28 มิถุนายน 2554

"ทักษิณ 4.6"

.


พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 23 ของประเทศถูกกล่าวหาอย่างรุนแรงว่า เป็นศูนย์กลางและต้นตอแห่งปัญหาความขัดแย้งและความแตกแยกในสังคมไทยและปัญหาความขัดแย้งกับกัมพูชาที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ 

ที่น่าสนใจก็คือ ทั้งสองปัญหาที่เรียกว่าหนักหนารุนแรงที่สุดสำหรับประเทศไทยในขณะนี้ก็ว่าได้นั้น เป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องหรือเชื่อมโยงกับหมายเลข "4.6" อย่างบังเอิญ (หรือจงใจ?) อย่างไม่น่าเชื่อ

ปัญหาแรกคือปัญหาที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ซับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตรบริเวณปราสาทพระวิหาร ซึ่งทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายกัมพูชาต่างก็อ้างสิทธิความชอบธรรมเหนือพื้นที่บริเวณนี้

มีการกล่าวหาว่า  ปัญหาพื้นที่ซับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตรเป็นผลพวงมาจากการที่รัฐบาลไทยโดยนายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีต่างประเทศในขณะนั้น ลงนามในแถลงการณ์ไทย-กัมพูชาเมื่อกลางปี 2551 สนับสนุนให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่เพียงฝ่ายเดียว และยอมรับแผนที่ 1:200,000 หรือแผนที่ฝรั่งเสสโดยนิตินัย

มีการกล่าวหาว่า การลงนามและท่าทีที่สนับสนุนดังกล่าว คือ "การยกอธิปไตยใส่พาน" ให้กัมพูชา และทำให้ประเทศไทยสุ่มเสี่ยงกับการสูญเสียดินแดงบริเวณนี้ในท้ายที่สุดได้ 

ความขัดแย้งเกี่ยวกับพื้นที่ซับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตรดังกล่าว ร้อนแรงจนถึงขั้นนำไปสู่การเผชิญหน้าและการปะทะกันทางทหารระหว่างสองประเทศหลายต่อหลายครั้งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา และล่าสุด กลายเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะประกาศถอนตัวจากการเป็นภาคีอนุสัญญามรดกโลกและคณะกรรมการมรดกโลก หรืออีกนัยหนึ่งคือการประกาศถอนตัวจากการเป็นสมาชิกขององค์การยูเนสโกนั่นเอง

ประเด็นเรื่องพื้นที่ซับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตรสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองไทยอย่างชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้อกล่าวหาว่า คุณทักษิณคือผู้อยู่เบื้องหลังแห่งปัญหาความยุ่งยากทั้งปวง และมีท่าทีสนับสนุนผลประโยชน์ของกัมพูชามากกว่าผลประโยชน์ของแผ่นดินแม่



 หนาม "4.6 ตารางกิโลเมตร"  ที่กลายเป็นอาวุธ
ทางการเมืองหลอกหลอนคุณทักษิณ


กล่าวหาว่า รัฐบาลสมัคร สุนทรเวชว่าเป็นรัฐบาลนอมินีหรือรัฐบาลตัวแทนของคุณทักษิณ จึงดำเนินการใดๆเพื่อประโยชน์ของคุณทักษิณเป็นสำคัญ   การลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาโดยคุณนพดล(ซึ่งเป็นคนสนิทของคุณทักษิณ) มีเงื่อนงำมีผลประโยชย์แอบแฝง โดยเฉพาะสัมปทานน้ำมันและก๊าซที่รัฐบาลฮุนเซนของกัมพูชาให้เป็นการแลกเปลี่ยนกับท่าทีที่สนับสนุนกัมพูชาในการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก

ความพยายามที่จะสื่อให้สาธารณชนไทยเห็นว่า จุดยืนของคุณทักษิณก็คือ "ไทยรุกรานประเทศเพื่อนบ้าน" และ "พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรเป็นของกัมพูชามาตั้งนานแล้ว" เพื่อสะท้อนให้เห็นว่า คุณทักษิณมีพฤติกรรมที่ไม่รักชาติรักบ้านเกิดเมืองไทย และถือหางเข้าข้างศัตรูของประเทศ

วาทกรรม 4.6 ตารางกิโลเมตร" จึงเป็นเหมือนหอกที่คอยทิ่มแทงคุณทักษิณ ตราบเท่าที่ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชาจะยังคงสถานะเดิมเช่นนี้ต่อไป

ในขณะเดียวกัน ประเด็นข้อถกเถียงที่ร้อนแรงที่สุดอีกประเด็นหนึ่งในการเมืองไทยช่วงก่อนการเลือกตั้งวันที่ 3 กรกฏาคมนี้ก็คือ การนิรโทษกรรมและการคืนเงิน 4.6 หมื่นล้านบาท 

มีการกล่าวหาว่า นโยบาย เป้าหมายและความจำเป็นอันดับแรกๆสุดของพรรคเพื่อไทยหากชนะการเลือกตั้งและได้จัดตั้งรัฐบาลก็คือการนิรโทษกรรมให้แก่คุณทักษิณซึ่งถูกศาลฏีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาจำคุก 2 ปีโดยไม่รอลงอาญาในคดีที่ดินรัชดาฯ



"ค้อน" อันทรงอนุภาพ

หนาม "4.6 หมืนล้านบาท" ที่ทิ่มแทงคุณทักษิณ


ภายใต้การนิรโทษกรรมดังกล่าวนั้น  ว่ากันว่า ความหวังความปรารถนาสูงสุดของคุณทักษิณก็คือ ต้องการเงิน 4.6 หมื่นล้านบาทคืน โดยอ้างเหตผลว่า เป็นทรัพย์สินส่วนตัวที่ถูกรัฐปล้นหรือขโมยไป ทั้งนี้ ทรัพย์สินดังกล่าวถูกศาลแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2553 ให้ยึดและตกเป็นของแผ่นดิน ในข้อหาใช้อำนาจหน้าที่ระหว่างดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเอื้อประโยชน์ให้แก่กลุ่มบริษัทของตัวเอง

นับเป็นความบังเอิญอย่างยิ่งที่ตัวเลข "4.6" เข้ามาเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับชีวิตของคุณทักษิณและการเมืองไทยอย่างเด่นชัด จนอาจจะตีความมองได้ว่าเป็นเจตนา(?)

