เป็นที่แน่ชัดอย่างไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ว่า บาร์เซโลน่าคือทีมฟุตบอลในระดับสโมสรที่ดีที่สุดในยุคปัจจุบัน นับตั้งแต่สร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์ต่างๆมาครอบครองได้อย่างไร้เทียมทาน รวมถึงถ้วยแชมป์เปียนลีก
ในสายตาของหลายๆคน ยกย่องบาร์เซโลน่าเป็นทีมที่สุดในรอบทศวรรษ หรือในรอบหลายสิบปีก็ว่าได้
และจนกว่าบาร์เซโลน่าจะพิสูจน์และเอาสามารถเอาชนะทีมชาติบราซิลได้ เมื่อนั้นย่อมไม่มีข้อสงสัยใดๆเลยว่า บาร์เซโลน่าคือทีมฟุตบอลที่ดีที่สุดในโลก
ความยิ่งใหญ่ของบาร์เซโลน่าในวันนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องบังเอิญหรือเป็นความประสงค์ของพระเจ้าองค์ใด
เช่นเดียวกับสไตล์การเล่นสปิริตของทีมล้วนแล้วแต่มีที่มาที่ไป ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวันวาน หรือเป็นเครดิตความสามารถของโฮเซฟ เป็ป กวาร์ดิโอล่าแบบเต็มๆ แต่เป็นสิ่งที่สั่งสมสืบทอดต่อเนื่องกันมาไม่ต่ำกว่า 30 ปี
พูดกันให้ชัดเจนแล้ว รากฐานความยิ่งใหญ่ของบาร์เซโลน่าในวันนี้ เริ่มต้นขึ้นด้วยมันสมอง วิสัยทัศน์บวกกับประสบการณ์และพรสวรรค์ความสามารถของเทวดาลูกหนังอย่างโยฮัน เคราฟ์ นักเตะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของทีมชาติเนเธอร์แลนด์
สิ่งสำคัญที่สุดประการหนึ่งที่ครัยฟ์ปูพื้นฐานให้แก่บาร์เซโลน่าคือปรัชญาการเล่นแบบ "Total football" รวมไปถึงการเน้นทั้งวิธีการและเป้าหมายควบคู่กัน นั่นคือ หากจะได้แชมป์ บาร์เซโลน่าจะต้องเล่นอย่างสวยงามมีศิลปะที่ทำให้ผู้ชมประทับใจ บาร์เซโลน่าไม่ยอมรับแนวคิด ugly win คือเน้นเอาชนะอย่างเดียวโดยไม่คำนึงถึงวิธีการ รูปแบบหรือสไตล์การเล่น
ในฐานะนักฟุตบอล โยฮัน เคราฟ์สามารถพาบาร์เซโล่น่าคว้าแชมป์ลาลีกาในปี 1974 เป็นครั้งแรกในรอบ 14 ปี
อีก 14 ปีต่อมา โยฮัน เคราฟ์กลับคืนสู่บาร์เซโลน่าในฐานะผู้จัดการทีม และสามารถนำสโมสรคว้าแชมป์ลาลีกาสี่สมัยติอต่อกันระหว่างปี 1991-1994 และแชมป์ยุโรเปี้ยนคัพ(หรือแชมป์เปียนลีกในปัจจุบัน) หนึ่งสมัย กลายเป็นผู้จัดการบาร์เซโลน่าที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ด้วยเกียรติประวัติรวม 11 แชมป์
แต่บาร์เซโลน่าในยุคสมัยนั้น หาได้เป็นทีมที่ได้รับการยกย่องให้เป็นทีมที่ยิ่งใหญ่ไร้เทียมทานอย่างแท้จริงเหมือนยุคสมัยของโฮเซฟ เป็ป กวาร์ดิโอล่าที่ใช้เวลาเพียง 3 ปีสามารถพาบาร์เซโลน่าคว้าสารพัดแชมป์รวม 10 แชมป์
เหนือสิ่งอื่นใดทั้งปวง บาร์เซโลน่าในยุคสมัยของกวาร์ดิโอล่าเป็นทีมที่ยิ่งใหญ่ไร้เทียมทานอย่างแท้อย่างจริง ว่ากันว่า เป็นทีมที่สมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่มนุษย์รู้จักเกมฟุตบอล
