การรอคอยที่ยาวนานกว่า 77 ปีของคนในเกาะอังกฤษสำหรับตำแหน่งแชมป์ชายเดี่ยววิมเบิลดันได้สิ้นสุดลงด้วยฝีมือของแอนดี้
เมอร์เรย์เลือดสก๊อต ก่อให้เกิดกระแสคลื่นชื่นมื่นเบิกบานไปทั่วทั้งเกาะ
ทั้งๆที่คลื่นฮีทในระดับ 32 องศาแผ่ปกคลุม
Kissory แห่งประวัติสาตร์ที่รอนานถึง 77 ปีกว่าจะสมหวัง |
แรงกดัน ณ
เวลานี้จึงเขยิบไปอยู่ที่ออสเตรเลียซึ่งได้ชื่อว่าเป็นชาติที่คลั่งไคล้กีฬามากที่สุดประเทศหนึ่ง
ประเทศที่ผลิตนักกีฬาระดับโลกหลายๆประเภท รวมทั้งเทนนิส แต่ไม่น่าเชื่อว่า นักหวดของออสเตรเลียนจะว่างเว้นแชมป์แกรนด์สแลมมานานโข
แรงกดัน ณ
เวลานี้จึงเขยิบไปอยู่ที่ออสเตรเลียซึ่งได้ชื่อว่าเป็นชาติที่คลั่งไคล้กีฬามากที่สุดประเทศหนึ่ง
ประเทศที่ผลิตนักกีฬาระดับโลกหลายๆประเภทรวมทั้งกีฬาเทนนิส
แต่เป็นเรื่องเศร้าที่วันเวลาผ่านพ้นมา
37 ปีแล้ว ที่ยังไม่มีนักหวดออสซี่คนใดสามารถสร้างเกียรติยศคว้าแชมป์แกรนด์สแลมรายการออสเตรเลี่ยนโอเพ่นในบ้านได้เลย
ฝันของเลย์ตัน ฮิววิตต์ที่สั้นเหลือเกิน |
เมื่อ 10 ปีที่แล้ว
ออสเตรเลียเกือบมีความหวังที่เรียกว่าเป็นความหวังที่ใกล้ความเป็นจริงที่สุดในรอบ
3 ทศวรรษ นั่นคือความหวังในตัวเลย์ตัน ฮิววิตต์ที่สร้างประวัติศาสตร์เป็นนักเทนนิสเบอร์หนึ่งของโลกที่อายุน้อยที่สุด
ด้วยวัยเพียงแค่ 20 ปี
แต่น่าเสียดายที่เลย์ตัน ฮิววิตต์เป็นประเภทมาไวไปไว
เพราะประสบความสำเร็จถึงจุดพีคได้แชมป์ทั้งยูเอสโอเพ่นและวิมเบิลดันในช่วงวัย
20-21 ปี แต่หลังจากนั้น
กลายเป็นดาวโรยไปอย่างน่าเสียดาย
คลื่นลูกเก่าก็ค่อยๆซาซัดหายไปแบบไม่มีให้เหลือความหวังใดๆ
คลื่นลูกใหม่ก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะเกิดที่จุดประกายความหวังใหม่สูงสุดได้ นี่คือสิ่งที่เรียกว่าวิกฤติสำหรับวงการเทนนิสบ้านออสซีก็ว่าได้ ในปัจจุบันมีนักเทนนิสของออสเตรเลียนที่ติดในกลุ่ม
100 อันดับแรกเพียงแค่ 3 คนเท่านั้น
ณ เวลานี้ ออสเตรเลียทั้งฝากทั้งลุ้นความหวังไว้ที่นักเทนนิสเลือดโครเอเชียอย่างโทมิก
เบอร์นาร์ด มือหนึ่งของประเทศที่รั้งอันดับ 41 ของโลก
โนวิค เบอร์นาร์ค ฝันหนึ่งเดียวของเกาะออสเตรเลี่ยน |
ด้วยวัยเพียงแค่ 21 ปีพร้อมทั้งดีกรีแชมป์เยาวชนยูเอสโอเพ่นและออสเตรเลี่ยนโอเพ่น ชาวออสซีจึงมีเหตุผลว่า เบอร์นาร์คมีศักยภาพเป็นดาวเรืองให้คนทั้งประเทศได้ชื่นบานในเร็ววันเร็วปีนี้
