Arsène Who? - Moyes Why?

.

พลันที่บอร์ดผู้บริหารของสโมสรอาร์เซนอลประกาศแต่งตั้งอาร์แซง เวงเกอร์เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ในปี 1996 ก็ได้ก่อให้เกิดคลื่นกระแสช๊อกไปทั่วสนามไฮบิวรี่อย่างไม่มีใครอยากเชื่อกับหู (แต่อยากเห็นกับตา)

หนังสือพิมพ์ท้องถิ่น Evening Standard ประจำกรุงลอนดอน ถึงกับพาดหัวข่าวว่า “Arsène Who?” ในเชิงปรามาสว่า อาร์แซงเป็นใครกัน? หรือว่าจะมาจากกอไผ่?

หนักกว่านั้น ก็คือปฏิกิริยาของกัปตันทีมโทนี่ อาดัมส์ที่สบถได้อย่างเจ็บแสบในวันแรกๆ ว่า “Who the f**** is he?” เรียกว่าไม่มีความรู้สึก first impression หรือความประทับใจในตัวผู้จัดการทีมคนใหม่เอาเสียเลย ในสายตาของโทนี่ อาดัมส์ แล้ว อาร์แซงตัวผอมสูงแถมยังใส่แว่นตาเสียอีก ดูมีบุคลิกเป็นคุณครูมากกว่าจะเป็นผู้จัดการทีมฟุตบอล ไม่น่าจะรู้เรื่องเกมลูกหนังสักเท่าไหร่? 

ความรัก ความลำเอียงและความเป็นกลาง

.

ผลการศึกษาวิจัยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเกี่ยวกับความรักความลำเอียงของพ่อแม่โดยนักวิชาการสองฟากฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกออกมาตรงกันว่า พ่อแม่ล้วนแต่มี “ลูกรัก” และ “ลูกชัง” อยู่ในใจทั้งสิ้น

นักวิจัยอเมริกันแห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียพบว่า อย่างน้อยที่สุด กว่าร้อยละ 70 ของพ่อแม่มักจะมี “ลูกรัก” ที่รักมากกว่าลูกคนอื่นๆ ทั้งๆที่สืบสายเลือดเดียวกัน นักวิชาการเชื่อว่า หากพูดกันจริงๆแล้ว พ่อแม่ทุกคนล้วนแต่มีความรักที่ 2 มาตรฐานที่ให้กับลูกแต่ละคน

ความอ่อนไหวที่สุดระหว่างการเป็นลูกรักและลูกชัง

เช่นเดียวกับผลการวิจัยของนักวิชาการอังกฤษแห่งมหาวิทยาลัยบริสตอล ที่พบว่าพ่อแม่(โดยเฉพาะครอบครัวที่มีลูก 2 คน) มีท่าทีว่ารักลูกคนโตมากกว่าลูกคนเล็ก ลูกคนแรกจะได้รับความเอาใจใส่มากกว่า ได้รับการเลี้ยงดูที่ดีกว่า ได้รับรางวัลของขวัญที่มีราคาค่างวดมากกว่า เรียกว่าได้รับความรักความเสน่หาจากพ่อแม่มากกว่าลูกคนเล็ก ด้วยสาเหตุเหล่านี้ จึงส่งผลทำให้ลูกคนโตตัวสูงกว่า(อาจเป็นเพราะได้รับอาหารที่สมบูรณ์กว่า)และมีไอคิวมากกว่าลูกคนเล็ก(เนื่องจากได้รับความเอาใจใส่จากพ่อแม่อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องแบ่งให้พี่น้องคนอื่นๆ)

อาร์เซนัล - แพ้สีแพ้ทาง

อาร์เซนัลที่มยักษ์ใหญ่แห่งมหานครลอนดอนกลายเป็นทีมที่มักถูกล้อเลียนถากถางต่างๆนานา เพราะว่างเว้นไม่ได้แชมป์ติดต่อกันมาเป็นปีที่ 9 แล้ว

