31 พฤษภาคม 2554

ไม่มีดาวิดส์เมื่อวันวาน ไม่มีบาร์ซ่าให้เล่าขานในวันนี้

.



เป็นที่แน่ชัดอย่างไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ว่า บาร์เซโลน่าคือทีมฟุตบอลในระดับสโมสรที่ดีที่สุดในยุคปัจจุบัน นับตั้งแต่สร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์ต่างๆมาครอบครองได้อย่างไร้เทียมทาน รวมถึงถ้วยแชมป์เปียนลีก

ในสายตาของหลายๆคน ยกย่องบาร์เซโลน่าเป็นทีมที่สุดในรอบทศวรรษ หรือในรอบหลายสิบปีก็ว่าได้  

และจนกว่าบาร์เซโลน่าจะพิสูจน์และเอาสามารถเอาชนะทีมชาติบราซิลได้ เมื่อนั้นย่อมไม่มีข้อสงสัยใดๆเลยว่า บาร์เซโลน่าคือทีมฟุตบอลที่ดีที่สุดในโลก

ความยิ่งใหญ่ของบาร์เซโลน่าในวันนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องบังเอิญหรือเป็นความประสงค์ของพระเจ้าองค์ใด

เช่นเดียวกับสไตล์การเล่นสปิริตของทีมล้วนแล้วแต่มีที่มาที่ไป ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวันวาน หรือเป็นเครดิตความสามารถของโฮเซฟ เป็ป กวาร์ดิโอล่าแบบเต็มๆ แต่เป็นสิ่งที่สั่งสมสืบทอดต่อเนื่องกันมาไม่ต่ำกว่า 30 ปี 

พูดกันให้ชัดเจนแล้ว รากฐานความยิ่งใหญ่ของบาร์เซโลน่าในวันนี้ เริ่มต้นขึ้นด้วยมันสมอง วิสัยทัศน์บวกกับประสบการณ์และพรสวรรค์ความสามารถของเทวดาลูกหนังอย่างโยฮัน เคราฟ์ นักเตะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของทีมชาติเนเธอร์แลนด์

สิ่งสำคัญที่สุดประการหนึ่งที่ครัยฟ์ปูพื้นฐานให้แก่บาร์เซโลน่าคือปรัชญาการเล่นแบบ "Total football" รวมไปถึงการเน้นทั้งวิธีการและเป้าหมายควบคู่กัน นั่นคือ หากจะได้แชมป์ บาร์เซโลน่าจะต้องเล่นอย่างสวยงามมีศิลปะที่ทำให้ผู้ชมประทับใจ บาร์เซโลน่าไม่ยอมรับแนวคิด ugly win คือเน้นเอาชนะอย่างเดียวโดยไม่คำนึงถึงวิธีการ รูปแบบหรือสไตล์การเล่น  

ในฐานะนักฟุตบอล โยฮัน เคราฟ์สามารถพาบาร์เซโล่น่าคว้าแชมป์ลาลีกาในปี 1974 เป็นครั้งแรกในรอบ 14 ปี


ทีมชาติเนเธอร์แลนด์ต้นตำหรับ Total football ที่ถูกนำมาเผยแพร่
จนเป็นรากฐานและหัวใจของบาร์เซโลน่า



โยฮัน เคราฟ์ในฐานะกัปตันทีมบาร์เซโลน่า


อีก 14 ปีต่อมา โยฮัน เคราฟ์กลับคืนสู่บาร์เซโลน่าในฐานะผู้จัดการทีม และสามารถนำสโมสรคว้าแชมป์ลาลีกาสี่สมัยติอต่อกันระหว่างปี 1991-1994 และแชมป์ยุโรเปี้ยนคัพ(หรือแชมป์เปียนลีกในปัจจุบัน) หนึ่งสมัย  กลายเป็นผู้จัดการบาร์เซโลน่าที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ด้วยเกียรติประวัติรวม 11 แชมป์

แต่บาร์เซโลน่าในยุคสมัยนั้น หาได้เป็นทีมที่ได้รับการยกย่องให้เป็นทีมที่ยิ่งใหญ่ไร้เทียมทานอย่างแท้จริงเหมือนยุคสมัยของโฮเซฟ เป็ป กวาร์ดิโอล่าที่ใช้เวลาเพียง 3 ปีสามารถพาบาร์เซโลน่าคว้าสารพัดแชมป์รวม 10 แชมป์

เหนือสิ่งอื่นใดทั้งปวง บาร์เซโลน่าในยุคสมัยของกวาร์ดิโอล่าเป็นทีมที่ยิ่งใหญ่ไร้เทียมทานอย่างแท้อย่างจริง ว่ากันว่า เป็นทีมที่สมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่มนุษย์รู้จักเกมฟุตบอล

หรือว่าบาร์เซโลน่ากำลังทำให้วงการฟุตบอลยุโรปน่าเบื่อ(?) เพราะช่องว่างระหว่างบาร์ซ่าและทีมยักษ์ใหญ่อื่นๆมีช่วงห่างมากขึ้นๆ จนวิตกกันว่า ไม่มีทีมไหนที่สามารถต่อกรสู้กับบาร์เซโลน่าได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ

เหมือนในยามเฟื่องฟูในยุคสมัยไมค์ ไทสันแห่งวงการมวยยักษ์ที่ไร้คู่ต่อกรหาคู่ต่อต้านได้ยาก