หรือว่าบาร์เซโลน่ากำลังทำให้วงการฟุตบอลยุโรปน่าเบื่อ(?) เพราะช่องว่างระหว่างบาร์ซ่าและทีมยักษ์ใหญ่อื่นๆมีช่วงห่างมากขึ้นๆ จนวิตกกันว่า ไม่มีทีมไหนที่สามารถต่อกรสู้กับบาร์เซโลน่าได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ
เหมือนในยามเฟื่องฟูในยุคสมัยไมค์ ไทสันแห่งวงการมวยยักษ์ที่ไร้คู่ต่อกรหาคู่ต่อต้านได้ยาก
เหมือนยุคสมัยโรเจอร์ เฟดเดอเรอร์ในวงการเทนนิสที่ขาดคู่แข่งที่เทียบเท่า
หรือเหมือนยุคสมัยของมิเชลล์ ชูมัคเกอร์แห่งวงการรถสูตรหนึ่งที่ไร้เทียมทาน
ในบันทึกประวัติศาสตร์แห่งความยิ่งใหญ่เกรียงไกรในวันนี้ของสโมสรบาร์เซโลน่า มีบุคคลหนึ่งที่มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่ทำให้ "วันนี้" ของบาร์เซโลน่าเป็นเหมือนเช่น "วันนี้" จริงๆ ที่ทำให้ทีมอื่นๆพากันอิจฉาชื่นชม
บุคคลนั้นชื่อ เอ็ดการ์ ดาวิดส์
หากจะอุปมาว่าโยฮัน เคราฟ์คือผู้วาง "เสาเข็ม" สร้างรากฐานให้กับบาร์เซโลน่า คงจะไม่เป็นการสรุปอ้างเกินความจริงที่จะกล่าวว่า เอ็ดการ์ ดาวิดส์คือผู้ "กดลิฟท์" ให้สโมสรแห่งนี้ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
จุดเริ่มต้นแห่งความไร้เทียมทานเริ่มขึ้นในเดือนมกราคม 2004 เมื่อเอ็ดการ์ ดาวิดส์ย้ายมาร่วมทีมกับบาร์เซโลน่าแบบสัญญายืมตัวจากยูเวนตุส
นักเตะคลาสระดับโลกอย่างดาวิดส์ตัดสินใจย้ายมาร่วมทีมแบบชั่วคราว สวนทางกับนักเตะคนอื่นๆที่ต่างพากันยี้พากันปฏิเสธไม่อยากย้ายมาร่วมทีมบาร์ซ่า
ย่อมเป็นที่เข้าใจกันได้ว่า ในช่วงเวลาที่กำลังตกต่ำอย่างสุดขีดนั้น ไม่มีนักเตะหน้าไหนกระเหี้ยนกระหือรืออยากย้ายมาร่วมชายรังด้วย
บาร์เซโลน่าห่างเหินตำแหน่งแชมป์มาตั้งแต่ปี 1999 และยิ่งปวดร้าวมากขึ้นเมื่อเห็นคู่รักคู่แค้นอย่างรีล แมดริดประสบความสำเร็จทั้งในระดับลาลีก้าและระดับยุโรป เมื่อตอนที่สโมสรแต่งตั้งแฟรงค์ ไรท์การ์ดให้เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ในปี 2003 หลายๆคนมีความหวังว่า นี่คือบุคคลที่จะสามารถนำทีมคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของประเทศได้เป็นครั้งแรกของสหัสวรรษใหม่
บาร์ซ่าเริ่มต้นครึ่งแรกของฤดูกาล 2003-2004 อย่างน่าผิดหวังเป็นที่สุด วิกฤติฟอร์มทำให้อันดับตกอยู่ในโซนอันตรายใกล้ตกชั้น ซ้ำร้ายยังถูกรีล แมดริดบุกมาคว้าชัยถึงในถิ่นได้เป็นครั้งแรกในรอบยี่สิบปี ถือเป็นเรื่องที่น่าอับอายขายหน้าเป็นที่สุด
ในสายตาของหลายๆคน ยกย่องบาร์เซโลน่าเป็นทีมที่สุดในรอบทศวรรษ หรือในรอบหลายสิบปีก็ว่าได้
และจนกว่าบาร์เซโลน่าจะพิสูจน์และเอาสามารถเอาชนะทีมชาติบราซิลได้ เมื่อนั้นย่อมไม่มีข้อสงสัยใดๆเลยว่า บาร์เซโลน่าคือทีมฟุตบอลที่ดีที่สุดในโลก
ความยิ่งใหญ่ของบาร์เซโลน่าในวันนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องบังเอิญหรือเป็นความประสงค์ของพระเจ้าองค์ใด