ภายใต้ทฤษฏีสมคบคิด (ที่ฝ่ายคุณทักษิณเชื่อว่า "เจตนา" มีน้ำหนักมากกว่า "ความบังเอิญ"?) นั้น ประเด็น "4.6 หมื่นล้านบาท" ซึ่งเกิดขึ้น 19 เดือนภายหลังประเด็น 4.6 ตารางกิโลเมตร" อาจจะตีความได้ว่า "4.6 หมื่นล้านบาท" คือค่าความเสียหายที่เกิดจากหรือการชดเชยสำหรับความสูญเสีย 4.6 ตารางกิโลเมตร" ที่ต้องมีคนรับผิดชอบในอัตรา หนึ่งหมื่นล้านบาทสำหรับพื้นที่หนึ่งตารางกิโลเมตร

ณ วันนี้   วาทกรรม "4.6 หมื่นล้านบาท" กลายเป็นประเด็นที่ร้อนแรงและอ่อนไหวที่สุดของการต่อสู้และหาเสียงทางการเมืองควบคู่กับวาทกรรม 4.6 ตารางกิโลเมตร" ที่มีการเชื่อมโยงกับคุณทักษิณอย่างชัดเจนที่สุด

กลายเป็นอาวุธทางการเมืองที่ทิ่มแทงและหลอกหลอนคุณทักษิณอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มีการต่อยอดเพื่อหวังผลทางการเมืองอย่างสูงสุด และกำหนดเป็นทางเลือกเป็นขาวเป็นดำที่ชัดเจนที่สุดให้กับผู้มีสิทธิเลือกตั้ง

นั่นคือ สร้างวาทกรรมเพื่อหวังผลว่า ในท้ายที่สุดแล้ว ประชาชนจะเลือกพรรคการเมืองที่ยกดินแดน 4.6 ตารางกิโลเมตรให้กัมพูชา(?)  หรือ  พรรคการเมืองที่ปกป้องอธิปไตยดินแดนส่วนนี้(?)

และคนไทยจะเลือกพรรคการเมืองที่มีนโยบายคืนเงิน 4.6 หมื่นล้านบาทให้แก่คุณทักษิณ(?) หรือ  พรรคการเมืองที่ไม่มีนโยบายล้างความผิดเพื่อคืนเงินส่วนนี้ให้แก่อดีตนายกรัฐมนตรีคนนี้(?)

เรียกได้ว่า เป็นสองประเด็นที่สำคัญที่สุดที่ไม่เพียงแต่ตัดสินอนาคตการเมืองไทยหลังวันที่ 3 ก.ค.เท่านั้น แต่จะเป็นปัจจัยชี้ขาดชีวิตและอนาคตของคุณทักษิณด้วย




..

11 มิถุนายน 2554

เกมสมานฉันท์ของคนไกลบ้าน เกมกลับบ้านของคนไกลถิ่น

.


ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่า (อา)การก้มกราบแม่พระธรณีที่สนามบินสุวรรณภูมิทันทีที่เดินทางกลับมาสู่ประเทศไทยเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551 นั้นมีความหมายลึกซึ้งมากน้อยประการใดต่อพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 23ของไทยหลังจากต้องระเหเร่ร่อนลี้ภัยอยู่ในต่างประเทศนานร่วมสิบเจ็ดเดือน อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการปฏิวัติรัฐประหาร เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549  และนับตั้งแต่การสิ้นสุดของเกมลี้ภัยภายหลังการถูกทางการอังกฤษเพิกถอนวีซ่าเข้าประเทศเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ความต้องการที่จะกลับคืนมาตุภูมิก็ยิ่งทวีคูณมากยิ่งขึ้น



วินาทีที่กลับคืนสู่ประเทศไทยในปี 2551



ในด้านหนึ่ง คุณทักษิณยืนกรานในระหว่างปฏิบัติการ แดงทั้งแผ่นดิน เมื่อเดือนช่วงวันสงกรานต์ที่ผ่านมาว่า ผมไม่แคร์ผมจะได้กลับบ้านหรือไม่ เรื่องเล็ก (มติชน, 12 เม.ย. 52) และดูเหมือนจะยึดถือสัจธรรมเป็นที่ตั้งว่า ผมมีกรรมก็ต้องระหกระเหินไป กรรมผมหมด ผมก็ได้กลับไปเท่านั้นเอง กรรมผมไม่หมด ผมก็ไม่ได้กลับ ไม่ได้คิดมาก (มติชน, 8 เม.ย. 52)

ในอีกด้านหนึ่ง ดูเหมือนจะมีเหตุผลให้เชื่อในทางตรงกันข้ามมากกว่าว่า คุณทักษิณมีความปรารถนาอยากจะกลับมาประเทศไทยอย่างแรงกล้า โดยยอมรับว่าอยู่ต่างประเทศนั้นไม่มีความสุขเลย เหงา ไม่มีเพื่อน ไม่มีสังคม ไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตต้องมาเร่ร่อนอยู่ต่างประเทศ พร้อมทั้งเรียกร้องให้พี่น้องเสื้อแดง  ยังต่อสู้กันอยู่อย่าทิ้งผมไว้คนเดียว ผมอยากกลับบ้านแล้วนะอย่าทิ้งผมไว้คนเดียว(มติชน, 28 มิ.ย.52)

ซึ่งก่อนหน้านี้  นายใหญ่ ได้เคยตอกย้ำอย่างชัดเจนว่า ไม่มีทางที่จะจบชีวิตอย่างอดสูอัปยศในต่างประเทศเหมือนผู้นำไทยคนอื่นๆ แต่อุปสรรคที่ยังไม่สามารถกลับเมืองไทยได้ก็เนื่อง มาจากเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 และความปลอดภัยเพราะกลัวว่าจะถูกจับเข้าคุกหรือไม่ก็ถูกฆ่า (มติชน,18 มิ.ย. 52)  เพราะฉะนั้นแล้ว กล่าวได้ว่า เป้าหมายสำคัญสำหรับการเคลื่อนไหวทางการเมืองต่างๆ นับตั้งแต่ปลายปี 2550 จนถึงปฏิบัติการ แดงทั้งแผ่นดิน และการโฟนอินหาเสียงเลือกตั้งซ่อมล่าสุดที่สกลนครและศรีษะเกศ  เป็นไปเพื่อจะกลับคืนสู่ประเทศไทย  ด้วยเหตุผลและวิธีการต่างๆ ดังนี้