เหมือนยุคสมัยโรเจอร์ เฟดเดอเรอร์ในวงการเทนนิสที่ขาดคู่แข่งที่เทียบเท่า

หรือเหมือนยุคสมัยของมิเชลล์ ชูมัคเกอร์แห่งวงการรถสูตรหนึ่งที่ไร้เทียมทาน

ในบันทึกประวัติศาสตร์แห่งความยิ่งใหญ่เกรียงไกรในวันนี้ของสโมสรบาร์เซโลน่า มีบุคคลหนึ่งที่มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่ทำให้ "วันนี้" ของบาร์เซโลน่าเป็นเหมือนเช่น "วันนี้" จริงๆ ที่ทำให้ทีมอื่นๆพากันอิจฉาชื่นชม


บุคคลนั้นชื่อ เอ็ดการ์ ดาวิดส์

หากจะอุปมาว่าโยฮัน เคราฟ์คือผู้วาง "เสาเข็ม" สร้างรากฐานให้กับบาร์เซโลน่า คงจะไม่เป็นการสรุปอ้างเกินความจริงที่จะกล่าวว่า เอ็ดการ์ ดาวิดส์คือผู้ "กดลิฟท์" ให้สโมสรแห่งนี้ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า

จุดเริ่มต้นแห่งความไร้เทียมทานเริ่มขึ้นในเดือนมกราคม 2004 เมื่อเอ็ดการ์ ดาวิดส์ย้ายมาร่วมทีมกับบาร์เซโลน่าแบบสัญญายืมตัวจากยูเวนตุส

นักเตะคลาสระดับโลกอย่างดาวิดส์ตัดสินใจย้ายมาร่วมทีมแบบชั่วคราว สวนทางกับนักเตะคนอื่นๆที่ต่างพากันยี้พากันปฏิเสธไม่อยากย้ายมาร่วมทีมบาร์ซ่า

ย่อมเป็นที่เข้าใจกันได้ว่า ในช่วงเวลาที่กำลังตกต่ำอย่างสุดขีดนั้น ไม่มีนักเตะหน้าไหนกระเหี้ยนกระหือรืออยากย้ายมาร่วมชายรังด้วย

บาร์เซโลน่าห่างเหินตำแหน่งแชมป์มาตั้งแต่ปี 1999 และยิ่งปวดร้าวมากขึ้นเมื่อเห็นคู่รักคู่แค้นอย่างรีล แมดริดประสบความสำเร็จทั้งในระดับลาลีก้าและระดับยุโรป    เมื่อตอนที่สโมสรแต่งตั้งแฟรงค์ ไรท์การ์ดให้เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ในปี 2003 หลายๆคนมีความหวังว่า นี่คือบุคคลที่จะสามารถนำทีมคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของประเทศได้เป็นครั้งแรกของสหัสวรรษใหม่

บาร์ซ่าเริ่มต้นครึ่งแรกของฤดูกาล 2003-2004 อย่างน่าผิดหวังเป็นที่สุด  วิกฤติฟอร์มทำให้อันดับตกอยู่ในโซนอันตรายใกล้ตกชั้น  ซ้ำร้ายยังถูกรีล แมดริดบุกมาคว้าชัยถึงในถิ่นได้เป็นครั้งแรกในรอบยี่สิบปี  ถือเป็นเรื่องที่น่าอับอายขายหน้าเป็นที่สุด

ไรท์การ์ดเสี่ยงกับการถูกปลดออกจากตำแหน่งได้ในทุกเมื่อ เสียงเรียกร้องเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ แต่เหมือนโชคช่วย เพราะนักเตะที่ชื่อเอ็ดการ์ ดาวิดส์ กลายเป็น "เทพีฟอร์ทิวนา" ผู้นำโชคมาให้แก่ทีม


ความยิ่งใหญ่ของบาร์ซ่าในวันนี้ เริ่มต้นเมื่อมกราคม 2004


การย้ายเข้ามาแบบยืมตัวของนักเตะผิวสีเลือดผสมสุรินัมและยิวในช่วงกลางซีซั่นคนนี้ กลายเป็นจุดพลิกผันที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ของสโมสรก็ว่าได้  เพราะหลังจากนั้น บาร์เซโลน่ากลายเป็นอีกทีมหนึ่งที่ไม่เหมือนเดิม สามารถทะยานหัวจากตำแหน่งเกือบก้นตารางจนได้อันดับรองแชมป์เมื่อจบฤดูกาล


ด้วยสไตล์กัดไม่ปล่อยทุ่มเทให้กับทีม

ไม่มีคำว่าประนีประนอมสำหรับดาวิดส์

ดาวิดส์มีส่วนสำคัญที่สร้างพลังฮึกโหมให้เพื่อนร่วมทีม



ดาวิดส์เป็น missing link ที่บาร์เซโลน่าหวนหามานาน กลายเป็นจิกซอร์ที่มีส่วนสำคัญช่วย "คลิ๊ก" ทำให้ระบบของบาร์ซ่าติดเครื่องนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทั้งๆที่ในเวลานั้น บาร์ซ่ามีโรนัลดินโญ่อยู่ในทีมแล้ว แต่ก็ไม่สามารถ "คลิ๊ก" สร้างโมเมนตัมให้กับทีมได้



ถึงจะเป็นนักเตะระดับโลกหมายเลขหนึ่ง
แต่โรนัลดินโญ่ก็ยังไม่สามารถ "คลิ๊ก"
บาร์เซโลน่าด้วยตัวเองได้



สไตล์และหน้าที่ความรับผิดชอบของดาวิดส์แบบหมาบูลด๊อกที่กัดไม่ปล่อย ช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบา ทำให้กองหลังทำงานได้มั่นใจมากขึ้น ที่สำคัญที่สุด ทำให้ซาบี้ได้ทำในสิ่งที่ถนัดมากที่สุด คือจ่ายบอลและสร้างสรรค์โอกาสให้กับเพื่อนร่วมทีม และทำให้นักเตะคนอื่นๆได้มีโอกาสส่องประกายฉายแสงอย่างเต็มที่


หากขาดซึ่งดาวิดส์ในวันนั้น ก็ไม่มีซาบี้ในวันนี้ได้ (?)

เพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆแค่ 6 เดือน ดาวิดส์ได้สร้างคุณูปการที่ยิ่งใหญ่และเปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์ของสโมสรบาร์เซโลน่าที่หลายๆคนคาดไม่ถึง ทำให้ทีมค้นพบตัวเองและเริ่มต้นเดินหน้าสร้างตำนานแห่งความเกรียงไกร


เอกลักษณ์เฉพาะของเอ็ดการ์ ดาวิดส์


ลีลาและสไตล์ที่อาจจะไม่สวยงาม
แต่เปี่ยมด้วยประสิทธิภาพ
 นับตั้งแต่นั้น บาร์เซโลน่าก็สร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์ต่างๆ มาครองได้ทั้งหมด และทีมชุดปัจจุบันได้รับยกย่องถึงขั้นว่าเป็นทีมฟุตบอลที่ดีสุดในประวัติศาสตร์โลกลูกหนัง





ในวันที่คว้าแชมป์ลีกสมัยที่ 19 อิริค คันโตน่าได้รับ
การยกย่องให้เป็นผู้เปลี่ยนแปลงแมนเชสเตอร์ ยูในเต็ด
แต่น่าเสียดายที่เอ๊ดการ์ ดาวิดส์ไม่ได้รับเกียรติเช่นเดียวกันนี้



เกียรติประวัติหนึ่งที่ดาวิดส์ได้รับจากบาร์เซโลน่า



ความยิ่งใหญ่เกรียงไกรของบาร์เซโลน่าในวันนี้
คือผลงานปิดทองหลังพระของชายชือเอ๊ดการ์ ดาวิดส์


คงจะไม่เป็นการกล่าวเกินเลย หากจะบอกว่าความยิ่งใหญ่เกรียงไกรของบาร์เซโลน่าในวันนี้ เป็นหนี้บุญคุณดาวิดส์มากที่สุดคนหนึ่ง

เหมือนเช่นคำกล่าวที่ว่า ไม่มีดาวิดส์เมื่อวันวาน ไม่มีบาร์ซ่าให้เล่าขานในวันนี้


.

20 พฤษภาคม 2554

วัยของผู้นำ วัย 40something

.



ประเทศไทยกำลังจะมีนายกรัฐมนตรีคนที่ 28 ในอีกสองเดือนข้างหน้า ถ้าหากไม่เป็นคนเก่าคนเดิมก็ต้องเป็นคนใหม่อย่างแน่นอน  คุณสมบัติที่สำคัญอันดับแรกสุดที่สังคมไทยคาดหวังก็คือความเป็นคนดี คือเป็นคนดีทั้งทางกฏหมายและเป็นคนดีทางศิลธรรม   ในมุมมองของ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ผู้นำควรจะต้องเป็นใครสักคนหนึ่งที่ "พิเศษ" กว่าคนธรรมดาทั่วไป ต้องมีคุณสมบัติที่สำคัญๆหลายๆ ประการ

หนึ่งในข้อนั้นก็คือ "ต้องเป็นคนหนุ่ม อายุสัก 45 ปี จะได้มีพลังกายเข้มแข็ง สู้งานได้ 18 ชั่วโมงต่อวัน ควรเป็นคนสายตาแหลมคม มีวิจารณญาณดี รู้จักวินิจฉัยสิ่งต่างๆ โดยตลอดอย่างทั่วถึงถ้วนทุกแง่มุม ทั้งในด้านที่ผลจะเกิดขึ้นภายในบ้านเมืองเอง และในความสัมพันธ์ระหว่างชาติ" 

ดูเหมือนท่านคึกฤทธิ์จะไม่เชื่อในทฤษฏี "มะม่วงบ่มแก๊ส" สักเท่าไหร่ แต่กลับมองเห็นเป็นด้านบวกว่า มะม่วงหากว่าดิบหากอ่อนเกินไปราคาก็ไม่ดีนัก หากแก่สุกเกินไปราคาก็จะตก เพราะฉะนั้น เลยวัยดิบแต่ยังไม่ถึงวัยสุกหง่อมคือ "มะม่วง" ทีดีเป็นธรรมชาติที่สุด

ความเห็นเรื่องอายุนี้ ดูเหมือนจะสอดคล้องต้องกันกับมาร์กาเร็ต "สตรีเหล็ก" แธตเชอร์ อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ ซึ่งให้น้ำหนักในเรื่องนี้ค่อนข้างมาก และเชื่อว่า สุขภาพพลานามัยดีเป็นคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดสำหรับคนที่จะเป็นผู้นำ เพราะสุขภาพที่ดีจะทำให้คุณสมบัติข้ออื่นๆ มีประสิทธิภาพงอกงามตามไปด้วย


มาร์กาเร็ต "สตรีเหล็ก" แธตเชอร์ในวัย 56 ปีเมื่อเข้า
รับตำแหน่งผู้นำของประเทศในปี 2522



