เช่นเดียวกับในวงการกีฬาฟุตบอล ด้วยเหตุว่า ชัยชนะเป็นสิ่งที่หอมหวลและพึงปรารถนาของทุกๆทีม และด้วยเหตุว่าฝีเท้าและความสามารถที่เหนือกว่าไม่ได้เป็นหลักประกันความมีชัยที่แน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์เสมอไป แต่ต้องอาศัยดวงและโชคให้ช่วยบ้าง ดังนั้น มนุษย์เราจึงเพียงพยายามในแต่ละหนทางที่เพื่อเป็นหลักประกันว่า อย่างน้อยที่สุดจะไม่พ่ายแพ้ และอย่างมากที่สุดคือชัยชนะ หนึ่งในนั้นก็คือการถือเคล็ดถือโชคในเรื่องสีเสื้อ
บราซิลเป็นทีมแรกๆในโลกลูกหนังที่ถือเคล็ดมีความเชื่อในเรื่องดวงของสีเสื้ออย่างชัดเจน การเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกครั้งแรกในปี 1950 นั้น บราซิลมุ่งหวังและมั่นใจอย่างสุดๆว่าจะคว้าแชมป์โลกครั้งแรกในประวัติศาสตร์แบบแบเบอร์ แต่สุดท้ายบราซิลก็ผิดพลาดแล้วผิดหวังไปทั้งประเทศ กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญสำหรับสีเสื้อของทีมชาติบราซิล
ผลแห่งความพ่ายแพ้ครั้งนั้น ทำให้เสื้อสีขาวที่ทีมชาติบราซิลสวมใส่กลายเป็นสีแห่งโชคร้าย เพราะนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา บราซิลได้เปลี่ยนสีเสื้อมาเป็นสีเหลืองที่กลายเป็นเอกลักษณ์ของบราซิลจนถึงปัจจุบันนี้ กลายเป็นเสื้อสีเหลืองที่ศักดิ์สิทธิที่สุดในโลกลูกหนังก็ว่าได้
ในประเทศอังกฤษเอง มีคนกว่า 15 ล้านคนที่มีความเชื่อในเรื่องเหนือธรรมชาติและถือเคล็ดถือดวง โทนสีขาวถูกเลือกให้เป็นสีแรกของทีมชาติสิงโตคำรามเมื่อปี 1872 และใช้ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันนี้ แต่ในช่วงระยะเวลา 142 ปีนี้ สีเหลืองถูกเลือกมาใช้น้อยที่สุดเพียงแค่ 3 แมทช์ (ในช่วงปี 1973) โดยไม่มีชัยชนะ จึงต้องถูกยกเลิกและไม่เคยปรากฏให้เห็นอีกเลย เพราะถือว่าไม่ใช่สีเสื้อนำโชค
ในทางกลับกัน การสวมใส่เสื้อสีแดงและเอาชนะเยอรมันตะวันตกจนคว้าแชมป์โลกสมัยแรก(ในปี 1966) ทำให้คนอังกฤษเชื่อว่า สีแดงคือสีนำโชค (นอกเหนือจากสถิติที่บ่งบอกว่าสโมสรที่สวมใส่เสื้อสีแดงประสบความสำเร็จมากที่สุดในประเทศ) และมักจะเลือกใส่สีแดงในเกือบทุกครั้งที่เจอกับทีมชาติอินทรีย์เหล็กเพื่อเป็นการฤกษ์เอาชัย แต่โชคไม่ได้เข้าข้างอังกฤษตามที่วาดหวังถือเป็นเคล็ดอีกเลยเพราะสถิติบ่งบอกเช่นนั้น อังกฤษพ่ายแพ้แก่ทีมเยอรมันตะวันตกในการแข่งขันฟุตบอลโลกที่เม็กซิโกในปี 1970, แพ้ในศึกฟุตบอลยูโร 1972, เสมอในฟุตบอลโลก 1982, ชนะเพียงครั้งเดียวในศึกยูโร 2000 (แต่ทั้งอังกฤษและเยอรมันก็ตกรอบแรกด้วยกันทั้งคู่), แพ้คาบ้านในสนามเวมบลีย์ในศึกฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกปี 2002 และล่าสุด แพ้อย่างย่อยยับในศึกครั้งสุดในฟุตบอลโลก 2010 จนคนอังกฤษถึงคราวต้องยอมรับว่า เสื้อสีแดงหมดความขลังไปตั้งแต่คว้าแชมป์ในปี 1966 แล้ว และเชื่อว่า ทีมอังกฤษคงจะเลิกล้มถือเคล็ดโชคสีแดงหากต้องเจอกับทีมเยอรมันในอนาคตก็เป็นได้