วิกฤติขาดแคลนนักเทนนิส “ดาวเรือง”ระดับโลกลุกลามไปถึงฝรัุ่งเศส สหรัฐฯและสวีเดนอย่างน่าวิตก
แน่นอนที่สุดว่า
คนฝรั่งเศสก็เหมือนเช่นผู้คนในเกาะอังกฤษและเกาะออสเตรเลียนที่จะภาคภูมิใจเป็นที่สุด
หากมีนักเทนนิสเจ้าถิ่นคว้าแชมป์รายการเฟรนซ์โอเพ่น เพราะนับตั้งแต่ ยันนิค
โนอาห์นักหวดผิวสีทำได้เมื่อปี 1983 แล้ว ฝรั่งเศสก็ว่างเว้นที่จะเห็นความสำเร็จดังกล่าวนี้ติดต่อกันมา
30 ปีเข้าแล้ว
ยันนิก โนอาห์ในวันที่สร้างความยิ่งใหญ่บนเคย์คอร์ท |
ซองก้า : ความหวังที่ผ่านพ้นไปแล้วสำหรับชาวฝรั่งเศส |
ความหวังหนึ่งเดียวตอนนี้ก็คือโจ-วิลฟริด
ซองก้า มืออันดับ 8
ของโลกที่เคยทำได้ดีที่สุดก็คือรองแชมป์ออสเตรเลี่ยนโอเพ่น แต่สำหรับสำหรับเคลย์คอร์ทในปีนี้แล้ว
นักหวดผิวสีเลือดคองโกคนนี้เกือบทำให้คนฝรั่งเศสมีลุ้น
แต่ก็ทำได้ดีที่สุดและจบเพียงแค่รอบเซมิไฟนัลเหมือนที่เกย์ล
มองฟิลส์เคยทำได้เมื่อ 5 ปีก่อน
หากจะมองโลกในแง่ดีแล้ว
ถือว่าฝรั่งเศสโชคดีมีลุ้นมากกว่าทั้งออสเตรเลียหรือสหรัฐฯ ก็ว่าได้ เพราะใน 100
อันดับแรกของเอทีพีแล้ว มีนักหวดฝรั่งเศสติดอันดับโลกถึง 13 คน คนฝรั่งเศสจึงตั้งความหวังว่าหนึ่งในนั้นจะทำให้การรอคอยอันยาวนานกว่า
3 ทศวรรษสิ้นสุดลง
ในขณะที่ยักษ์ใหญ่มากๆอย่างสหรัฐฯ
ที่เคยผลิตนักเทนนิสสุดยอดของโลกมาโดยตลอดก็เจอวิกฤติที่ไม่แตกต่างกัน และดูเหมือนจะหนักหนากว่าประเทศอื่นๆจนกระเทือนฐานะ(อดีต)มหาอำนาจลูกสักหลาด
ถึงแม้ว่า การรอคอยของสหรัฐฯจะสั้นน้อยกว่าอังกฤษ ออสเตรเลียและฝรั่งเศสก็ตาม
ยูเอสโอเพ่น - แชมป์แรกและแชมป์เดียวของร๊อดดิกแต่เป็นแชมป์สุดท้ายของสหรัฐฯ(?) |
แอนดี้ ร๊อดดิช
คือนักหวดอเมริกันคนล่าสุดที่สามารถคว้าแชมป์ยูเอสโอเพ่นในบ้านได้อย่างสมศักดิ์ศรีมืออันดับหนึ่งของโลกเมื่อปี
2003
ร๊อดดิชถือเป็นความหวังสูงสุดของวงการเทนนิสอเมริกานับตั้งแต่ยุคของจิมมี่
คอนเนอร์ จอห์น แม๊คแอนโร อังเดร อกัสซี่ และพีท แซมพราส ร๊อคดิชทำสถิติเป็นนักหวดเบอร์หนึ่งของโลกที่อายุน้อยที่สุดของประเทศนับตั้งแต่ปี
1973
นักหวดสิงห์อีซ้าย - จิมมี คอนเนอร์ |
นักหวดอารมณ์ร้อนสุดๆ - จอห์น แม๊คแอนโร |
พีท แซมพราส - สุดยอดนักเทนนิสอเมริกันที่เก่งที่สุด |
อังเดร อกัสซี่ - นักเทนนิสเจ้าเสน่ห์ |
ใครจะเชื่อว่า โรเจอร์
เฟดเดอเรอร์จะกลายเป็นดาวเรืองที่ดับแสงจรัสของร๊อดดิชและความหวังของคนอเมริกันได้อย่างเด็ดขาด และร๊อดดิชกลายเป็นนักเทนนิสอเมริกันคนสุดท้ายที่คว้าแชมป์รายการแกรนด์สแลม