ความเชื่อของอดีตผู้นำทั้งสองคนที่สอดคล้องกันโดยบังเอิญนี้ ตรงกับสุภาษิตอิตาลี่ที่ว่า "Mens Sana in Corpore Sano" หมายถึง จิตนิรามัยในกายนิรามัย นั่นคือเชื่อว่า สุขภาพกายส่งผลต่อสุขภาพใจ  สุขภาพใจที่ดีจะอยู่ในบุคคลที่สุขภาพกายดีด้วย  เพราะฉะนั้น การประสานสอดคล้องระหว่างสุขภาพใจและสุขภาพกาย(มัก)จะก่อให้เกิดประสิทธิภาพของความเป็นผู้นำด้วย โดยเฉพาะการตัดสินใจ ซึ่งถือเป็นปัจจัยที่สำคัญมากๆ สำหรับผู้นำ


"Mens Sana in Corpore Sano" ไม่ได้หมาย
ความถึง ก้ามเนื้อคือบ่อเกิดของก้ามสมอง

อาร์โนลด์ ชวาร์เซเนกเกอร์เป็น "คนเหล็ก" แต่เพียงร่างกาย
แต่ไม่ได้เป็น "บุรุษเหล็ก" ในฐานะผู้ว่าการรัฐแคลิเฟอร์เนีย(?)


โดยธรรมชาติแล้ว คนวัย "40something" ที่อยู่ในช่วงเลข 4 ย่อมมีสุขภาพที่แข็งแรงกว่าคนวัย "60something"  และนั่นหมายถึงว่า การมีพลังกายที่เข้มแข็งสู้งานได้ 18 ชั่วโมงต่อวัน ไม่ใช่คนป่วยคนขี้โรค

แต่คุณสมบัติ "40something" เพียงอย่างเดียวก็ย่อมไม่เพียงพอไม่ได้เป็นหลักประกันว่า คนๆนั้นจะเป็นผู้นำที่ดีได้ หากว่าปราศจากซึ่งสายตาที่แหลมคม ขาดซึ่งวิจารณญาณดี และไม่รู้จักวินิจฉัยสิ่งต่างๆ โดยตลอดอย่างทั่วถึงถ้วนทุกแง่มุม ทั้งในด้านที่ผลจะเกิดขึ้นภายในบ้านเมืองเองและในความสัมพันธ์ระหว่างชาติ เพราะคุณสมบัติเหล่านี้จำเป็นอย่างยิ่งยวด 


สองผู้นำมหาอำนาจโลกในวัย "40something"


ผู้นำหลายๆคนที่อยู่ในวัย "40something" อย่างเช่น ประธานาธิบดีบารัค โอบาม่าแห่งสหรัฐฯ นายกรัฐมนตรีเดวิด คาเมรอนแห่งอังกฤษ และอภิสิทธ์ เวชชาชีวะ แต่ยังไม่สามารถพิสูจน์ฟันธงได้อย่างแน่นอนว่า นี่คือตัวอย่างของผู้นำที่ประสบความสำเร็จ(?)


ในวัย "40something" นี่คือสองว่าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 28 


มีความเป็นไปได้ว่า นายกรัฐมนตรีคนต่อไปของประเทศไทย จะอยู่ในช่วง "40something" เป็นคุณสมบัติร่วมที่ว่าที่ผู้นำไทยคนต่อไปมีเหมือนกัน แต่คุณสมบัติความเป็นผู้นำข้ออื่นๆนั้น ที่ต่างคนต่างมีดีมีเด่นแตกต่างกัน เป็นปัจจัยสำคัญยิ่งสำหรับการก้าวสู้ความเป็นผู้นำที่ต้องจารึกในประวัติศาสตร์ 

ไม่ใช่เพียงแค่เป็นผู้นำที่ได้ชื่อว่าหนุ่มเฟ้อที่สุดหรือสาวปิ้งที่สุดเท่านั้น


.

10 พฤษภาคม 2554

หลักการใช้คน - บทเรียนจาก "เสธแดง"

.

           
เป็นเรื่องยากสำหรับบุคคลทั่วไปที่จะทราบถึงตัวตนที่แท้จริงของพล.ต. ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง บุคคลชื่อดังที่สุดที่เสียชีวิตอันเนื่องมาจากเหตุความรุนแรงและความขัดแย้งทางการเมืองเมื่อปี 2553

ถึงแม้จะไม่สามารถบ่งบอกยืนยันได้อย่างแท้จริง ณ เวลานี้ว่า เป็นคนดีหรือไม่? แต่เสธ.แดงได้รับการยอมรับว่า เป็นคนเก่งคนหนึ่ง เป็นคนเก่งที่ถูกมองข้าม ถูกมองข้ามจนกลายเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิต (คลิ๊กอ่าน http://preechayana.blogspot.com/2010/12/blog-post_20.html)

ครั้งหนึ่ง พล.อ. สนธิ บุญรัตกลิน อดีตผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะผู้บังคับบัญชา เคยกล่าว ถึงหลักการใช้คนกับคนประเภทเสธ.แดงไว้ได้อย่างน่าสนใจ


น้อยคนนักที่จะรู้ตัวตนที่แท้จริงของเสธแดง แต่เป็นที่ยอมรับ
ว่านายทหารผู้มีดีกรีระดับดีอกเตอร์คนนี้มี "หน้าเก่ง" ที่ถูกมองข้าม