เหตุผลและวิธีการแรก เพื่อกลับไปต่อสู้ปกป้องศักดิ์ศรีและพิสูจน์ความบริสุทธิของตนเองและครอบครัวและต้องการเห็นกระบวนการทุกอย่างกลับคืนสู่ภาวะปกติ นอกจากนี้ ผมอยากกลับมา เมื่อชีวิตของผมพบกับความสงบสุขในประเทศไทย ในฐานะพลเมืองคนหนึ่ง (ผู้จัดการรายวัน, 26 .. 50)   ความตั้งใจและปรารถนาที่กลับเมืองไทยในวันวาเลนไทน์ที่ 14 กุมภาพันธ์ปีที่แล้วเหมือนกับต้องการจะสะท้อนให้เห็นถึงเจตนาว่า จะกลับมาเมืองไทยด้วยความรัก เมื่อกลับมาแล้ว ก็อยากจะใช้ชิวิตอย่างคนธรรมดาสามัญคนหนึ่ง ได้กินน้ำพริกปลาทู ในขณะเดียวกัน ก็อยากเป็นอาจารย์สอนหนังสือและบำเพ็ญประโยชน์ให้กับสังคมด้วย 

สำหรับคุณทักษิณแล้ว การได้ กลับบ้าน มีความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมดถึงแม้ว่าจะไม่สามารถเดินทางกลับในวันวาเลนไทน์ได้ก็ตาม และการผลักดันผ่านกลไก นอมนี คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้การกลับประเทศไทยของคุณทักษิณเป็นเป็นไปได้     เนื่องจากในช่วงเวลานั้น อำนาจรัฐต่างๆ อยู่ภายใต้การควบคุม
ของรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวชโดยมีพรรคพลังประชาชนเป็นแกนหลัก ซึ่งรณรงค์หาเสียงในระหว่างการเลือกตั้งว่าจะนำ นายใหญ่ กลับประเทศไทยให้ได้การเปิดทางให้อดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทยเดินทางกลับประเทศในเวลานั้น ถือเป็นความจำเป็นอันดับต้นๆ ของรัฐบาลในขณะนั้น

ในการแถลงเปิดใจครั้งหนึ่ง คุณเนวิน ชิดชอบ ได้สะท้อนให้เห็นถึงข้อเท็จจริงในส่วนหนึ่งว่า ตลอดเวลาที่ท่านสมัครเป็นนายกฯ ทำทุกอย่างเพื่อปกป้องท่านนายกฯทักษิณ ทำจนกระทั่งนายกฯทักษิณได้กลับมาประเทศไทย ตามที่ทุกคนประกาศสัญญาประชาคมไว้กับพี่น้องประชาชนก่อนการเลือกตั้ง ทำจนท่านนายกฯทักษิณได้มากราบแม่พระธรณีที่สนามบินสุวรรณภูมิ(มติชน, 8 เม.ย. 52) 

เหตุผลและวิธีการที่สอง ภายใต้เงื่อนไขสภาวะการณ์ที่ประเทศกำลังประสบปัญหาวิกฤติการณ์เศรษฐกิจตกต่ำที่สุดในรอบสิบปีและปัญหาต่างประเทศขาดความเชื่อมั่นในประเทศไทย มีการสร้างกระแสให้เกิดการเรียกร้องให้ นายใหญ่ กลับประเทศ เพราะเชื่อว่ามีเพียงอดีตหัวหน้าพรรคไทยเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะสามารถฟื้นฟูประเทศชาติและนำความเชื่อมั่นกลับคืนสู่ประเทศไทยได้ (เดลินิวส์, 27 พ.ย. 51)ซึ่งคุณทักษิณ เชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมว่า ถ้าหากได้เป็นผู้นำจะสามารถนำความเชื่อมั่นกลับมายังประเทศไทยได้อย่างรวดเร็ว พร้อมที่ทำหน้าที่ควบคุม หางเสือ นำพาประเทศให้รอดพ้นวิกฤติเศรษฐกิจตกต่ำที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2540 และได้เรียกร้องผ่านทางนิตยสาร CEO Middle East ว่า เราต้องหาหนทางที่จะให้ผมกลับประเทศให้ได้”  และหนทางที่บรรดา เรา คนเสื้อแดงเลือกใช้ดำเนินการก็คือวิธีการ  ราชประชาสมาสัย”  นั่นเอง

ภายใต้กลไกวิธีการราชประชาสมาสัยนี้ มีเงื่อนไขสองประการที่จะทำให้ความปรารถ นาของคุณทักษิณเป็นจริง นั่นคือ พระบารมีและพลังประชาชน คุณทักษิณเชื่อมั่นว่า ไม่มีใครที่จะเอาผมกลับประเทศไทยได้หรอกครับ นอกจากพระบารมีที่จะทรงมีพระเมตตา หรือไม่ก็ด้วยพลังของพี่น้องประชาชนเท่านั้น (มติชน, 4 .. 51) ต่อมา คุณทักษิณก็ยืนยันผ่านทางนิตยสาร Arabian Business Dubai อีกครั้งว่า ผมคิดว่าหลายๆ อย่างขึ้นอยู่กับอำนาจของประชาชน หากพวกเขารู้สึกว่าพวกเขาอยู่อย่างลำบากและต้องการให้ผมช่วยผมก็จะกลับไป หากในหลวงทรงเห็นว่าผมยังสามารถทำคุณประโยชน์ได้ ผมจะกลับไป และพระองค์อาจจะพระราชทานอภัยโทษให้แก่ผม แต่ถ้าพวกเขาไม่ต้องการผม และพระองค์ทรงเห็นว่าผมกลับไปก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ผมก็อยู่ที่นี่(ดูไบ)ทำธุรกิจไป(มติชน, 25 .. 51)   

เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าจะมีการขานรับ(อย่างคึกคัก)จากบรรดา เรา เลือดเนื้อเชื้อไขไทยรักไทยที่จะช่วยกันเขียนไปรษณียบัตรให้ได้มากถึง 10 ล้านฉบับเพื่อยื่นถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้แก่คุณทักษิณ แต่ก็ไม่ประสบความ สำเร็จ ซึ่งนอกจากคุณทักษิณยังไม่สามารถเดินทางกลับประเทศไทยได้แล้ว  เหมือนผีซ้ำด้ามพลอย ในช่วงระยะเวลาเดียว กัน คุณทักษิณก็ถูกทางการอังกฤษเพิกถอนวีซ่าไม่สามารถเดินทางกลับประเทศอังกฤษได้อีก
         
