กรณีต่อมาก็คือกรณีของอียิปต์ซึ่งมีความน่าสนใจมากเป็นพิเศษ
ในแง่เปรียบเทียบกับกรณีของประเทศไทย(บทวิเคราะห์เฉพาะในเรื่องนี้จะนำเสนอในโอกาสต่อไป)
เพราะทั้งอียิปต์และไทยต่างก็มีเหตุการณ์การรัฐประหารเหมือนกัน
มีผู้ชุมนุมหลักล้านเป็นประวัติศาสตร์ ทูตอเมริกันทั้งในกรุงไคโรและในกรุงเทพต่างก็เป็นผู้หญิง
ทั้งคู่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในเรื่องท่าทีที่แทรกแซงกิจการภายใน(มากเกินไป)
และวางตัวไม่เป็นกลางให้เหมาะสมกับตำแหน่งเอกอัครราชทูต
อย่างไรก็ตาม มีประเด็นข้อแตกต่างหลายๆประการ
ที่ควรจะได้พินิจพิจารณาเปรียบเทียบ ดังนี้
หนึ่ง
คือความแตกต่างในช่วงระยะเวลาหรือวาระที่อยู่ในตำแหน่ง โดยปกติแล้ว
ทูตสหรัฐฯจะอยู่ในตำแหน่งประมาณสามปีและสามารถอยู่ต่อได้อีกหนึ่งปีตามความจำเป็นหรือเหมาะสม ในข้อเท็จจริง
ปรากฏว่า
ทูตสหรัฐฯประจำกรุงไคโรอยู่ในตำแหน่งสองปีหย่อนๆ (26 เดือน) เมื่อเทียบกับทูตสหรัฐฯประจำกรุงเทพ ซึ่งอยู่ในวาระนานถึง 47
เดือนหรือเกือบ 4 ปีเต็ม จนกลายเป็นทูตสหรัฐฯ(ประจำประเทศไทย)ที่อยู่ในตำแหน่งนานที่สุดในรอบ
20 ปี
ทั้งนี้
หากพิจารณาในรายละเอียดเพิ่มเติมจะเห็นได้ว่า
ทูตสหรัฐฯประจำกรุงไคโรพ้นจากตำแหน่งในเดือนสิงหาคม 2556 นั่นคือหนึ่งเดือนหลังจากอดีตประธานาธิบดีโมฮัมหมัด โมร์ซีซึ่งเป็นผู้นำคนแรกที่มาจากการเลือกตั้งในประวัติศาสตร์ของอียิปต์ถูกรัฐประหารโค่นล้ม
โดยอ้างเหตุผลว่าต้องไปรับตำแหน่งใหม่ที่สูงขึ้น (แต่ในอีกด้านหนึ่ง อาจตีความได้ว่าคือการประท้วงไม่ยอมรับรัฐประหาร?)
ในขณะที่ทูตสหรัฐฯประจำกรุงเทพกลับยังอยู่ในตำแหน่งต่อเนื่องไปอีกห้าเดือนกว่าหลังจากที่เกิดเหตุรัฐ
ประหารในเดือนพฤษภาคมจนหมดวาระอย่างเป็นทางการในเดือนพฤศจิกายน
ทั้งๆที่กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯสามารถเลือกแนวทางเดียวกับทูตสหรัฐฯประจำอียิปต์
โดยให้ทูตคริสตี้
เคนนีย์พ้นจากตำแหน่งแล้วไปรับตำแหน่งใหม่เร็วกว่านั้นก็อยู่ในวิสัยที่ทำได้