คือลักษณะของเสธ.แดง เขาเป็นอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว มีอะไรเขาก็เป็นคนที่เปิดเผยพูดอะไรตรงไปตรงมาแบบทหารอาชีพอย่างในสมัยก่อน เรียกว่าเป็นบุคลิกของเขา และเราก็ต้องรู้ด้วยว่าใครเป็นผู้ปกครอง อย่างผมในสมัยที่เป็น ผบ.ทบ. ก็ทราบนิสัยเขาอยู่ เราก็ต้องให้เป็นเอกลักษณ์พิเศษเขาไป เราต้องยอมรับตรงนั้น ทำอย่างไรถึงจะใช้เสธ.แดงให้เป็นประโยชน์ก็แค่นั้น เมื่อก่อนมีการปล้นปืน 4 มค 2547 ที่ภาคใต้ เสธ.แดงก็สามารถไปเอาข้อมูลอะไรต่างๆ มาให้เราได้ นี่คือคุณลักษณะพิเศษของเสธ.แดง  


คุณลักษณะคนแต่ละคนมันก็มีหน้าหัวคือหน้าเก่ง เราก็เอาหน้าเก่งเขามาใช้ บางคนก็หน้าก้อยที่มันไม่ค่อยถนัด เราก็อย่าไปใช้หน้าก้อยเขา เราก็ไปใช้หน้าหัวที่เขาถนัด นี่คือหลักบริหารจัดการ ดังนั้น เสธ.แดง เขาเป็นคนอย่างนี้ ก็ต้องใช้ที่เขาถนัด ถ้ารู้ว่าหน้าก้อยมันไม่ดี มันไปกระทบเข้า มันก็กระดอนกลับมาสิ อันนี้ก็ต้องเป็นศิลปะในการปกครอง"


น่าเสียดายที่คนส่วนใหญ่ไม่ทราบตัวตนที่แท้จริงของนายทหารท่านนี้  และน่าเสียดายที่เสธ.แดงถูกมองข้าม "หน้าเก่ง" ไป จนกระทั่งก่อให้เกิดภาวะ "แผ่นดินไหว" สั่นสะเทือนกองทัพและการเมืองไทย

แน่นอนที่สุด เสธ.แดงได้เสียชีวิตไปแล้ว แต่สังคมไทยควรที่จะเรียนรู้บทเรียนที่ได้จากกรณีของเสธ.แดง เพื่อป้องกันวิกฤติในบ้านเมืองที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต

ทำอย่างไร ที่จะให้โอกาสคนดีได้ทำประโยชน์ให้กับสังคมมากขึ้น
ทำอย่างไรที่จะใช้คน "หน้าเก่ง" ให้เป็นประโยชน์กับส่วนรวมมากที่สุด
และจะทำอย่างไรให้คนไม่ดี ได้มีโอกาสกลับตัว ทำดีเพื่อประเทศเหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด


.

7 พฤษภาคม 2554

สอง'R'วุโสแห่งโลกลูกหนัง

.



ถึงแม้เดวิด เบ๊กแค่มจะได้ชื่อว่าเป็นนักเตะที่มีชื่อเสียงดังที่สุดในโลก(คนหนึ่ง) แต่ใช่ว่าเบ็กแค่มจะได้รับการยอมรับอย่างแท้จริงให้ยืนแถวเดียวเทียบเท่าบรรดานักเตะที่ดีที่สุดในโลก(?)

ว่ากันว่า เนื้อแท้ของเบ็กแค่มเป็นเซเลบมากยิ่งกว่าสุดยอดนักฟุตบอล(?) มีจุดขายที่ใบหน้ามาก กว่าที่ฝีเท้า(?) 

ยามเมื่ออยู่บนเวทีแคทวอล์ทแล้ว ไม่มีนักฟุตบอลคนไหนที่จะมีบุคลิกที่มั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมเท่าเบ็กแค่ม  แต่เมื่ออยู่บนพื้นแผ่นหญ้าเขียวแล้ว ยากที่นักเตะอังกฤษคนนี้จะยืนอยู่แถวหน้าด้วยความมั่นใจและได้รับการยอมรับจากเพื่อนๆนักเตะด้วยกัน

เป็นเรื่องยากเกินจะจินตนาการว่า เบ็กแค่มจะมี "วันนี้" เหมือนเช่น "วันนี้" ได้หรือไม่หากเกิดมาหน้าตาโทนเดียวพิมพ์เดียวกับโรนัลดินโญ่(?)


มาดแมนมุ่งมั่นของเดวิด เบ็กแค่มในชีวิตนายแบบ

เบ๊กแค่มมั่นใจตัวเองเสมอยามเมื่ออยู่หน้ากล้อง

เซเลบคนดังแห่งวงการฟุตบอล

เบ็กแค่มก้าวล้ำเสมอกับแฟชั่นใหม่ๆ


  
ความหล่อเหลาของใบหน้าที่ชัดเจนระหว่างโรนัลดินโญ่และเบ็กแค่ม

กล้ามเนื้อท่อนบนเป็นดัชนีชี้วัดอย่างหนึ่งของ
ความทุ่มเทฝึกหัดให้กับเกมลูกหนังบวกกับทักษะ
มหัศจรรย์ของโรนัลโด้ที่เหนือชั้นกว่าเบ็กแค่มเห็นๆ


หากจะมีสักข้อหนึ่งที่ทำให้นักเตะอังกฤษที่ชื่อดังที่สุดในรอบทศวรรษคนนี้มีรอยตำหนิด่างดำ นั่นคือการเลือกชีวิตที่จะเป็นนักฟุตบอลเซเลบมากกว่านักฟุตบอลแบบเพรียวๆ  เบ็กแค่มเลือกที่จะให้ชีวิตของตัวเองเป็นศูนย์กลางของสาธารณะ เป็นเป้าของของนักข่าวช่างภาพและเป็นจุดเด่นอยู่เสมอท่ามกลางแสงสี เลือกที่จะสร้างชื่อและมีไลฟ์สไตล์แบบเซเลบ โดยอาศัยฟุตบอลเป็นบันได แทนที่จะทุ่มเทให้กับเกมลูกหนังอย่างเต็มร้อยเต็มที่เต็มถัง