วิธีการราชประชาสมาสัยก็ถูกปลุกขึ้นมาใช้อีกครั้งหนึ่งในความพยายามครั้งล่าสุด โดยคุณทักษิณก็ได้ตอกย้ำในระหว่างการโฟนอินหาเสียงเลือกตั้งซ่อมที่สกลนครและศรีษะเกษที่ผ่านมาว่า อยากกลับเมืองไทยเพื่อมาแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาของประชาชน ปัญหายาเสพติด ปัญหาหนี้สินตลอดจนปัญหากับประเทศเพื่อนบ้าน ผมพร้อมที่จะกลับไปทำงานรับใช้ประเทศชาติ เพราะยังมีประโยชน์อยู่ อายุ 60
ยังทำอะไรได้อีกเยอะ อย่ามา  ปล่อยให้แห้งตายกลางทะเลทรายแบบนี้(มติชน, 28 มิ.ย. 52)   พร้อมทั้งเรียกร้องขอให้พี่น้องชาวศรีสะเกษและสกลนครส่งสัญญาณแรงๆ ไปที่กทม.และทั่วโลกด้วยว่าจะเอาทักษิณกลับบ้าน จนกระทั่งมีเสียงตอบรับจากบรรดากลุ่มคนเสื้อแดงที่จะรวบรวมรายชื่อให้ครบหนึ่งล้านชื่อเพื่อยื่นถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้คุณทักษิณ เพื่อ เปิดทาง ให้สามารถกลับบ้านมาเป็นพสกนิกรคนหนึ่ง มาเป็นข้าทูลละอองธุลีพระบาท เพื่อร่วมแก้ปัญหาเศรษฐกิจโดยไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่งแห่งที่ (มติชน, 1 ก.ค. 52)



พ.ต.ท. ทักษิณกับ "คนเสื้อแดง"

         
เหตุผลและวิธีการที่สาม  เพื่อสร้างความเป็นธรรมและประชาธิปไตยที่แท้จริง คือเหตุผลที่คุณทักษิณอ้างถึงและคาดหวังให้ปฏิบัติการ แดงทั้งแผ่นดิน เมื่อช่วงวันสงกรานต์ที่ผ่านมานี้ เป็นวิธีการที่จะเปิดทางให้อดีตนายก   รัฐมนตรีท่านนี้กลับคืนสู่มาตุภูมิเพื่อภาระกิจดังกล่าว

ในช่วงระหว่างปฏิบัติการ แดงทั้งแผ่นดิน ดังกล่าวมีการพูดถึงเรื่องการ กลับบ้านของคุณทักษิณอย่างบ่อยครั้ง   โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การปลุกเร้าในกลุ่มผู้สนับสนุนเห็นว่า ถ้าจำเป็นเมื่อไหร่ผมจะกลับเข้าไปในประเทศทันที และเดินนำพี่น้องทุกคน (มติชน, 13 เม.ย. 52)   และความจำเป็นดังกล่าวหมายถึงวันที่มี เสียงปืนนัดแรก หรือวันที่เสียงปืนแตก นั่นคือ หากทหาร(เริ่ม)ทำร้ายประชาชน คุณทักษิณก็พร้อมจะกลับประเทศทัน       ทีเพื่อนำทัพประชาชนเข้ากรุงเทพฯ จัดการถอนรากถอนโคนระบอบอำมาตยาธิปไตยและผลักดันให้เกิดประชาธิปไตยเต็มใบ

มีเหตุให้เชื่อได้ว่า คุณทักษิณวาดหวังจะได้กลับแผ่นดินไทยในฐานะผู้ชนะจากปฏิบัติการ แดงทั้งแผ่นดินวาดหวังว่ากลุ่ม พี่น้องเสื้อแดง และเลือดเนื้อเชื้อไขไทยรักไทยจะแห่มาอย่างมืดฟ้ามัวดินเพื่อร่วมกันปูทางและต้อน รับ นายใหญ่ กลับบ้านอย่างสมเกียรติ แต่ความฝันของคุณทักษิณก็ต้องพังทลายลง ภายหลังการประกาศยุติปฏิบัติการทางการเมืองดังกล่าว เหตุผลหลักไม่ใช่เพราะเกรงกลัวว่าจะถูกปราบปรามอย่างเอาจริงเอาจังจากรัฐบาลและกองทัพ หรือเพราะคำนึงถึงความปลอดภัยในชีวิตของ คนเสื้อแดง ที่มาร่วมชุมนุมเป็นหลัก หรือ    เป็นเพราะการทัดท้วงห้ามปรามอย่างแข็งขันจากคุณเยาวภา วงศ์สวัสดิ์

แต่เหตุผลที่มีน้ำหนักความเป็นไปได้มากที่สุดที่เชื่อว่ากดดันทำให้คุณทักษิณต้องตัดสินใจยุติการเคลื่อนไหวใน ทันที (ซึ่งแน่นอนที่สุด แกนนำนปช. จะไม่ประกาศยุติการชุมนุมโดยพลการหากไม่ได้รับ ไฟเขียว จาก นายใหญ่ ก่อน) ก็คือ การแถลงของโฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯในวันที่ 13 เมษายน (ซึ่งเป็นวันเดียวกับ     ที่นางฮิลลารี่ คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ส่งสารแสดงความยินดีเนื่องในโอกาสวันปีใหม่ไทยตอกย้ำความสัมพันธ์ที่พิเศษครบ รอบ 175 ปีระหว่างไทยกับสหรัฐฯ)  ประณาม (Condemn) ไม่ยอมรับปฏิบัติการ แดงทั้งแผ่น ดินที่ใช้ความรุนแรง เป็นการทำลายความฝันของคุณทักษิณอย่างสิ้นเชิง

