเวียนหนึ่งที่นักกีฬาของสหรัฐฯ(เคย)ครองความยิ่งใหญ่เกรียง
ไกรเหนือชาติอื่นๆ สหรัฐฯผลิตแชมป์เปี้ยนโลกรุ่นเฮฟวิเวทที่ยิ่งใหญ่คนแล้วคนเล่ามากกว่าทุกๆ
ชาติ เรียกได้ว่า แชมป์มวยยักษ์เป็นของคู่กับสหรัฐฯอย่างไรอย่างนั้น
วงการมวยโลกรู้จักชื่อของมูฮัมหมัด
อาลี, ร็อคกี มาร์เซียโน, โจ หลุยส์,
จอร์จ ฟอร์แมน, โจ ฟาร์ เซีย, ลาร์รี โฮล์ม, ไมค์ ไทสัน และอีวานเดอร์ โฮลิฟิลด์เป็นอย่างดี
สุดยอดมวยยักษ์เหล่านี้ได้ร่วมกันผลัดมือสร้างความยิ่งใหญ่ให้กับวงการมวย ยักษ์ของสหรัฐฯอย่างเกรียงไกรไร้เทียมทานติดต่อกันกว่า
50 ปี
มูฮัมหมัด อาลี สุดยอดมวยยักษ์ตลอดกาล |
จอร์จ ฟอร์แมนในวัย 40 ที่ยังไม่ห่างหายจากสังเวียน |
ลาร์ลี่ โฮล์ม "สิงห์รถบรรทุก" |
ไมค์ ไทสันสุดยอดมวยยักษ์ที่ตัวเล็กที่สุด |
อีวานเดอร์ โฮลิฟิลด์นักมวยยักษ์คนแรกที่ถูกกัดหูบนสังเวียน |
แต่ในรอบหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมานับตั้งแต่โฮลิฟิลด์เป็นแชมป์โลกแล้ว
ก็ไม่มีนักมวยอเมริกันคนไหนที่สามารถสร้างชื่อสร้างเสียงเทียบเท่ารุ่นพี่ๆ ได้เลย
จอห์น หลุยซ์, ฮาซิม ลาห์มาน, คริส เบิร์ด หรือกระทั่งแชนน่อน บริกก์สซึ่งเป็นแชมป์โลกคนล่าสุด(ท้าย)
ของสหรัฐฯ ในปี 2008 ก็เป็นแชมป์โลกรุ่นยักษ์ที่ขาดซึ่งบารมี
ชื่อเสียงและเสน่ห์ แทบจะไม่เป็นที่รู้จักของวงการมวยโลก
เรียกได้ว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา สหรัฐฯได้สูญเสียตำแหน่งที่น่าภาคภูมิใจนี้ไปอย่างน่าเศร้า ไม่มีนักมวยยักษ์คนไหนที่สามารถสร้างชื่อเสียงให้แก่วงการมวยสหรัฐฯได้เลย
และคงเป็นเรื่องยากที่จะหานักมวยยักษ์อเมริกันคนใดที่กล้าหาญชาญชัยโค่นล้ม สุดยอดฝีมือสองศรีพี่น้องยูเครน
แชมป์โลกคนล่าสุดอย่างวิตาลี่ คลิทช์โก และวลาดิเมียร์ คลิทช์โกในเวลานี้ได้
โลกมวยยักษ์ภายใต้กำปั้นของสองศรีพี่น้องตระกูล คลิทช์โกที่เป็นก้างขวางคอของมวยยักษ์อเมริกัน |
นักมวยยักษ์อเมริกันคนแล้วคนเล่า ที่ตกเป็นเหยื่อบนเวทีของวิตาลี่ คลิทช์โก |
วลาดิเมียร์ คลิทช์โกไม่เคยปรานีนักมวยยักษ์อเมริกันคนใด |
เมื่อพูดถึงวงการกรีฑาแล้ว
คนอเมริกันเคยภาคภูมิใจและมีความหวังมาโดยตลอดว่า สหรัฐฯคือเจ้าลมกรดทั้งในประเภท 100 เมตร
และวิ่งผลัด 4x100 เมตรในกีฬาโอลิมปิกนับตั้งแต่ยุคของคาร์ล
ลูอิสที่เริ่มสร้างชื่อตั้งแต่ปี 1984 เป็นต้นมา
ถึงแม้ในบางครั้ง อาจจะพลาดหวังไม่ได้แชมป์ แต่นักวิ่งของสหรัฐฯเกรียงไกรและมีโอกาสลุ้นเหรียญทองและลุ้นตำแหน่งสุดยอด
มนุษย์ลมกรดอยู่เสมอ
ในช่วงเวลาที่คาร์ล ลูอิสสร้างความภูมิใจให้กับคนอเมริกัน |
คาร์ล ลูอิสผู้มากความสามารถเป็นทั้ง เจ้าลมกรดและเจ้ากระโดดไกล |
ไทสัน เกย์เจ้าของสถิติ "9.69" เป็นลมกรด อเมริกันที่วิ่งเร็วที่สุด |
มอริส กรีน เจ้าลมกรดโลกในยุค 1997-2004 |