ความหวังหนึ่งเดียวที่หลงเหลือ ณ เวลานี้สำหรับฤดูกาล 2013-2014 ก็คือถ้วยเอฟเอคัพ ที่อาร์เซนัลจะเปิดศึกพบกับทีมวีแกนแชมป์เก่าที่เพิ่งตกชั้นจากพรีเมียร์ลีก

เทียบคลาสเทียบชั้นกันแล้ว อาร์เซนัลย่อมมีเหนือกว่าวีแกนอย่างเห็นๆ แต่สถิติบางอย่างก็มีเหตุมีผลที่ทำให้บรรดาแฟนๆของ “ปืนใหญ่” แห่งลอนดอนต้องวิตกกังวลกลัวจะเป็นจริงอีกครั้ง

วิแกน - ด่านขวางทางสำหรับอาร์เซนัล

ว่ากันว่า อาร์เซนัลเป็นทีมที่แพ้สีแพ้ทางทีมที่มีนิกเนมว่า Blues หรือใส่เสื้อสีโทนบลูไม่ว่าจะเป็นน้ำเงินหรือฟ้าก็ตาม หรือจะเรียกว่า ไม่ว่าอาร์เซนัลจะอยู่ในช่วงท๊อบฟอร์มมากแค่ไหน แต่เจอทีมสีบลูเมื่อไหร่เป็นเสร็จทุกที  ยิ่งสถิติการแข่งขันในฤดูกาลนี้ยิ่งตอกย้ำทฤษฏีนี้อย่างยากจะเห็นแย้งได้

ในการเจอทีมท๊อป 6 ในตารางพรีเมียร์ลีก นอกจากจะไม่สามารถเอาชนะ 3 ทีมบลูอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เชลซีและเอฟเวอตันได้แล้ว ซ้ำร้ายน่าอายขายหน้าเป็นที่สุด ที่ต้องถูกทั้ง 3 ทีมนี้ถล่มประตูอย่างเละเทะ 

แพ้แมน ซิตี้ 6-3  แพ้เชลซี 6-0 แพ้เอฟเวอร์ตัน 3-0 และเมื่อกลับมาแข่งในบ้านตัวเองก็ยังไม่สามารถเอาชนะทั้ง 3 ทีมนี้ได้เลย ราวกับว่า ดวงจะไม่สมพงศ์กับสีบลูจริงๆ จนทำให้หมดความหวังลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกไปอีกสมัยหนึ่งตามคาด

เรือใบสีฟ้า แมน ซีตี้ถล่มอาร์เซนัล 6-3

สิงห์โตน้ำเงินครามเชลซีถล่มอาร์เซนัล 6-0

ท๊อฟฟี่สีน้ำเงินครามเอฟเวอร์ตันถล่มอาร์เซนัล 3-0

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สถิติในช่วงเดือนธันวาคมปีที่แล้วก็น่าสนใจให้ครุ่นคิดสำหรับแฟนๆปืนใหญ่ไม่น้อย  เพราะเป็นช่วงที่ทีมอาร์เซนัลไม่สามารถเอาชนะทีมสีบลูติดต่อกันทั้ง 4 นัด 4 ทีมอย่างไม่น่าเชื่อ ตอกย้ำว่าสีบลูเป็นสีอาถรรพ์สำหรับอาร์เซนัลไปโดยปริยาย

8 ธันวาคม เสมอเอฟเวอตัน 1-1 ในศึกพรีเมียร์ลีก

11 ธันวาคม บุกไปแพ้ทีมนาโปลีถึงอิตาลี 2-0 ในศึกแชมป์เปี้ยนลีก

14 ธันวาคม ถูกแมน ซิตี้ถล่มเละเทะ 6-3

23 ธันวาคม เปิดบ้านทำได้เพียงแค่เสมอเชลซี 0-0

อาถรรพ์สีบลูยังคงหลอกหลอนทีมอาร์เซนัลอยู่ไม่คลาย ยิ่งหากมองย้อนดูสถิติที่ทีมอาร์เซนัลทำศึกใหญ่บอลถ้วย ณ สนามเวมบลีย์นับตั้งแต่เปิดใช้อีกครั้งในปี 2007 ก็ยิ่งทำให้หวั่นวิตกไม่น้อยกับอาถรรพ์สีบลูไม่น้อยเลย