ในความพยายามอีกครั้งหนึ่งของการชุมนุมของคนเสื้อแดงครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 27 มิถุนายนที่ผ่านมา คุณทักษิณตอกย้ำว่า ถึงเวลาทวงคืนประชาธิปไตยที่ให้ความสุขกับประชาชน (เอเอสทีวีผู้จัดการ, 24 มิ.. 52)มีการกล่าวปลุกระดมให้พี่น้องเสื้อแดงเดินทางไปร่วมชุมนุมเพื่อขับไล่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ในวันดังกล่าวนี้ที่สนามหลวง ซึ่งเป็นโอกาสครบรอบ 77 ปีของการเปลี่ยนแปลงระบอบการเมืองการปกครองไทย ด้วยเป้าหมายหลัก อยากให้พี่น้องเสื้อแดงพากลับบ้าน (มติชน 25 มิ.ย. 52)  ทั้งนี้ทั้งนั้น ดูเหมือนว่า ความพ่ายแพ้ทางการเมืองของปฏิบัติการ แดงสงกรานต์ ยังหลอกหลอนคุณทักษิณอยู่ไม่น้อย จึงได้กระตุ้นเรียกร้องให้กลุ่มผู้สนับสนุน ให้ช่วยต่อสู้กันเต็มที่ อย่าถอนตัวกลางคัน ผมอยากกลับบ้านอย่าเพิ่งถอย(มติชน, 28 มิ.ย. 52) 

เหตุผลและวิธีการที่สี่  ในสถานการณ์ ณ วันนี้ คำถามที่สำคัญที่สุดสำหรับ เกมกลับบ้าน ของคุณทักษิณ ไม่ใช่เรื่องของเงื่อนไขเวลา เมื่อไหร่ ที่เหมาะสม แต่เป็นเรื่องของเงื่อนไข อย่างไร มากกว่า นั่นคือจะกลับประเทศไทยด้วยเงื่อนไขวิธีการใดจึงจะดีที่สุด

พิจารณาพิเคราะห์แล้ว ไม่มีเหตุผลและวิธีการใดที่จะได้รับการต้อนรับจากทุกๆฝ่ายในสังคมไทยหากเป็นไปเพื่อการสมานฉันท์ และดูเหมือนว่า การสมานฉันท์ไม่ได้เป็นศัพท์แสงต่างด้าวสำหรับคุณทักษิณแต่อย่าใด              

ในทางตรงกันข้ามไม่ว่าจะมีเจตนาปรารถนาความสมานฉันท์ปรองดองจริงๆหรือไม่ก็ตาม แต่คุณทักษิณพยายามส่งสัญญาณเรื่องนี้มาโดยตลอดนับตั้งแต่การเรียกร้องเมื่อปลายปี 2550 ให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องลืมอดีตที่ผ่านมาหันหน้ามาปรองดองสมาน
ฉันท์   ในขณะเดียวกัน ก็พร้อมที่จะคุยกับทุกคนให้อภัยกับทุกฝ่ายไม่มีอาฆาตแค้นและ พร้อมจะกลับไปเป็นไทยคนหนึ่งที่ได้อยู่ใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารอย่างมีความสุข (โพสต์ทูเดย์, 24 ธ.ค. 50) และล่าสุดคุณทักษิณก็ตอกย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า ผมอยากเห็นความปรองดอง เราคนไทยด้วยกัน มีเรื่องกันมานานแล้ว อยากหันหน้าเข้าหากัน ไม่ควรแตกแยก (มติชน 28 มิ.ย. 52)   

ประการสำคัญ หนึ่งเดือนก่อนหน้าที่จะเกิดปฏิบัติการ แดงทั้งแผ่นดิน”  คุณทักษิณเคยส่งสัญญาณเปิดเผยให้ความหวังต่อสาธารณชนตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคมว่า อยากเห็นคนไทยยุติความขัดแย้ง หันมาปรองดองสมานฉันท์ โดยคาดหมายว่าจะสามารถเดินทางกลับประเทศได้ภายในสิ้นปีนี้ เนื่องจากเชื่อมั่นว่าจะสามารถประนีประนอมกันได้   เพราะกระบวนการสมานฉันท์ระหว่างกลุ่มที่ให้การสนับสนุนตนกับกลุ่มรัฐบาลปัจจุบันกำลังจะเกิดขึ้นและต้องเกิดขึ้นก่อนสิ้นปี (โลกวันนี้, 18 มี.. 52) แต่เป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่คุณทักษิณดำเนินการผิดพลาด ไม่สามารถรอคอยด้วยความอดทนเพื่อให้ถึงเวลาอันเหมาะสมในการเดินทางกลับประเทศไทยตามที่ได้ตั้งใจไว้

สังคมไทยกำลังวาดหวังว่า เนื่องในโอกาสอายุครบ 60 ปีในวันที่ 26 กรกฏาคมปีนี้ คุณทักษิณ จะมี ข่าวดีหรือ ของขวัญ มอบให้แก่สังคมไทย เพื่อเปิดทางให้การเดินทางกลับประเทศไทยเป็นการเริ่มต้นของการปรองดองสมานฉันท์อย่างจริงๆ จังๆ  ผลักดันให้ พี่น้องเสื้อแดง ร่วมกันสร้างบรรยากาศ แดงสดใสทั้งแผ่นดิน
(Rose Reconciliation) ให้เกิดขึ้นในสังคมไทย  แทนที่จะเป็นวันกำหนดยื่นรายชื่อหนึ่งล้านรายชื่อถวายฏีกาเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษ

โดยข้อเท็จจริงประการหนึ่งก็คือ คุณทักษิณมีบุคลิกลักษณะที่คล้ายกับนายพลชาลล์ เดอ โกลล์ อดีตประธานาธิบดีฝรั่งเศสผู้ยิ่งใหญ่ในหลายๆ ด้าน และมีบทเรียนหลายๆประการที่สามารถเรียนรู้ได้จากอดีตผู้นำฝรั่งเศสคนนี้ เพราะถึงที่สุดแล้ว มีแต่การสมานฉันท์เท่านั้นที่น่าจะทำให้ กรรมเก่า ของคุณทักษิณหมดลง

อยากเห็นใครสักคนหนึ่งกระซิบบอก นายใหญ่ ว่า เริ่มต้นใหม่ได้ครับนาย

(ตีพิมพ์ในมติชนรายวัน วันที่ 14 ก.ค. 2552)





"มองเขาเป็นตัวอย่าง มองเราเป็นบทเรียน : มหัศจรรย์แห่งการสมานฉันท์"
http://preechayana.blogspot.com/2011/01/blog-post_18.html


.

4 มิถุนายน 2554

อเมริกันขาลง

.


