6 มิถุนายน 2556

เอฟวันบันลือโลก

.




            นอกเหนือจากมหกรรมกีฬาโอลิมปิคและฟุตบอลโลกแล้ว ว่ากันว่า รายการแข่งรถเฟอร์มูล่าวันหรือ F1 ถือเป็นรายการที่ประเทศต่างๆทั่วโลกปรารถนาใฝ่ฝันที่จะร่วมเป็นหนึ่งในสนามเซอร์กิต มากที่สุดก็ว่าได้
            F1 เป็นรายการที่มีผู้ชมทั่วโลกกว่า 500 ล้านคนซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงมากๆ  สำหรับเอเชียแล้ว F1 เป็นเมกะสปอร์ตที่มีเสน่ห์ดึงดูดให้หลงใหลมากที่สุด ทำให้ภาพพจน์ของประเทศดู เซ๊กซี่ ยิ่งขึ้น และมีพลังดึงดูดสร้างสรรค์ทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล


Formular One - ของแท้มีเพียงแค่สูตรเดียว

          
เสน่ห์ของเอฟวัน - ความมันส์ที่รอลุ้น


          ณ เวลานี้ ฝันของคนไทยกำลังใกล้จะเป็นจริง เมื่อการกีฬาแห่งประเทศไทย(กกท.) ได้ประกาศอย่างชัดเจนว่า ประเทศไทยกำลังจะมีชื่อปรากฏบนแผนที่ F1 ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า
การพิจารณาตัวอย่างของประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์รวมทั้งประเทศอื่นๆ น่าจะเป็นแนวทางและให้ข้อคิดที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยไม่น้อย สำหรับการเตรียมตัวเป็นเจ้าภาพรายการ F1
มาเลเซียสร้างประวัติศาสตร์เป็นประเทศแรกในอาเซียนที่จัดการแข่งขัน F1 ในปี 2542 และถือเป็นประเทศที่ 2 ในเอเชียต่อจากญี่ปุ่นยักษ์ใหญ่แห่งอุตสาหกรรมรถยนต์  เรียกว่าล้ำหน้าประเทศยักษ์ใหญ่อื่นๆในเอเชียอย่างจีน เกาหลีใต้ อินเดีย รวมทั้งสิงคโปร์และรัสเซีย  นอกจากนี้ มาเลเซียก็ได้ชื่อว่าเป็นประเทศมุสลิมประเทศแรกที่จัดรายการแข่งขันความเร็ว F1 เปิดทางให้ประเทศมุสลิมอื่นๆอย่างบาห์เรน ตุรกี และสหรัฐอาหรับอิมิเรตส์เจริญรอยตามในเวลาต่อมา
ความสำเร็จของมาเลเซียดังกล่าวยากจะเกิดขึ้นได้ หากไม่ใช่เป็นเพราะวิสัยทัศน์และแรงสนับสนุนอย่างเต็มสูบของอดีตนายกรัฐมนตรีดร.มหาเดร์ โมฮัมหมัด ผู้วางวิสัยทัศน์ “2020” ให้ประเทศก้าวสู่ความเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วภายในปี 2563  
ภายใต้วิสัยทัศน์ดังกล่าว  ดร.มหาเดร์ ต้องการสร้างความทันสมัยให้แก่ประเทศเพื่อพิสูจน์ให้โลกเห็นว่า มาเลเซียยอดเยี่ยมในหลายๆด้านเทียบเท่าประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ และปลูกฝังความคิดตามแนว นโยบายหรือม๊อตโต มาเลเซียทำได้