ตลอดทศวรรษของการเป็นนักเตะอาชีพ ว่ากันว่า เบ็กแค่มประสบความสำเร็จนอกสนามมาก กว่าในสนาม  เกียรติยศในสังเวียนลูกหนังจึงน้อยกว่าชื่อเสียงในฐานะเซเลบ ข้อสรุปว่าเบ็กแค่ม มีคุณค่า ทางการตลาดมากยิ่งกว่าคุณค่าทางลูกหนังจึงเป็นเรื่องยากที่จะแย้งได้

จึงไม่เป็นที่สงสัยว่า เมื่อถึงช่วงปลายของชีวิตลูกหนัง แบ๊กแค่มแทบจะไม่ได้ถูกกล่าวถึงจากคนในวงการให้เป็นโรลโมเดิลหรือเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับนักเตะรุ่นหลังสักเท่าไหร่นัก

แต่สอง 'R'วุโสแห่งวงการลูกหนังที่ได้รับความชื่นชมและยกย่องอย่างแท้จริง คือ R-ราอูล ตำนานแห่งรีล แมดริด และ R-ไรอัน กิกส์ ตำนานแห่งแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

โดยเนื้อแท้แล้ว ทั้งราอูลและกิ๊กส์ไม่ใช่นักฟุตบอลขี้เหร่เลย ในทางตรงกันข้าม หากพิศพินิจแล้ว ทั้งสองกลับมีหน้าตาหล่อเหลาไม่ด้อยกว่าเบ๊กแค่มเลย และถึงแม้จะมีความหล่อเหลาเป็นทุนเต็มหน้าตัก  แต่ทั้งราอูลและกิ๊กส์กลับเลือกเส้นทางที่จะสร้างชื่อสร้างเสน่ห์ในฐานะตำนานแห่งลูกหนังแทนที่จะหลงกลิ่นไอของเซเลบเหมือนเบ็กแค่ม

นั่นคือ ทั้งราอูลและกิ๊กส์เลือกที่จะทุ่มเทให้กับเกมฟุตบอลเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ไม่มีเวลาหรือจิตใจที่จะเอาชีวิตส่วนใดส่วนหนึ่งหันเหไปข้องแวะกับวงการเซเลบ จนอาจจะเสียงานเสียการกับความเป็นนักฟุตบอลอาชีพอย่างแท้จริงได้


สอง Rวุโสตัวจริงแห่งวงการลูกหนัง

กิ๊กส์ลิ้มรสหวานแห่งชัยชนะตั้งแต่เยาว์วัย

ตำนานหมายเลข 11 แห่งโอลด์แทฟฟอร์ด


ไรอัน กิ๊กส์สร้างประวัติศาสตร์ลงสนามมากกว่า
นักฟุตบอลทุกคนของทีมปีศาจแดง

ไรอัน กิ๊กส์สร้างประวัติศาสตร์คว้าถ้วยแชมป์
ทุกรายการมากที่สุดในเกาะอังกฤษ

 ในวัย 37 ปี ไรอัน กิ๊กส์ไม่เคยหยุดกระหายรางวัลแห่งชัยชนะ
 
เพราะมีหัวใจให้กับลูกหนังอย่างเต็มเปี่ยม ราอูลและกิ๊กส์จึงทุ่มเทมุ่งมั่นให้กับสิ่งที่รักอย่างเต็มที่ สร้างวินัยให้กับตัวเองอย่างเต็มร้อย จนดูเหมือนยึดม๊อตโตว่า "เรื่องแฟชั่นไม่ เรื่องลูกหนังใช่"

ทั้งสองทุ่มเทฝึกซ้อมอย่างหนักเพื่อรักษามาตรฐาน ความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวที่สามารถแยกตัวออกจากสิ่งยั่วยวนทั้งหลายแหล่ทั้งหล้ายาปลาปิ้ง หรือห้ามใจไม่ให้หลงเพลิดเพลินกับเงินก้อนโตที่พลิกเปลี่ยนชีวิตนับตั้งแต่เข้าสู่วงการโลกฟุตบอล

เพราะทั้งราอูลรักและหายใจเป็นฟุตบอลเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ทั้งสองจึงไม่ลังเลที่จะหลีกห่างจากแสงสีและชีวิตเซเลบให้มากที่สุด แล้วเลือกใช้ชีวิตอย่างโลว์โปรไฟล์ที่สุด

รางวัลแห่งความสำเร็จจึงเป็นสิ่งตอบแทนที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับใครก็ตามที่ทุ่มเทมุ่งมั่นให้กับสิ่งที่รักอย่างเต็มร้อย



                                             
                                       ราอูลคือตำนานสุดยอดนักเตะ    กิ๊กส์คือตำนานสุดยอด
                                       แห่งรีล แมดริด                       นักเตะแห่งแมนฯยูไนเต็ด



                                                
                                                ไรอัน ในวัยกิ๊กส์ใส       ราอูลวัยละอ่อน
    
                  
                                              
                                                ทั้งราอูลและกิ๊กส์มีความหล่อเหลาแบบคนไอดิวสูง


    
 ตำนานนักฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
ของรีล แมดริดเทียบเท่าดิสเตฟาโน่