แต่ในวันนี้
คนอเมริกันไม่มีโอกาสได้ลุ้นใดๆได้เลย นับตั้งแต่โลกได้ประจักษ์ในความมหัศจรรย์ของนักวิ่งชาวจาร์ไมก้าที่ชื่อยู
เซน โบลท์ผู้สร้างชื่อพิชิตเหรียญทองในการแข่งขันโอลิมปิคปี 2008
ข้าชื่อยุเซน โบลท์ (Usain Bolt) ไม่ใช่ ยูเอสเอ อิน โบลท์ (USA in Bolt) |
ความห่างชั้นหลายก้าวระหว่างยูเซน โบลท์และลมกรดคนอื่นๆ |
สถิติโลก "9.58" ที่ทำให้ยูเซน โบลท์กลาย เป็นมนุษย์ที่วิ่งเร็วที่สุดในโลก(ตลอดกาล?) |
ความเก่งกาจเหลือคณาของยูเซน โบลท์ที่ยัง เป็น เจ้าของสถิติโลก 200 เมตรอีกตำแหน่ง |
โบลท์สร้างสถิติโลกเป็นนักวิ่งลมกรดที่วิ่งเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์
ของมนุษยชาติก็ว่าได้ เป็นเจ้าของสถิติ 9.58 (วินาที)ที่เหลือเชื่อ
เป็น เรื่องยากหรืออาจจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีนักวิ่งคนไหนสามารถทำลายสถิตินี้
ได้ ความมั่นใจที่ถดถอยลงไปอย่างมากของนักวิ่งคนอื่นๆ ทำให้ยูเซน โบลท์กลายเป็นเจ้าลมกรดที่ไร้เทียมทานไปอีกหลายปี
และ ตราบใดที่โบลท์ยังสมบูรณ์และสามารถวิ่งได้แบบนี้แล้ว
นักวิ่งสหรัฐฯคนอื่นๆคงต้องถอดใจไม่กล้าท้าชิง ทวงตำแหน่งเจ้าบัลลังค์ลมกรดโลกแน่ๆ
และด้วยวัยเพียง 25 ปี โบลท์อาจจะสามารถข่มรัศมีนักวิ่งลมกรดของสหรัฐฯ
ไปได้อีกหลายปี เรียกว่าเป็นช่วงเวลาที่วงการกรีฑาสหรัฐฯต้องก้มหน้ายอมรับชะตากรรมอย่าง
ช่วยไม่ได้จริงๆ
ไทเกอร์ วูดส์นักกอล์ฟที่ได้รับยกย่องว่า เก่งกาจด้วยฝีมือและพรสวรรค์มากที่สุด ในประวัติศาสตร์ของเกมกีฬาประเภทนี้ |
วงสวิงของไทเกอร์ วูดส์ที่บดบังรัศมีนักกอล์ฟคนอื่นๆกว่าทศวรรษ
ลี เวสวูดโปร์กอล์ฟชาวอังกฤษมือสองของโลกคนปัจจุบัน |
สัญญาณแห่งฝันร้ายของคนอเมริกันกำลังเกิดขึ้นกับวงการกอล์ฟ(?) เพราะสัญญาณ "ขาลง" ของไทเกอร์ วูดส์
ดูเหมือนจะค่อยๆชัดเจนยิ่งขึ้น ไทเกอร์ วูดส์ได้ชื่อว่าเป็นนักกอล์ฟที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของกีฬาประเภทนี้
ครองความยิ่งใหญ่เกรียงไกรมามากกว่า 10 ปี เป็นทศวรรษที่วงสวิงของวูดส์ครองโลกกรีน
แต่ความล้มเหลวในชีวิตครอบครัวกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ วูดส์ไม่เหมือนวูดส์คนเดิม
และอาจจะไม่ใช่ไทเกอร์ วูดส์ที่ไร้เทียมทานบนกรีนหญ้าอีกต่อไปก็เป็นได้(?)
บาง ที
หากหมดยุคของไทเกอร์ วูดส์จริงๆ แล้ว โอกาสสำหรับโปรกอล์ฟจากฟากยุโรปมากขึ้น และตำแหน่งมือหนึ่งของโลกก็คงตกอยู่ในมือของนักกอล์ฟอีกฝั่งหนึ่งของ
แอตแลนติกมากขึ้นด้วย เหมือนเช่นที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้
นับเป็นสิ่งที่น่าสนใจน่าติดตามว่า
สุดท้ายแล้ว วงการกอล์ฟของสหรัฐฯจะประสบชะตากรรมเช่นเดียวกับเทนนิส
มวยยักษ์และเจ้าลมกรดหรือไม่
.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น