สีนำเงินเฉิดฉายเฉพาะวันกระชับมิตร |
อาร์เจนติน่าในชุดฟ้าขาวคือสีเสื้อที่คุ้นตาแฟนลูกหนังทั่วโลกมากที่สุด คว้าแชมป์โลก 2 สมัยในปี 1978 และ 1986 แต่ดูเหมือนว่า ลิโอเนล เมสซี่ จะมีดวงกับสีเสื้อสีน้ำเงิน(ชุดทีมเยือน)มากกว่า สถิติการการยิงประตูแรกในนามทีมชาติ สถิติการยิงประตูแรกในศึกฟุตบอลโลก สถิติการโหม่งทำประตูแรก การทำแฮกทริกแรก และได้รับปลอกแขนให้เป็นกัปตันทีมครั้งแรกล้วนเกิดขึ้นในแมทช์ที่เมสซี่ใส่เสื้อสีน้ำเงินเข้ม(ไม่ใช่ชุดเก่งสีฟ้าขาว) แต่ในขณะเดียวกัน ถึงแม้ว่า สีน้ำเงินเข้มนี้อาจจะถูกชะตากับเมสซี่ แต่ไม่ใช่สีถูกโฉลกกับทีมชาติอาร์เจนติน่าอย่างแน่นอน(เมื่อเทียบกับสีฟ้าขาว) เพราะในวันที่ใส่เสื้อสีน้ำเงิน อาร์เจนติน่าพ่ายแพ้ตกรอบควอเตอร์ไฟนัลให้ทีมเยอรมันในปี 2006 แพ้ต่ออุรุกวัยตกรอบแรกในศึกโคป้าอเมริกาปี 2011 และล่าสุด พ่ายแพ้ให้กับทีมเยอรมนีในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 2014
หลายๆทีมชาติมีเหตุผลและความเชื่อที่แตกต่างกันที่จะเลือกสีเสื้อประจำโดยไม่จำเป็นต้องเหมือน ตรงหรือปรากฏในธงชาติ โดยเฉพาะทีมยักษ์ใหญ่อย่างเยอรมนี อิตาลี เนเธอร์แลนด์และญี่ปุ่น ในส่วนของทีมอิตาลีนั้น ถือว่าเป็นทีมหนึ่งที่ยึดมั่นและผูกติดกับสีน้ำเงินมาตลอดกว่า 7 ทศวรรษโดยแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลง เพราะถือว่าเป็นสีที่ถูกโฉลกที่สุดแล้วที่ทำให้คว้าแชมป์โลกถึง 4 สมัย
ญี่ปุ่นเป็นอีกชาติหนึ่งที่เลือกสีเสื้อด้วยเหตุผลของความเชื่อและดวงเป็นหลัก ทีมชาติญี่ปุ่นประเดิมลงสนามในแมมช์แรกแห่งประวัติศาสตร์ลูกหนังของญี่ปุ่นในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิคปี 1938 ด้วยการใส่เสื้อสีน้ำเงินและสามารถเอาชนะสวีเดนได้ หลังจากนั้นสีน้ำเงินจึงถูกเลือกให้เป็นสีโฉลกประจำทีม Samurai Blue มาโดยตลอด
ด้วยเหตุนี้เอง จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่สุดที่ทำให้ มาเลเซียเลือกใส่เสื้อสีน้ำเงินในนัดชิงชนะเลิศนัดที่สองกับทีมชาติไทย แทนที่จะเป็นชุดสีเหลืองในฐานะเจ้าบ้าน ด้วยความเชื่อว่า โชคจะซ้ำรอยนำพาแชมป์มาให้มาเลเซียอีกครั้งเหมือนเช่นในปี 2010