 
ตำนานหมายเลข 7 แห่งเบอร์นาเบา

ราอูลสร้างประวัติศาสตร์คว้าถ้วยแชมป์
ทุกรายการมากที่สุดในสเปน


ประวัติศาสตร์ของรีล แมดริดจะขาดซึ่งตำนาน
แห่งความสำเร็จของราอูลไม่ได้โดยเด็ดขาด
                                    

ในวัน 33 ปี ราอูลยังเป็น "อาวุธ"
ทีน่าเกรงขามของชาลเก้ 04

เป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่ทั้งราอูลและกิ๊กส์ในวัย 30 กว่า
ยังสามารถอวดโชว์ฝีเท้าในสังเวียนแชมป์เปี้ยนลีก
ได้อย่างน่าทึ่ง.....แล้วเบ๊กแค่มอยู่ที่ไหน?


ทั้งราอูลและกิ๊กส์ได้สร้างประวัติศาสตร์อยู่ในกลุ่มนักฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก เป็นเจ้าของสถิติหลายๆสถิติที่เป็นตำนานไปตลอดกาล

การสร้างแรงจูงใจและเป้าหมายในชีวิตลูกหนังอย่างชัดเจน การมีวินัยให้กับตัวเองอย่างเคร่งครัดและรักษาเนื้อรักษาตัวเป็นอย่างดี ไม่หันเหออกนอกลู่นอกทาง จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้สุดยอด 'R'วุโสทั้งสองยังสามารถยืนอยู่ในระดับแถวหน้าของโลกลูกหนังได้ ถึงแม้จะอยู่วัยเลข 3 แล้วก็ตาม

เป็นโรลโมเดิลที่ดีที่สุดที่นักฟุตบอลรุ่นหลังควรเอาเป็นเยิ่ยงเป็นอย่างและเจริญรอยตาม หากคิดจะประสบความสำเร็จบนเวทีลูกหนัง



  
ถึงจะไม่เคยคว้าแชมป์ใดๆในชุดสีเสื้อสเปนเลย
แต่ราอูลได้ชื่อว่าเป็นนักฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของสเปน

 
ถึงจะไม่เคยประสบความสำเร็จในชุดสีเสื้อเวลล์เลย
แต่กิกส์ได้ชื่อว่าเป็นนักฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศ
 
เพราะรักดี ราอูล จึงได้รับการยกย่องให้เป็นนักฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสรรีล แมดริด

เช่นเดียวกัน เพราะรักดี กิ๊กส์จึงได้ชื่อว่าเป็นนักฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

เป็นตำนาน 'R'วุโสแห่งโลกลูกหนังที่สมควรได้รับการยกย่องอย่างแท้จริง


 .

4 พฤษภาคม 2554

ผู้นำแบบ ล.ลิง

.



แบบแรกเรียกว่า หล่อหลักลึก  หมายถึง ผู้นำที่เกิดมาด้วยทุนเต็มทางสรีระและกายภาพ  คือเป็นคนที่มีรูปร่างหน้าตาดี บุคลิกสง่างามต้องตา ไม่จำเป็นเสมอไปที่บุคคลนั้นๆ จะมีหน้าตาหล่อเหลา (handsome)เป็นพระเอกหรือสวยงามเหมือนเช่นนางงาม แต่บ่อยครั้งที่เราให้น้ำหนักกับคำว่าดูดี (good look) มากกว่า ซึ่งนั่นหมายถึงบุคลิกท่าทางที่จะส่งผลทำให้ดูดีได้มากขึ้น

แต่ในขณะเดียวกัน ผู้นำคนนั้นๆ จะต้องพิสูจน์ให้เป็นที่ประจักษ์ว่า เป็นคนยึดมั่นในหลักการอุมการณ์แห่งความถูกต้อง ความดีงามและยึดถือเอาประโยชน์ของมหาชนส่วนรวมยิ่งกว่าผลประโยชน์ส่วนตัว เรียกว่ายอมเสียชีพแต่ไม่ยอมเสียสัตย์ ยอมเสียตำแหน่งแต่ไม่ยอมเสียจุดยืน

ผู้นำที่จัดอยู่ในข่ายของผู้นำประเภท หล่อหลักลึก นี้อาจรวมถึงจอร์จ วอชิงตันอดีตประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐฯ ที่ยึดมั่นในเรื่องของความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่สุด  จอห์น เอฟ เคนเนดี้ผู้มุ่งมั่นที่จะเห็นสิทธิความเท่าเทียมกันระหว่างคนผิวขาวและคนผิดดำในสหรัฐฯ จนสุดท้ายเชื่อว่าเป็นสาเหตุหนึ่งที่นำไปสู่การลอบสังหาร  โรนัลด์ เรแกนผู้ยึดถือหลักแห่งคุณค่าความเป็นมนุษย์ คุณค่าแห่งความเป็นอเมริกัน จนได้รับคำยกย่องว่าเป็นประธานาธิบดีที่ดีที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ



จอร์จ วอชิงตัน บิดาแห่งชาติสหรัฐฯ
ผู้ยึดถือความซื่อสัตย์เป็นที่ตั้ง

บิดาผู้สร้างชาติผู้สง่างาม
 

จอห์น เอฟ เคนเนดี้ได้ชื่อว่าเป็นประธานาธิบดี
ที่ดูดีมีเสน่ห์มากที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์อเมริกัน
 

             
                   ความหล่อเหลาถึงขั้นเป็นพระเอกหนังมาก่อน ทำให้โรนัลด์
                       เรแกนเป็นได้ชื่อว่าเป็นประธานาธิบดีที่รูปงามที่สุดคนหนึ่ง