สหรัฐฯเป็นชาติหนึ่งที่ผู้คนคลั่งไคล้กีฬาประเภทต่างๆ เป็นอย่างมาก เรียกว่า คนอเมริกันส่วนใหญ่หายใจเข้าออกเป็นกีฬาก็ว่าได้

ใน ช่วงยุคสงครามเย็น สหรัฐฯใช้เกมกีฬาเป็นสํญญลักษณ์หนึ่งในการต่อสู้กับฝ่ายคอมมิวนิสต์ โดยเฉพาะในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิคฤดูร้อน  สหรัฐฯให้ความสำคัญและพยายามเกือบทุกวิถีทางเพื่อครองตำแหน่งเจ้าเหรียญทอง ให้ได้

เมื่อสงครามเย็นสิ้นสุดลง ศักยภาพทางกีฬาของกลุ่มประเทศ(อดีต)คอมมิวนิสต์หลายๆประเทศลดลง สหรัฐฯจึงกลายเป็นมหาอำนาจเจ้าเหรียญทองโอลิมปิคอย่างค่อนข้างจะสะดวกสบาย กว่าเดิม

แต่ในทางกลับกัน กีฬาหลายๆประเภทที่คนอเมริกันคลั่งใคล้ ชื่นชอบและถือเป็นสัญญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ของชาติ กำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ตกต่ำอย่างน่าวิตก

สหรัฐฯเป็นชาติ เกิดใหม่ที่มีประวัติศาสตร์เพียงสองร้อยกว่าปี บรรพบุรุษของคนอเมริกันสร้างชาตินี้ขึ้นมาจากศูนย์ และด้วยสองมือที่ค่อยๆ ก่อร่างสร้างชาติจนทำให้สหรัฐฯเป็นมหาอำนาจที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดใน ปัจจุบันนี้

อาจจะเพราะเป็นชาติที่สร้างด้วยสองมือเปล่า นี้เอง ที่ทำให้ "มือ" ของคนอเมริกันมีลักษณะพิเศษ เป็นยีนที่ถ่ายทอดสู่คนรุ่นแล้วรุ่นเล่า และทำให้คนอเมริกันถนัดหรือเก่งกาจในกีฬาทีต้องใช้มือมากเป็นพิเศษ

หากจะไล่เรียงกีฬาที่คนอเมริกันชื่มชอบและคลั่งไคล้มากที่สุด ส่วนใหญ่แล้วเป็นเกมกีฬาที่ต้องใช้มือเป็นหลัก โดยเฉพาะเกมกีฬาที่สหรัฐฯ เป็นผู้คิดค้น เช่น อเมริกันฟุตบอล บาสเก็ตบอล เบสบอลและฮ็อคกี้น้ำแข็ง รวมไปถึงกีฬาประเภทอื่นๆที่ได้รับความนิยมมากๆ คือเทนนิส กอล์ฟและมวย

คน อเมริกันถือว่าการเป็นสุดยอดในเวทีโลกกีฬาคือสัญญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ของ สหรัฐฯ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเป็นหมายเลขหนึ่งหรือเป็นแชมป์โลกในกีฬาเทนนิส กอล์ฟ มวยรุ่นยักษ์ รวมทั้งเจ้าลมกรด 100 เมตร ซึ่งนักกีฬาของสหรัฐฯเป็นเต้ยมาเนิ่นนาน

แต่ในวันนี้ ไม่มีนักกีฬาอเมริกันคนใดที่อยู่ในจุดสูงสุดของกีฬาทั้งสี่ประเภทนี้ เป็นเรื่องน่าอับอายหรือว่าเป็นเรื่องปกติของวัฏจักรแห่งโลกความจริงที่มี ขึ้นมีลง(?)

เทนนิสถือเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ประเภทหนึ่งในสหรัฐฯ มีคนอเมริกันกว่า 20 ล้านคนที่เล่นเทนนิสและอีกหลายสิบล้านคนที่ติดตามเทนนิสรายการต่างๆ  ช่วงเวลา 25 ปีนับตั้งแต่ปี 1974 ถือเป็นยุคทองของวงการเทนนิสสหรัฐฯก็ว่าได้ เพราะเป็นยุคที่นักเทนนิสชายของสหรัฐฯโดดเด่นเหลือหลาย เหนือนักเทนนิสชาติอื่นๆ  ซุปเปอร์สตาร์มือหนึ่งระดับโลกอย่างจิมมี คอนเนอร์,  จอห์น แมคเอนโรจิม คูเรียส์, พิส แซมพราส, อังเดร อากัสซี่ รวมกระทั่งไมเคิล ชางและแอนดี้ ร็อคดิก ช่วยกันกวาดช่วยกันคว้าแชมป์รายการแกรนด์สแลมรวมกันแล้วกว่า 44 รายการ


จิมมี่ คอนเนอร์สเก่งกาจครบเครื่องอย่างหาใครเสมอ
เหมือนไม่ได้ ทั้งประเภทชายเดี่ยว ชายคู่และคู่ผสม
จอห์น แม็คเอนโร นักเทนนิสจอมโวที่สร้าง
สีสันให้กับโลกเทนนิสอย่างเหลือหลาย 

สุดยอดนักเทนนิสที่เซ๊กซี่ที่สุด - อังเดร อากัสซี่

พีท แซมพราส นักเทนนิสที่เก่งที่สุด
ในประวัติศาสตร์ของวงการเทนนิสสหรัฐฯ

แอนดี้ ร็อคดิกกับตำแหน่งแชมป์ยูเอส โอเพ่น
แชมป์มาสเตอร์แชมป์แรกและแชมป์สุดท้ายของนักเสริฟพลังช้าง 

มาร์ดี ฟิช มือหนึ่งของสหรัฐฯคนปัจจุบันที่แทบจะไม่มีใครรู้จัก


พิท แซมพราสได้รับการยกย่องว่าเป็นนักเทนนิสที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของ เทนนิสสหรัฐฯ เพราะสามารถสร้างสถิติคว้าแชมป์สูงสุดถึง 14 รายการ (ก่อนที่จะถูกโรเจอร์ เฟดเดอเรอร์ทำลายสถิตินี้) เมื่อตอนที่แซมพราสคว้าแชมป์ยูเอสโอเพ่นในปี 2002 ซึ่งถือเป็นรายการแชมป์สุดท้ายแล้ว วงการเทนนิสของสหรัฐฯ ต่างก็มีความหวังว่า ร๊อดดิกคือนักเทนนิสคนต่อไปที่จะสร้างความยิ่งใหญ่ให้แก่วงการเทนนิสชายของ สหรัฐฯ