ในขณะเดียวกัน ด้วยเหตุเป็นทีมเยือนที่ต้องยินยอมเสียสิทธิการเลือกสีเสื้อให้เจ้าบ้านก่อน ทีมชาติไทยก็แก้เคล็ดด้วยการเขียนบ่งบอก “เสื้อนี้สีนำเงิน” บนชายเสื้อสีแดง ราวกับตอกย้ำว่า once blue, blue forever ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ไหน และไม่ว่าเสื้อตัวนั้นสีอะไรก็ตาม แต่เสื้อตัวนี้ “สีน้ำเงิน” เสมอ
เหมือนเช่นการแก้เคล็ดของหลุยส์ อะราโกเนส อดีตยอดผู้จัดการทีมชาติสเปน ผู้ริเริ่มเปลี่ยนแปลงและทำให้ทีมกระทิงดุยิ่งใหญ่ไร้เทียมทาน เพราะเชื่อว่าสีเหลืองเป็นสีอับโชคเอามากๆ(ทั้งๆที่เป็นสีในธงชาติ) แต่เมื่อไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ จึงแก้เคล็ดโดยการเปลี่ยนโทนสีและเรียกว่าสีทองหรือสีคัสตาร์ค แทน ทีมชาติสเปนจึงไม่โชคร้ายหรือดวงเสียเพราะสีเสื้อเลย
นอกจากนี้ สโมสรอังกฤษทุกสโมสรที่มีคนไทยเข้าไปเกี่ยวข้องล้วนแต่เกี่ยวข้องกับสีน้ำเงินอย่างน่าบังเอิญ ตั้งแต่สโมสรเอฟเวอร์ตัน ที่มีบริษัทไทยเป็นสปอนเซอร์ รวมไปถึงสโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้, เลสเตอร์ และเรดดิ้ง ที่มีคนไทยเป็นเจ้าของ ล้วนแต่เป็นทีมสีบลูทั้งสิ้น
ประการสำคัญต่อมา มาเลเซียคงจะลืมดูประวัติศาสตร์ย้อนหลังว่า ชื่อของ “เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง” นั้นมีดวงที่ข่มมาเลเซียอยู่ในที เพราะเคยเป็นผู้ยัดเยียดความปราชัยให้แก่ทีมมาเลเซียในศึกไทเกอร์คัพครั้งที่ 1 นัดชิงชนะเลิศเมื่อปี 1996
เหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมดก็คือ ทีมชาติไทยโชคดีที่สุดที่ได้รับกำลังใจจาก “พ่อหลวง” กลายเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ที่สามารถพลิกกลับเอาชนะดวงของมาเลเซีย คว้าแชมป์เป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปีชนิดที่คนไทยมีความสุขปลื้มไปทั้งประเทศ
นอกจากนี้ สโมสรอังกฤษทุกสโมสรที่มีคนไทยเข้าไปเกี่ยวข้องล้วนแต่เกี่ยวข้องกับสีน้ำเงินอย่างน่าบังเอิญ ตั้งแต่สโมสรเอฟเวอร์ตัน ที่มีบริษัทไทยเป็นสปอนเซอร์ รวมไปถึงสโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้, เลสเตอร์ และเรดดิ้ง ที่มีคนไทยเป็นเจ้าของ ล้วนแต่เป็นทีมสีบลูทั้งสิ้น
ด้วยพระบารมีของ "พ่อหลวง" อย่างแท้จริง |
เหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมดก็คือ ทีมชาติไทยโชคดีที่สุดที่ได้รับกำลังใจจาก “พ่อหลวง” กลายเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ที่สามารถพลิกกลับเอาชนะดวงของมาเลเซีย คว้าแชมป์เป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปีชนิดที่คนไทยมีความสุขปลื้มไปทั้งประเทศ
'
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น