ตึกแฝดตั้งสูงตระง่านเสียดฟ้า

 
สนามเซปังเซอร์กิตสุดลูกหูลูกตาที่มาเลเซียภูมิใจมากๆ


ภายใต้วิสัยทัศน์และความทะเยอทะยานของดร.มหาเดห์  มาเลเซียสร้างตึกแฝดปิโตรนาสที่สูงที่สุดในโลก สร้างสนามบินกัวลาลัมเปอร์ขนาดใหญ่ สร้างสะพานปีนังขนาดยาวติดอันดับ สร้างเมืองราชการที่มีพื้นที่กว้างขวาง สร้างแบรนด์รถยนต์ประจำชาติ รวมทั้งผลักดันให้คนมาเลเซียเป็นชาติแรกในอาเซียนที่พิชิตยอดเขาเอฟเวอเรสต์
ด้วยสายตาที่กว้างไกล  ดร.มหาเดห์มองเห็นศักยภาพของการแข่งขัน F1 และเชื่อว่า F1 จะทำให้โลกเห็นศักยภาพของมาเลเซียจริงๆ  ด้วยเหตุนี้ จึงออกแรงผลักแรงดันจนทำให้มาเลเซียจัดแข่ง F1 ตั้งแต่ปี 2542 ติดต่อกันมาจนถึงปัจจุบันนี้  ทำให้คนมาเลเซียมีความมั่นใจและรู้สึกภูมิใจในความสำเร็จหลายๆด้าน 
ห่างออกไปเพียงแค่ 300 กิโลเมตรคือที่ตั้งของประเทศสิงคโปร์ คู่รักคู่แค้นแลคู่แข่งตลอดกาลของมาเลเซีย
สิงคโปร์เกาะเล็กๆที่เต็มไปด้วยความมั่งคั่งทั้งโภคทรัพท์และไอเดีย ถึงแม้จะเปิดตัวหลังมาเลเซียกว่า 9 ปี แต่สิงคโปร์เซอร์กิตกลับมีเสน่ห์มีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นกว่ามาเลเซียเซอร์กิตชนิดที่ว่าผู้นำมาเลเซียต้องอิจฉา
เล่ากันว่า ในการเสนอตัวเพื่อขอจัด F-1 นั้น ทีมงานของสิงคโปร์ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากอดีตนายกรัฐมนตรีลีกวนยูอย่างเต็มที่ ไม่ได้มีแนวคิดเรื่องการจัดการแข่งขันในช่วงเวลากลางคืนเลย  เพียงแต่เสนอขอจัดแบบ street circuits หรือบนถนนในเมืองเหมือนเช่นสนามโมนาโก


ถนนที่ถูกปรับให้เป็นสนามแข่ง

เสน่ห์ของไนซ์เรซที่ต้องแข่งขันในยามค่ำคืน


 แต่เหมือนโชคช่วย เมื่อบอสใหญ่ของ F1 คือ เบอร์นี เอ็คเคิลสโตนจุดประกายและเสนอให้สิงคโปร์จัดแข่งขันในช่วงเวลากลางคืน ด้วยเหตุผลทางธุรกิจเป็นสำคัญ เนื่องจากฐานของผู้ชมรายการนี้ส่วนใหญ่อยู่ในยุโรป หากจัดแข่งขันในช่วงเวลากลางคืนในสิงคโปร์ก็จะตรงกับช่วงบ่ายๆในยุโรปที่ถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด 
ต้องยอมรับว่า รายการ F1 ที่สิงคโปร์นั้นถือว่าโดดเด่นมากเป็นพิเศษ  หนึ่ง ถือเป็นรายการแรก(และเพียงรายการเดียว)ในประวัติศาสตร์ของการแข่งขัน F1 ที่จัดแข่งขันในเวลากลางคืน สอง ถือเป็นการแข่งขันบนท้องถนนสนามแรกในเอเชีย และ สาม สิงคโปร์เซอร์กิตเป็นสนาม F1 เพียงแห่งเดียวในเอเชียที่ใช้ระบบขับทวนเข็มนาฬิกา ซึ่งถือเป็นงานยากแต่ท้าทายสำหรับนักขับ
ตั้งแต่แรกเริ่ม สิงคโปร์วางตำแหน่งให้เป็น โมนาโกแห่งเอเซีย  การจัดการแข่งขันในเวลากลาง คืนของสิงคโปร์ พูดได้ว่าสมบูรณ์ลงตัวมากๆสำหรับทั้งนักขับ ผู้ชมขอบสนามและผู้ดูทางบ้าน ทำให้สิงคโปร์กลายเป็นสนามที่มีเสน่ห์มากๆ และเป็นที่ชื่นชอบของบรรดานักขับ เพราะถือเป็นความท้าทายที่ต้องแข่งกลางคืน (ถึงแม้จะมีไฟที่สว่างจ้าเหมือนเช่นกลางวันก็ตาม)