เรียกว่าเป็นหนึ่งทศวรรษที่วงการเทนนิสอเมริกันไม่มีแชมป์ใดๆให้ภูมิใจเลย เมื่อเทียบกับอดีตอันยิ่งใหญ่ที่นักหวดอเมริกันช่วยกันคว้าแชมป์แกรนด์สแลมตลอดช่วงระหว่างปี
1989-2003 ได้รวมกันถึง 28 แชมป์
โรเจอร์ เฟดเดอเรอร์ - สุดยอดนักเทนนิสที่เก่งที่สุดในประวัติศาสตร์ |
ถึงแม้ว่า จะมีนักหวดอเมริกันเพียงแค่ 2 คนติดอยู่ใน 50 อันดับแรกของโลก แต่ก็ไม่มีนักเทนนิสจากสหรัฐฯที่ติดอันดับท๊อบเท็นมาตั้งแต่ปี
2007 ไม่มีนักเทนนิสระดับดาวเรืองเป็นสตาร์ที่โลกเทนนิสรู้จักมักคุ้น ซ้ำร้ายกลายเป็นเพียงไม้ประทับแห่งวงการเทนนิสโลกไปอย่างน่าช้ำใจเป็นที่สุด
ในรายการวิมเบิลดันล่าสุด ต้องถือเป็นครั้งแรกในรอบศตวรรษเลยก็ว่าได้
ที่ไม่มีนักหวดอเมริกันผ่านเข้าสู่รอบ 3 ได้เลยแม้เพียงคนเดียว เป็นปรากฏการณ์ดาวโรยที่จอห์น
แม๊คแอนโรหรือคนอื่นๆ ยงหาคำตอบไม่ได้ว่าเป็นผลเนื่องมาจากเหตุผลใดกันแน่
ไม่รู้ว่าจะอีกนานแค่ไหนกว่าที่สตาร์อเมริกันจะเกิดและเจิดจรัสคว้าแชมป์ยูเอสโอเพ่นและแชมป์รายการแกรนด์สแลมอื่นๆให้วงการเทนนิสอเมริกาได้ภาคภูมิใจอีกครั้งสมกับฐานะอดีตมหาอำนาจลูกสักหลาดที่ยิ่งใหญ่เหลือหลาย
บจอห์น บอร์ค เจ้าของ 11 ชมป์แกรนด์สแลม |
สเตฟาน เอ๊ดเบิร์ก - เจ้าของแชมป์ 6 แกรนด์สแลม |
แม๊ค วิลันเดอร์ - เจ้าของแชมป์ 7 แกรนด์สแลม |
เช่นเดียวกับสวีเดนที่เคยผลิตนักเทนนิสดาวเรืองระดับโลกก่อนหน้านี้ในอดีต โลกเทนนิสต้องขอบคุณสวีเดนที่ผลิตสุดยอดนักเทนนิสระดับโลกอย่างบจอห์น
บอร์ก สเตฟาน เอ๊ดเบิร์กและแม๊ค
วิลันเดอร์ที่ช่วยกันคว้าแชมป์แกรนด์สแลมรายการต่างๆ รวมกันแล้วถึง 24
แชมป์อย่างชนิดที่ไม่มีนักเทนนิสชาติไหนทำสถิติเช่นนี้ได้
และนับตั้งแต่โธมัส
โจฮันส์สันคว้าแชมป์รายการออสเตรเลี่ยนโอเพ่นเมื่อปี 2002
ก็มีนักเทนนิสจากดินแดนพระอาทิตย์ไม่ตกดินอีกเลย เป็นทศวรรษแห่งดาวโรยของประเทศที่มีตำแหน่งแชมป์แกรนด์รวมกันมากที่สุดเป็นอันดับรองจากสหรัฐฯ
ซ้ำร้าย ณ ปัจจุบันนี้
ไม่มีนักเทนนิสจากสวีเดนคนใดที่จะสามารถสร้างความเกรียงไกรหรือสร้างความหวังใดๆให้กับประเทศได้เลย
สวีเดนไม่มีแม้กระทั่งนักเทนนิสที่ติดอยู่ใน500 อันดับเลย
น่าเสียดายว่า ปรากฏการณ์ดาวโรยที่เกิดขึ้นกับวงการนักเทนนิสของสหรัฐฯ
ออสเตรเลีย ฝรั่งเศสและสวีเดน ทำให้วงการลูกสักหลาดขาดเสน่ห์ไปมากโขทีเดียว
.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น