การคว้าแชมป์ยูเอส โอเพ่นของร็อดดิกในปี 2003 จุดประกายให้คนอเมริกันเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยม แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า นับตั้งแต่นั้นมา ก็ไม่เคยมีนักเทนนิสอเมริกันคนใดคว้าแชมป์ในรายการเมเจอร์แกรนด์สแลมใดๆได้ อีกเลย เป็นช่วงเวลาที่โรเจอร์ เฟดเดอเรอร์, ราฟาเอล นาดาล และโนวัค ยอโควิชยึดครองบัลลังค์โลกเทนนิสชายอย่างเด็ดขาด  เรียกว่าเป็นช่วงเวลา 8 ปีแห่งความน่าผิดหวังเป็นที่สุดสำหรับวงการเทนนิสของสหรัฐฯ 

โรเจอร์ เฟดเดอเรอร์ นักเทนนิสชาวสวิสที่ได้รับการ
ยกย่องว่าเก่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของเกมกีฬาเทนนิส

ราฟาเอล นาดาล มือหนึ่งของโลก
คนปัจจุบันจากสเปน
โนวัค ยอโควิชนักเทนนิสเซอร์เบียที่มี
โอกาสก้าวขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งของโลกคนต่อไป

อันดับเอทีพีล่าสุด พบว่ามีนักเทนนิสอเมริกันเพียงสองคนเท่านั้นที่อยู่ใน 20 อันดับแรก คือมาร์ดี ฟิช (อันดับ 9) และร็อดดิก(อันดับ 10) ทั้งสองคนอยู่ในช่วงขาลงที่ไม่อาจจะสร้างปาฏิหารย์ใดๆได้อีกแล้ว แม้กระทั่งฟิชเองก็ถือเป็นนักเทนนิสหมายเลข 1 ของสหรัฐฯที่โลกเทนนิสรู้จักน้อยที่สุดก็ว่าได้ เมื่อเทียบกับนักเทนนิสรุ่นพี่คนอื่นๆ

เชื่อว่า อีกหลายปีกว่าที่บรรดาดาวรุ่งอเมริกันจะจรัสแสงทวงบัลลังค์ความยิ่งใหญ่นี้กลับคืนมา

สภาพ การณ์ของแชมป์มวยรุ่นเฮฟวิเวทในวันนี้ก็ไม่ต่างจากวงการเทนนิสสักเท่าไหร่  เพราะเป็นอีกสังเวียนหนึ่งที่นักกีฬาของสหรัฐฯ(เคย)ครองความยิ่งใหญ่เกรียง ไกรเหนือชาติอื่นๆ สหรัฐฯผลิตแชมป์เปี้ยนโลกรุ่นเฮฟวิเวทที่ยิ่งใหญ่คนแล้วคนเล่ามากกว่าทุกๆ ชาติ เรียกได้ว่า แชมป์มวยยักษ์เป็นของคู่กับสหรัฐฯอย่างไรอย่างนั้น

วงการมวยโลกรู้จักชื่อของมูฮัมหมัด อาลีร็อคกี มาร์เซียโนโจ หลุยส์จอร์จ ฟอร์แมนโจ ฟาร์ เซียลาร์รี โฮล์ม, ไมค์ ไทสัน และอีวานเดอร์ โฮลิฟิลด์เป็นอย่างดี สุดยอดมวยยักษ์เหล่านี้ได้ร่วมกันผลัดมือสร้างความยิ่งใหญ่ให้กับวงการมวย ยักษ์ของสหรัฐฯอย่างเกรียงไกรไร้เทียมทานติดต่อกันกว่า 50 ปี

มูฮัมหมัด อาลี สุดยอดมวยยักษ์ตลอดกาล

จอร์จ ฟอร์แมนในวัย 40 ที่ยังไม่ห่างหายจากสังเวียน

ลาร์ลี่ โฮล์ม "สิงห์รถบรรทุก"

ไมค์ ไทสันสุดยอดมวยยักษ์ที่ตัวเล็กที่สุด 

อีวานเดอร์ โฮลิฟิลด์นักมวยยักษ์คนแรกที่ถูกกัดหูบนสังเวียน


แต่ในรอบหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมานับตั้งแต่โฮลิฟิลด์เป็นแชมป์โลกแล้ว ก็ไม่มีนักมวยอเมริกันคนไหนที่สามารถสร้างชื่อสร้างเสียงเทียบเท่ารุ่นพี่ๆ ได้เลย  จอห์น หลุยซ์, ฮาซิม ลาห์มาน, คริส เบิร์ด หรือกระทั่งแชนน่อน บริกก์สซึ่งเป็นแชมป์โลกคนล่าสุด(ท้าย) ของสหรัฐฯ ในปี 2008 ก็เป็นแชมป์โลกรุ่นยักษ์ที่ขาดซึ่งบารมี ชื่อเสียงและเสน่ห์ แทบจะไม่เป็นที่รู้จักของวงการมวยโลก

เรียกได้ว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา สหรัฐฯได้สูญเสียตำแหน่งที่น่าภาคภูมิใจนี้ไปอย่างน่าเศร้า ไม่มีนักมวยยักษ์คนไหนที่สามารถสร้างชื่อเสียงให้แก่วงการมวยสหรัฐฯได้เลย และคงเป็นเรื่องยากที่จะหานักมวยยักษ์อเมริกันคนใดที่กล้าหาญชาญชัยโค่นล้ม สุดยอดฝีมือสองศรีพี่น้องยูเครน แชมป์โลกคนล่าสุดอย่างวิตาลี่ คลิทช์โก และวลาดิเมียร์ คลิทช์โกในเวลานี้ได้

โลกมวยยักษ์ภายใต้กำปั้นของสองศรีพี่น้องตระกูล
คลิทช์โกที่เป็นก้างขวางคอของมวยยักษ์อเมริกัน
นักมวยยักษ์อเมริกันคนแล้วคนเล่า
ที่ตกเป็นเหยื่อบนเวทีของวิตาลี่ คลิทช์โก 
วลาดิเมียร์ คลิทช์โกไม่เคยปรานีนักมวยยักษ์อเมริกันคนใด