แบบที่สองเรียกว่า หล่อหลักลอย หมายถึง ผู้นำแบบประเภทเกิดมารูปงามเป็นทุนทรัพย์ และหลายๆคนก็อาศัยทุนด้านคุณลักษณ์นี้เป็นใบเบิกนำไปสู่อำนาจหรือตำแหน่งแห่งหน แต่ผู้นำจำพวกนี้กลับไม่มีคุณลักษณ์ภายในที่โดดเด่นส่องแสงประกาย ที่สามารถสร้างชื่อสร้างประวัติศาสตร์ให้อนุชนรุ่นหลังได้กล่าวถึงคุณงามความดีได้

ผู้นำแบบนี้มีอาจจะมีความใคร่อยากจะเป็นอยากจะมีตำแหน่งหรือไม่มีก็ได้ แต่เมื่อได้เป็นได้สวมตำแหน่งแล้วกลับสร้างความผิดหวังให้กับผู้คน เพราะบริหารองค์กรหรือประเทศแบบมือสมัครเล่น  เป็นคนที่โลเลขาดหลักการหลักยึดทั้งหลักคุณธรรมและหลักบริหาร การแก้ปัญหาใดๆจึงเป็นเรื่องที่คนอื่นๆคาดการณ์ได้ยาก เพราะมักจะยึดอารมณ์ความรู้สึกหรือสถานการณ์เป็นหลักมากกว่า เรียกว่ายอมหักยอมงอได้ทุกเมื่อ



นายกรัฐมนตรีเบอร์ลุสโคนี่แห่งอิตาลีได้ชื่อว่า
เป็นผู้นำรูปงามที่สุดคนหนึ่ง แต่ไม่เคยว่างเว้นเรื่องอื้อฉาว


แบบที่สามเรียกว่า เหล่หลักลึก หมายถึงคนที่ไม่ได้เกิดมาด้วยรูปงาม บางคนอาจถึงขั้นทรลักษณ์หรืออัปลักษณ์คือไม่มีรูปลักษณ์ใบหน้าหล่อเหลาสวยงามดูดีต้องตาต้องใจเป็นเสน่ห์เมื่อแรกเห็น  แต่สิ่งที่ชดเชยและมีความสำคัญมากกว่าคือความเป็นผู้นำที่เข้มแข้ง  มีความอดทนที่จะยืนหยัดในความถูกต้องเหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด และให้ความสำคัญต่อผลประโยชน์ส่วนรวมเหนือผลประโยชน์ส่วนตนหรือผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม  ถึงแม้ว่าจะจัดเป็นผู้นำแบบเจ้าเงาะ แต่ตัวอย่างของผู้นำประเภทนี้มักจะมีบุคลิกที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เป็นเหมือนการชดเชยปมด้อยด้วยปมเด่นที่มีคุณมหาศาล เป็นเสน่ห์ที่ทำให้บุคคลนั้นๆ กลายเป็นผู้นำคนสำคัญๆของโลก



อับราฮัม ลินคอนล์ผู้ยืนหยัดในการยกเลิกระบบทาษ 
 

มาร์ติน ลูเธอร์ คิง ผู้ต่อสู้ในหลักแห่งความเท่าเทียม
ระหว่างอเมริกันผิวขาวและผิวดำจนถูกลอบสังหาร



มหาตะมะ คานธีผู้ยืนหยัดในหลักอสิงหาจนตัวตาย
 
เนลสัน เมนเดล่าผู้ต่อสู้เพื่อความเท่า
เทียมกันระหว่างสีผิวในแอฟริกาใต้
 
แบบที่สี่เรียกว่า เหล่หลักลอย หมายถึงผู้นำที่นอกจากจะไม่ได้มีรูปงามแล้ว ยังมีคุณลักษณะแบบเช้าชามเย็นชาม ไร้ซึ่งหลักการใดๆ ในการบริหารองค์กรหรือปกครองประเทศ และมักจะขาดซึ่งคุณสมบัติที่ดีของผู้นำข้ออื่นๆ ด้วย เป็นผู้นำที่ไม่สามารถพึ่งพาหรือคาดหวังอะไรได้มากนัก การพัฒนาเดินหน้า ความเจริญรุ่งเรือง หรือความเคร่งครัดของหลักนิติรัฐเป็นสิ่งที่ยากจะเกิดขึ้นภายใต้ผู้นำแบบนี้ และหากอยู่ในตำแหน่งแห่งหนอำนาจนานเกินไป ก็มีความเป็นไปได้ที่จะนำความเสียหายหรือเดือดร้อนมาสู่องค์กรหรือประเทศนั้นๆ

 
อีดี้ อามินอดีตผู้นำอูกันดาสุดยอด
แถวหน้าแห่งความเหี้ยมโหด
รูปวาดที่บ่งบอกถึงความ "เหล๋" ของอีดี้ อามิน



แน่นอนที่สุดว่า อับดุลเล วาเดแห่งเซเนกัลไม่ใช่ผู้นำรูปงาม?
                    

แล้วอด๊อฟ ฮิตเลอร์จะจัดอยู่ในผู้นำแบบไหน?





.

มอเตอร์ หรือ สติกเกอร์

เมื่อตอนที่ Real Madrid ทีมดังในสเปนตัดสินใจขาย Claude Makelele ให้กับทีม Chelsea แล้วซื้อ David Beckham มาแทนที่ในช่วงกลางปี 2003 ปรา...