เสน่ห์ของสนามโมนาโก - ความท้าทายที่นักขับทุกคนใฝ่ฝัน


ถึงแม้ว่าสิงคโปร์จะเริ่มต้นช้ากว่ามาเลเซียเกือบหนึ่งทศวรรษ แต่ปัจจุบันและอนาคตของสิงคโปร์เซอร์กิตกลับสดใสยิ่งกว่า ว่ากันว่า โอกาสที่มาเลเซียจะได้รับการต่อสัญญาและมีโอกาสจัดแข่ง F1 หลังปี 2558 มีน้อยมากถึงแม้ดร.มหาเดห์จะออกโรงผลักดันด้วยตนเองก็ตาม  ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่า สนามเซปังเซอร์กิตที่ใกล้สนามบินเริ่มหมดมนต์ขลัง นอกจากนี้ การได้รับเลือกให้เป็นสังเวียนประลองความเร็วติดต่อ กันมายาวนานถึง 16 ปีก็นับว่านานเกินเพียงพอแล้ว กอปรกับคนมาเลเซียเริ่มให้ความสนใจรายการนี้น้อยลงๆ  อนาคตของมาเลเซียเซอร์กิตจึงอยู่ในช่วงขาลงที่คนมาเลเซียต้องทำใจรับสภาพ
แต่ในขณะที่สิงคโปร์มีโอกาสสูงมากที่จะได้ต่อสัญญาภายหลังปี 2560 ตราบเท่าที่ไม่มีคู่แข่งที่มีจุดเด่นจุดขายในระดับระนาบเดียวกัน นอกจากนี้ สิงคโปร์(จะ)เป็นแหล่งระดมทุน 3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ของบริษัท CVC Capital Partners ผู้ถือหุ้นใหญ่ในฟอร์มูล่าวัน ก็ยิ่งทำให้โอกาสของสิงคโปร์ในระยะยาวมีมากขึ้นตามไปด้วย
ในกรณีของประเทศไทยนั้น สิ่งแรกที่ควรต้องกล่าวถึงก็คือ ประเทศไทยจะมีโอกาสได้รับเลือกให้เป็นสนาม F1 ในปี 2558 ตามที่ กกท.ระบุไว้หรือไม่?
โดยข้อเท็จจริงแล้ว ต้องยอมรับว่า มีโอกาสเป็นไปได้น้อยที่จะเห็นมาเลเซีย สิงคโปร์และไทยถูกบรรจุอยู่ในตารางการแข่งขันประจำปี 2558 พร้อมๆกันทั้ง 3 ประเทศ เพราะอาเซียนเล็กเกินกว่าที่จะมี 3 เซอร์กิตในปีเดียวกัน แตกต่างจากเอเชียตะวันออก เนื่องจากญี่ปุ่น จีนและเกาหลีใต้ล้วนแต่เป็นประเทศใหญ่ที่มีศักยภาพสูงกว่ามาก
ด้วยเหตุนี้ จึงมีโอกาสเป็นไปได้ว่า ประเทศไทยจะได้รับการพิจารณาให้เป็นหนึ่งในสนามแข่งในปี 2559 หลังจากที่หมดยุคของมาเลเซียแล้ว
ปัญหาต่อมาก็คือว่า ข้อเสนอของฝ่ายไทยนั้น ถือว่า unique หรือมีคุณลักษณะพิเศษที่โดดเด่นแล้วหรือยัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากเรายึดแนวทางจัดการแข่งขันแบบแบบ city race หรือบนถนนในเมืองแล้ว เรามีเสน่ห์ความโดดเด่นเทียบเท่าโมนาโกหรือสิงคโปร์หรือไม่