เมื่อพูดถึงวงการกรีฑาแล้ว คนอเมริกันเคยภาคภูมิใจและมีความหวังมาโดยตลอดว่า สหรัฐฯคือเจ้าลมกรดทั้งในประเภท 100 เมตร และวิ่งผลัด 4x100 เมตรในกีฬาโอลิมปิกนับตั้งแต่ยุคของคาร์ล    ลูอิสที่เริ่มสร้างชื่อตั้งแต่ปี 1984 เป็นต้นมา  ถึงแม้ในบางครั้ง อาจจะพลาดหวังไม่ได้แชมป์ แต่นักวิ่งของสหรัฐฯเกรียงไกรและมีโอกาสลุ้นเหรียญทองและลุ้นตำแหน่งสุดยอด มนุษย์ลมกรดอยู่เสมอ
           


ในช่วงเวลาที่คาร์ล ลูอิสสร้างความภูมิใจให้กับคนอเมริกัน
คาร์ล ลูอิสผู้มากความสามารถเป็นทั้ง
เจ้าลมกรดและเจ้ากระโดดไกล

ไทสัน เกย์เจ้าของสถิติ "9.69" เป็นลมกรด
อเมริกันที่วิ่งเร็วที่สุด 

มอริส กรีน เจ้าลมกรดโลกในยุค 1997-2004

แต่ในวันนี้ คนอเมริกันไม่มีโอกาสได้ลุ้นใดๆได้เลย นับตั้งแต่โลกได้ประจักษ์ในความมหัศจรรย์ของนักวิ่งชาวจาร์ไมก้าที่ชื่อยู เซน โบลท์ผู้สร้างชื่อพิชิตเหรียญทองในการแข่งขันโอลิมปิคปี 2008


ข้าชื่อยุเซน โบลท์ (Usain Bolt) ไม่ใช่ ยูเอสเอ อิน โบลท์ (USA in Bolt)
  
ความห่างชั้นหลายก้าวระหว่างยูเซน โบลท์และลมกรดคนอื่นๆ 

สถิติโลก "9.58" ที่ทำให้ยูเซน โบลท์กลาย
เป็นมนุษย์ที่วิ่งเร็วที่สุดในโลก(ตลอดกาล?)

ความเก่งกาจเหลือคณาของยูเซน โบลท์ที่ยัง
เป็น เจ้าของสถิติโลก 200 เมตรอีกตำแหน่ง

โบลท์สร้างสถิติโลกเป็นนักวิ่งลมกรดที่วิ่งเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ ของมนุษยชาติก็ว่าได้ เป็นเจ้าของสถิติ 9.58 (วินาที)ที่เหลือเชื่อ

เป็น เรื่องยากหรืออาจจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีนักวิ่งคนไหนสามารถทำลายสถิตินี้ ได้ ความมั่นใจที่ถดถอยลงไปอย่างมากของนักวิ่งคนอื่นๆ ทำให้ยูเซน โบลท์กลายเป็นเจ้าลมกรดที่ไร้เทียมทานไปอีกหลายปี

และ ตราบใดที่โบลท์ยังสมบูรณ์และสามารถวิ่งได้แบบนี้แล้ว นักวิ่งสหรัฐฯคนอื่นๆคงต้องถอดใจไม่กล้าท้าชิง ทวงตำแหน่งเจ้าบัลลังค์ลมกรดโลกแน่ๆ และด้วยวัยเพียง 25 ปี โบลท์อาจจะสามารถข่มรัศมีนักวิ่งลมกรดของสหรัฐฯ ไปได้อีกหลายปี เรียกว่าเป็นช่วงเวลาที่วงการกรีฑาสหรัฐฯต้องก้มหน้ายอมรับชะตากรรมอย่าง ช่วยไม่ได้จริงๆ
ไทเกอร์ วูดส์นักกอล์ฟที่ได้รับยกย่องว่า
เก่งกาจด้วยฝีมือและพรสวรรค์มากที่สุด
ในประวัติศาสตร์ของเกมกีฬาประเภทนี้

วงสวิงของไทเกอร์ วูดส์ที่บดบังรัศมีนักกอล์ฟคนอื่นๆกว่าทศวรรษ


ลุค โดนัลด์โปรกอล์ฟชาวอังกฤษมือหนึ่งของโลกคนปัจจุบัน



ลี เวสวูดโปร์กอล์ฟชาวอังกฤษมือสองของโลกคนปัจจุบัน

สัญญาณแห่งฝันร้ายของคนอเมริกันกำลังเกิดขึ้นกับวงการกอล์ฟ(?) เพราะสัญญาณ "ขาลง" ของไทเกอร์ วูดส์ ดูเหมือนจะค่อยๆชัดเจนยิ่งขึ้น ไทเกอร์ วูดส์ได้ชื่อว่าเป็นนักกอล์ฟที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของกีฬาประเภทนี้ ครองความยิ่งใหญ่เกรียงไกรมามากกว่า 10 ปี เป็นทศวรรษที่วงสวิงของวูดส์ครองโลกกรีน แต่ความล้มเหลวในชีวิตครอบครัวกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ วูดส์ไม่เหมือนวูดส์คนเดิม     และอาจจะไม่ใช่ไทเกอร์ วูดส์ที่ไร้เทียมทานบนกรีนหญ้าอีกต่อไปก็เป็นได้(?)

บาง ที หากหมดยุคของไทเกอร์ วูดส์จริงๆ แล้ว โอกาสสำหรับโปรกอล์ฟจากฟากยุโรปมากขึ้น และตำแหน่งมือหนึ่งของโลกก็คงตกอยู่ในมือของนักกอล์ฟอีกฝั่งหนึ่งของ แอตแลนติกมากขึ้นด้วย เหมือนเช่นที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้

นับเป็นสิ่งที่น่าสนใจน่าติดตามว่า สุดท้ายแล้ว วงการกอล์ฟของสหรัฐฯจะประสบชะตากรรมเช่นเดียวกับเทนนิส มวยยักษ์และเจ้าลมกรดหรือไม่




.

มอเตอร์ หรือ สติกเกอร์

เมื่อตอนที่ Real Madrid ทีมดังในสเปนตัดสินใจขาย Claude Makelele ให้กับทีม Chelsea แล้วซื้อ David Beckham มาแทนที่ในช่วงกลางปี 2003 ปรา...