เช่นเดียวกับสไตล์การเล่นสปิริตของทีมล้วนแล้วแต่มีที่มาที่ไป ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวันวาน หรือเป็นเครดิตความสามารถของโฮเซฟ เป็ป กวาร์ดิโอล่าแบบเต็มๆ แต่เป็นสิ่งที่สั่งสมสืบทอดต่อเนื่องกันมาไม่ต่ำกว่า 30 ปี
พูดกันให้ชัดเจนแล้ว รากฐานความยิ่งใหญ่ของบาร์เซโลน่าในวันนี้ เริ่มต้นขึ้นด้วยมันสมอง วิสัยทัศน์บวกกับประสบการณ์และพรสวรรค์ความสามารถของเทวดาลูกหนังอย่างโยฮัน เคราฟ์ นักเตะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของทีมชาติเนเธอร์แลนด์
สิ่งสำคัญที่สุดประการหนึ่งที่ครัยฟ์ปูพื้นฐานให้แก่บาร์เซโลน่าคือปรัชญาการเล่นแบบ "Total football" รวมไปถึงการเน้นทั้งวิธีการและเป้าหมายควบคู่กัน นั่นคือ หากจะได้แชมป์ บาร์เซโลน่าจะต้องเล่นอย่างสวยงามมีศิลปะที่ทำให้ผู้ชมประทับใจ บาร์เซโลน่าไม่ยอมรับแนวคิด ugly win คือเน้นเอาชนะอย่างเดียวโดยไม่คำนึงถึงวิธีการ รูปแบบหรือสไตล์การเล่น
ในฐานะนักฟุตบอล โยฮัน เคราฟ์สามารถพาบาร์เซโล่น่าคว้าแชมป์ลาลีกาในปี 1974 เป็นครั้งแรกในรอบ 14 ปี
ทีมชาติเนเธอร์แลนด์ต้นตำหรับ Total football ที่ถูกนำมาเผยแพร่ จนเป็นรากฐานและหัวใจของบาร์เซโลน่า |
โยฮัน เคราฟ์ในฐานะกัปตันทีมบาร์เซโลน่า |
อีก 14 ปีต่อมา โยฮัน เคราฟ์กลับคืนสู่บาร์เซโลน่าในฐานะผู้จัดการทีม และสามารถนำสโมสรคว้าแชมป์ลาลีกาสี่สมัยติอต่อกันระหว่างปี 1991-1994 และแชมป์ยุโรเปี้ยนคัพ(หรือแชมป์เปียนลีกในปัจจุบัน) หนึ่งสมัย กลายเป็นผู้จัดการบาร์เซโลน่าที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ด้วยเกียรติประวัติรวม 11 แชมป์
แต่บาร์เซโลน่าในยุคสมัยนั้น หาได้เป็นทีมที่ได้รับการยกย่องให้เป็นทีมที่ยิ่งใหญ่ไร้เทียมทานอย่างแท้จริงเหมือนยุคสมัยของโฮเซฟ เป็ป กวาร์ดิโอล่าที่ใช้เวลาเพียง 3 ปีสามารถพาบาร์เซโลน่าคว้าสารพัดแชมป์รวม 10 แชมป์
เหนือสิ่งอื่นใดทั้งปวง บาร์เซโลน่าในยุคสมัยของกวาร์ดิโอล่าเป็นทีมที่ยิ่งใหญ่ไร้เทียมทานอย่างแท้อย่างจริง ว่ากันว่า เป็นทีมที่สมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่มนุษย์รู้จักเกมฟุตบอล
หรือว่าบาร์เซโลน่ากำลังทำให้วงการฟุตบอลยุโรปน่าเบื่อ(?) เพราะช่องว่างระหว่างบาร์ซ่าและทีมยักษ์ใหญ่อื่นๆมีช่วงห่างมากขึ้นๆ จนวิตกกันว่า ไม่มีทีมไหนที่สามารถต่อกรสู้กับบาร์เซโลน่าได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ
เหมือนในยามเฟื่องฟูในยุคสมัยไมค์ ไทสันแห่งวงการมวยยักษ์ที่ไร้คู่ต่อกรหาคู่ต่อต้านได้ยาก
เหมือนยุคสมัยโรเจอร์ เฟดเดอเรอร์ในวงการเทนนิสที่ขาดคู่แข่งที่เทียบเท่า
หรือเหมือนยุคสมัยของมิเชลล์ ชูมัคเกอร์แห่งวงการรถสูตรหนึ่งที่ไร้เทียมทาน
ในบันทึกประวัติศาสตร์แห่งความยิ่งใหญ่เกรียงไกรในวันนี้ของสโมสรบาร์เซโลน่า มีบุคคลหนึ่งที่มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่ทำให้ "วันนี้" ของบาร์เซโลน่าเป็นเหมือนเช่น "วันนี้" จริงๆ ที่ทำให้ทีมอื่นๆพากันอิจฉาชื่นชม