ความฝันของเอฟวันบนเส้นทางราชดำเนิน - เป็นได้เพียงแค่ขับโชว์



แน่นอนที่สุดว่า หากเส้นทางรอบเกาะรัตนโกสินทร์ได้รับเลือกให้เป็นสนามแข่ง F1 จริง ผู้ชมทั่วโลกก็จะเห็นภาพวัดพระแก้วและพระบรมมหาราชวังที่สวยงามเป็นเอกลักษณ์ไทย โดดเด่นยิ่งกว่าสถาปัตย กรรมยุคใหม่บริเวณอ่าวมารีน่าของสิงคโปร์เป็นไหนๆ
แต่ในมุมมองของนักขับแล้ว  เส้นทางรอบเกาะรัตนโกสินทร์อาจจะไม่ได้มีลักษณะที่พิเศษมากๆหรือแตกต่างจากโมนาโกและสิงคโปร์จนเรียกว่าเป็นความท้าทายก็ได้  
ณ เวลานี้ ดูเหมือนว่าโอกาสความเป็นไปได้ของเส้นทางรอบเกาะรัตนโกสินทร์จะลดน้อยลงตาม ลำดับ เนื่องจากเสียงคัดค้านที่ดังขึ้นของผู้อยู่อาศัยในบริเวณดังกล่าว มิพักต้องพูดถึงตัวเลือกที่สองที่สามอย่างบริเวณศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะและเมืองทองธานี ที่หาความโดดเด่นหรือเสน่ห์ได้ยาก
สิ่งที่ทางกกท.และรัฐบาลรวมทั้งภาคเอกชนจะต้องพิถีพิถันมากเป็นพิเศษก็คือ การพิจารณาเลือกเส้นทางที่มีลักษณะ unique หรือโดดเด่นแตกต่างจากทุกๆสนามเซอร์กิตทั่วโลก ต้องถูกใจทั้งในมุมมองของนักขับและผู้ชมข้างสนาม และต้องเป็นสนามที่มีคุณสมบัติ 3 เอสครบถ้วนสำหรับนักขับ นั่นคือ ความเร็ว (speed) ความชำนาญ (skill) และความปลอดภัย (safety


ข้อเสนอหนึ่งที่จะทำให้ไทยแลนด์กรังด์ปรีซ์  มีเอกลักษณ์พิเศษที่เรียกว่าท้าทายสำหรับบรรดานักขับนักแข่งชั้นเซียนก็คือ การพิจารณาเส้นทางบริเวณ(หน้า)สนามบินสุวรรณภูมิ ด้วยเหตุผลหลายๆประการ
หนึ่ง จุดเด่นหนึ่งของสนามสุวรรณภูมิก็คือทางยกระดับ(ระยะสั้นๆ) หากสามารถปรับแต่งให้เข้ากับมาตรฐานเซอร์กิต F1 แล้ว ก็จะทำให้สุวรรณภูมิเซอร์กิตมีความโดดเด่นมากๆ เพราะจะเป็นสนามแรกและสนามเดียวในโลกF1 ที่วิ่งบนทางด่วนหรือทางยกระดับ  เรียกว่าเป็นการสร้างจุดขายหรือเอกลักษณ์ของสนามสุวรรณภุมิ เหมือนเช่นการขับลอดอุโมงค์ความยาว 670 เมตรซึ่งถือเป็นไฮไลต์ของโมนาโกกรังปรีซ์   หรือการขับแข่งบนเส้นทางตรงที่ยาวมากๆและมีลักษณะเป็นเนินเขาของสนามเดอ สปา-ฟรองโกชองในเบลเยี่ยม
ถึงแม้ว่า ทั้งสองเซอร์กิตจะได้ชื่อว่าอันตรายมากๆเมื่อเทียบกับสนามอื่นๆทั่วโลก แต่เป็นสนามที่มีเสน่ห์และนักขับชื่นชอบ เพราะเต็มไปด้วยความท้าทาย เป็นสนามสร้างเซียน เฉพาะนักขับที่เก่งจริงๆจึงจะสามารถชนะได้ ว่ากันในทางเทคนิคแล้ว การประยุกต์ใช้ทางยกระดับเป็นสนามแข่ง ถือว่ามีอันตราย(ต่อนักขับ) น้อยกว่าทั้งสองสนามหากมีการพิจารณาออกแบบอย่างพิถีพิถันที่สุด
เพราะฉะนั้นแล้ว จะทำอย่างไรให้สุวรรณภูมิเซอร์กิตเป็นความฝันความท้าทายสำหรับนักขับเช่น เดียวกับสนามโมนาโก  ทำให้สุวรรณภูมิเซอร์กิตเป็นสนามที่มีครบทุกอย่างและมีในสิ่งที่สนามอื่นๆ ยังไม่มี   นับตั้งแต่การแข่งขันกลางคืน การขับทวนเข็มนาฬิกา ผ่านทางยกระดับ ทางแคบๆ ทางเลี้ยวหักศอก 90 องศารวมทั้งการสร้างอุโมงค์เพิ่มเติมก็สามารถทำได้ เพื่อทำให้สนามสุวรรณภูมิมีลักษณะ unique จริงๆ
           ทั้งนี้ การลงทุนปรับเพิ่มสนามแข่งสุวรรณภูมินี้ถือว่ามีความคุ้มค่าในทางเศรษฐกิจ เพราะสามารถเปิดใช้ได้ตลอดทั้งปีในช่วงเวลาอื่นๆนอกตารางการแข่งขัน และจะเป็นการเพิ่มเสน่ห์ให้กับสนามบินสุวรรณภูมิไปในตัวด้วย