ปี 2009 แพ้ทีมเชลซีในรอบรองชนะเลิศฟุตบอลเอฟเอคัพ และอีกสองปีต่อมายิ่งย่ำแย่หนักไปใหญ่ เพราะแพ้ให้กับทีมรองบ่อนอย่างเบอร์มิ่งแฮม ในรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลลาร์ลิ่งคัพ

 

ในวันทีอาร์เซนัลแพ้สิงห์บลูเชลซีปี 2009

ในวันทีอาร์เซนัลแพ้เบอร์มิ่งแฮมอย่างเหลือเชื่อ ปี 2011

ในนัดรอบรองชนะเลิศฟุตบอลเอฟเอคัพวันนี้ แฟนๆปืนใหญ่คงได้แต่ภาวนาว่า อาถรรพ์บลูจะอ่อนกำลังลง และสามารถเอาชนะทีมวิแกนผ่านทะลุเข้าไปชิงชนะเลิศถ้วยที่เก่าแก่ที่สุดในโลกลูกหนังได้ให้ชื่นใจบ้าง  
หรือว่าจะแพ้ทางสีบลูจนออกทะเลไปเลย

.

ทำไมคนจีนถึงรัก "ฟ้าหญิงสิรินธร"

.     มิตรสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีนมีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนาน นับตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตก เมื่อสองพันกว่าปีก่อน ก็เริ่มมีการส่งทูตไมตรีต่อกันแล้วจวบปัจจุบัน ไม่ว่าสากลโลกจะเกิดการเปลี่ยน แปลงประการใด ทั้งสองประเทศยังคงเป็นเพื่อนบ้านที่ดีและมิตรสหายที่ดี

สมเด็จพระเทพฯและเติ้งเสี่ยวผิง

            กล่าวได้ว่า บุคคลสำคัญที่มีส่วนทำให้ความสัมพันธ์ฉันมิตรเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างสอง ประเทศได้พัฒนาอย่างต่อเนื่องและใกล้ชิดขนาดนี้ ก็คือสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี พระองค์ทรงสร้างคุณูปการอันยิ่งใหญ่ต่อการกระชับความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่าง ไทย-จีน เพราะฉะนั้น ชาวจีนทั่วไปจึงคุ้นเคยกับการเรียกขานพระนามของพระองค์ว่า “ฟ้าหญิงสิรินธร” นับตั้งแต่ได้ทรงเสด็จเยือนประเทศจีนเป็นครั้งแรกในปี 2524

สมเด็พระเทพฯเมื่อคราเสด็จเยือนเมืองจีนในปี 2524

           ตั้งแต่วันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2524 “ฟ้าหญิงสิรินธร” ทรงเสด็จเยือนประเทศจีนเป็นครั้งแรกมาจนถึงปัจจุบันนี้ ช่วงระยะเวลาเพียงแค่ 33 ปี พระองค์ทรงเสด็จเยือนจีนได้ครบหมดทุกมณฑล ทั้งๆ ที่แผ่นดินจีนมีความกว้างใหญ่ไพศาล (แม้กระทั่งผู้นำจีนบางคนก็ยังทำไม่ได้คือไม่สามารถเดินทางไปครบทุกมณฑล) ตลอดระยะเวลา 33 ปี ทรงเสด็จเดินทางไปเยือนประเทศจีนถึง 36 ครั้ง ได้พบผู้นำจีนหลายต่อหลายท่าน ได้เห็นและได้เรียนรู้เกี่ยวกับจีนในหลายๆ ด้าน จนกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านจีน