บุคคลนั้นชื่อ เอ็ดการ์ ดาวิดส์
หากจะอุปมาว่าโยฮัน เคราฟ์คือผู้วาง "เสาเข็ม" สร้างรากฐานให้กับบาร์เซโลน่า คงจะไม่เป็นการสรุปอ้างเกินความจริงที่จะกล่าวว่า เอ็ดการ์ ดาวิดส์คือผู้ "กดลิฟท์" ให้สโมสรแห่งนี้ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
จุดเริ่มต้นแห่งความไร้เทียมทานเริ่มขึ้นในเดือนมกราคม 2004 เมื่อเอ็ดการ์ ดาวิดส์ย้ายมาร่วมทีมกับบาร์เซโลน่าแบบสัญญายืมตัวจากยูเวนตุส
นักเตะคลาสระดับโลกอย่างดาวิดส์ตัดสินใจย้ายมาร่วมทีมแบบชั่วคราว สวนทางกับนักเตะคนอื่นๆที่ต่างพากันยี้พากันปฏิเสธไม่อยากย้ายมาร่วมทีมบาร์ซ่า
ย่อมเป็นที่เข้าใจกันได้ว่า ในช่วงเวลาที่กำลังตกต่ำอย่างสุดขีดนั้น ไม่มีนักเตะหน้าไหนกระเหี้ยนกระหือรืออยากย้ายมาร่วมชายรังด้วย
บาร์เซโลน่าห่างเหินตำแหน่งแชมป์มาตั้งแต่ปี 1999 และยิ่งปวดร้าวมากขึ้นเมื่อเห็นคู่รักคู่แค้นอย่างรีล แมดริดประสบความสำเร็จทั้งในระดับลาลีก้าและระดับยุโรป เมื่อตอนที่สโมสรแต่งตั้งแฟรงค์ ไรท์การ์ดให้เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ในปี 2003 หลายๆคนมีความหวังว่า นี่คือบุคคลที่จะสามารถนำทีมคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของประเทศได้เป็นครั้งแรกของสหัสวรรษใหม่
บาร์ซ่าเริ่มต้นครึ่งแรกของฤดูกาล 2003-2004 อย่างน่าผิดหวังเป็นที่สุด วิกฤติฟอร์มทำให้อันดับตกอยู่ในโซนอันตรายใกล้ตกชั้น ซ้ำร้ายยังถูกรีล แมดริดบุกมาคว้าชัยถึงในถิ่นได้เป็นครั้งแรกในรอบยี่สิบปี ถือเป็นเรื่องที่น่าอับอายขายหน้าเป็นที่สุด
ไรท์การ์ดเสี่ยงกับการถูกปลดออกจากตำแหน่งได้ในทุกเมื่อ เสียงเรียกร้องเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ แต่เหมือนโชคช่วย เพราะนักเตะที่ชื่อเอ็ดการ์ ดาวิดส์ กลายเป็น "เทพีฟอร์ทิวนา" ผู้นำโชคมาให้แก่ทีม
เพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆแค่ 6 เดือน ดาวิดส์ได้สร้างคุณูปการที่ยิ่งใหญ่และเปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์ของสโมสรบาร์เซโลน่าที่หลายๆคนคาดไม่ถึง ทำให้ทีมค้นพบตัวเองและเริ่มต้นเดินหน้าสร้างตำนานแห่งความเกรียงไกร
นับตั้งแต่นั้น บาร์เซโลน่าก็สร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์ต่างๆ มาครองได้ทั้งหมด และทีมชุดปัจจุบันได้รับยกย่องถึงขั้นว่าเป็นทีมฟุตบอลที่ดีสุดในประวัติศาสตร์โลกลูกหนัง
ความยิ่งใหญ่ของบาร์ซ่าในวันนี้ เริ่มต้นเมื่อมกราคม 2004 |
การย้ายเข้ามาแบบยืมตัวของนักเตะผิวสีเลือดผสมสุรินัมและยิวในช่วงกลางซีซั่นคนนี้ กลายเป็นจุดพลิกผันที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ของสโมสรก็ว่าได้ เพราะหลังจากนั้น บาร์เซโลน่ากลายเป็นอีกทีมหนึ่งที่ไม่เหมือนเดิม สามารถทะยานหัวจากตำแหน่งเกือบก้นตารางจนได้อันดับรองแชมป์เมื่อจบฤดูกาล