ฉากหลังของสุวรรณภูมิเซอร์กิต

 
    
      เส้นทางยกระดับ - ความเป็นไปได้ของสุวรรณภูมิเซอร์กิต


เส้นทางบนทางยกระดับ - ความท้าทายที่รอให้เกิดขึ้น

สุวรรณภูมิเซอร์กิตจากมุมไกลที่มีแบ๊คกราวน์สวยเด่น


สอง นอกเหนือจากเส้นทางรอบเกาะรัตนโกสินท์แล้ว สนามสุวรรณภูมิน่าจะมีเสน่ห์มากกว่าตัว เลือกอื่นๆ ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด บริเวณสนามบินมีพื้นที่กว้างขวางพอที่จะปรับสภาพให้เป็นเซอร์กิตชั่วคราวสำหรับ F1 ได้  ซึ่งไม่มีปัญหาเรื่องเสียงอย่างแน่นอน  ในขณะเดียวกัน ก็ควรจะจัดงานมอเตอร์โชว์ที่ไบเทคบางนา(ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากสนามบิน) ให้สอดคล้องเป็นธีมเดียวกับ F1 เพื่อโปรโมตเทคโนโลยี่ยานยนต์ที่ล้ำสมัยที่สุด ตอกย้ำความเป็นดีทรอยต์แห่งเอเชีย หรือศูนย์กลางแห่งอุตสาหกรรมรถยนต์ด้วย
นอกจากนี้ ด้วยศักยภาพของแอร์พอร์ตลิงค์ ทำให้การคมนาคมขนส่งระหว่างใจกลางมหานครและสนามแข่งสะดวกมากๆ  รวมทั้งจุดขายทางวัฒนธรรม สถานที่ท่องเที่ยวและบรรยากาศยามค่ำคืนที่ไม่เคยหลับใหลของมหานครกรุงเทพฯ (ที่จังหวัดอื่นๆไม่มี) ค่าครองชีพที่ถูกกว่าเมืองที่จัด F1 ในประเทศอื่นๆ ย่อมเป็นจุดเด่นจุดขายดึงดูดนักท่องเที่ยวผู้ชื่นชม F1 ได้เป็นจำนวนหลักแสน (ตลอดช่วงระยะเวลา 1-2 เดือน) โดยเฉพาะนักธุรกิจระดับโลกที่จะถือโอกาสนัดมาพบปะเจรจาบรรลุดีลต่างๆในเทศกาลเอฟวันบันลือโลกนี้
ทั้งนี้  การปรับเส้นทางยกระดับและเส้นทางอื่นๆบริเวณด้านหน้าของสนามบินเพื่อใช้เป็นสนาม แข่งขัน (ชั่วคราว)นั้น ไม่น่าจะมีผลกระทบหรือขัดต่อกฏเกณฑ์ขององค์กรการบินระหว่างประเทศ เนื่อง จากเป็นการปิดเฉพาะเส้นทางบางส่วนเท่านั้น การเดินทางไปสนามบินยังสามารถทำได้ตามปกติทั้งในเส้น ทางรถยนต์และแอร์พอร์ตลิ้งค์
            กล่าวได้ว่า การได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในสนาม F1 ย่อมมีคุณค่ามีประโยชน์อย่างแน่นอนทั้งในทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ภาพพจน์ของประเทศตลอดจนผลทางจิตวิทยาที่มีต่อคนในประเทศ
            โอกาสของประเทศไทยได้มาถึงแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ณ เวลานี้ ทีม Red Bull ที่มีเซบาสเตียน เวทเทลแชมป์โลก 3 สมัยอยู่ในสังกัด  ถือเป็น ทุนแบรนด์ ที่สามารถสร้างความได้เปรียบให้แก่ประเทศไทย อย่างชนิดที่มาเลเซียและสิงคโปร์ต้องอิจฉา




.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

มอเตอร์ หรือ สติกเกอร์

เมื่อตอนที่ Real Madrid ทีมดังในสเปนตัดสินใจขาย Claude Makelele ให้กับทีม Chelsea แล้วซื้อ David Beckham มาแทนที่ในช่วงกลางปี 2003 ปรา...