ดาวิดส์เป็น missing link ที่บาร์เซโลน่าหวนหามานาน กลายเป็นจิกซอร์ที่มีส่วนสำคัญช่วย "คลิ๊ก" ทำให้ระบบของบาร์ซ่าติดเครื่องนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทั้งๆที่ในเวลานั้น บาร์ซ่ามีโรนัลดินโญ่อยู่ในทีมแล้ว แต่ก็ไม่สามารถ "คลิ๊ก" สร้างโมเมนตัมให้กับทีมได้
สไตล์และหน้าที่ความรับผิดชอบของดาวิดส์แบบหมาบูลด๊อกที่กัดไม่ปล่อย ช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบา ทำให้กองหลังทำงานได้มั่นใจมากขึ้น ที่สำคัญที่สุด ทำให้ซาบี้ได้ทำในสิ่งที่ถนัดมากที่สุด คือจ่ายบอลและสร้างสรรค์โอกาสให้กับเพื่อนร่วมทีม และทำให้นักเตะคนอื่นๆได้มีโอกาสส่องประกายฉายแสงอย่างเต็มที่
ด้วยสไตล์กัดไม่ปล่อยทุ่มเทให้กับทีม |
ไม่มีคำว่าประนีประนอมสำหรับดาวิดส์ |
ดาวิดส์มีส่วนสำคัญที่สร้างพลังฮึกโหมให้เพื่อนร่วมทีม |
ดาวิดส์เป็น missing link ที่บาร์เซโลน่าหวนหามานาน กลายเป็นจิกซอร์ที่มีส่วนสำคัญช่วย "คลิ๊ก" ทำให้ระบบของบาร์ซ่าติดเครื่องนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทั้งๆที่ในเวลานั้น บาร์ซ่ามีโรนัลดินโญ่อยู่ในทีมแล้ว แต่ก็ไม่สามารถ "คลิ๊ก" สร้างโมเมนตัมให้กับทีมได้
ถึงจะเป็นนักเตะระดับโลกหมายเลขหนึ่ง แต่โรนัลดินโญ่ก็ยังไม่สามารถ "คลิ๊ก" บาร์เซโลน่าด้วยตัวเองได้ |
สไตล์และหน้าที่ความรับผิดชอบของดาวิดส์แบบหมาบูลด๊อกที่กัดไม่ปล่อย ช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบา ทำให้กองหลังทำงานได้มั่นใจมากขึ้น ที่สำคัญที่สุด ทำให้ซาบี้ได้ทำในสิ่งที่ถนัดมากที่สุด คือจ่ายบอลและสร้างสรรค์โอกาสให้กับเพื่อนร่วมทีม และทำให้นักเตะคนอื่นๆได้มีโอกาสส่องประกายฉายแสงอย่างเต็มที่
หากขาดซึ่งดาวิดส์ในวันนั้น ก็ไม่มีซาบี้ในวันนี้ได้ (?) |
เพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆแค่ 6 เดือน ดาวิดส์ได้สร้างคุณูปการที่ยิ่งใหญ่และเปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์ของสโมสรบาร์เซโลน่าที่หลายๆคนคาดไม่ถึง ทำให้ทีมค้นพบตัวเองและเริ่มต้นเดินหน้าสร้างตำนานแห่งความเกรียงไกร
เอกลักษณ์เฉพาะของเอ็ดการ์ ดาวิดส์ |
ลีลาและสไตล์ที่อาจจะไม่สวยงาม แต่เปี่ยมด้วยประสิทธิภาพ |
ในวันที่คว้าแชมป์ลีกสมัยที่ 19 อิริค คันโตน่าได้รับ การยกย่องให้เป็นผู้เปลี่ยนแปลงแมนเชสเตอร์ ยูในเต็ด แต่น่าเสียดายที่เอ๊ดการ์ ดาวิดส์ไม่ได้รับเกียรติเช่นเดียวกันนี้ |
เกียรติประวัติหนึ่งที่ดาวิดส์ได้รับจากบาร์เซโลน่า |
ความยิ่งใหญ่เกรียงไกรของบาร์เซโลน่าในวันนี้ คือผลงานปิดทองหลังพระของชายชือเอ๊ดการ์ ดาวิดส์ |
คงจะไม่เป็นการกล่าวเกินเลย หากจะบอกว่าความยิ่งใหญ่เกรียงไกรของบาร์เซโลน่าในวันนี้ เป็นหนี้บุญคุณดาวิดส์มากที่สุดคนหนึ่ง
เหมือนเช่นคำกล่าวที่ว่า ไม่มีดาวิดส์เมื่อวันวาน ไม่มีบาร์ซ่าให้เล่าขานในวันนี้
.