ถึงแม้จะมีชีวิตที่หวือหวา
โด่งดังและอื้อฉาว เริ่มเป็นที่รู้จักในเมืองไทยตั้งแต่เมื่อสามทศวรรษที่แล้ว แต่ชื่อของ
“เอกยุทธ
อัญชันบุตร”
โด่งดังติดปากผู้คนในสังคม(การเมือง)ไทยมากที่สุดในปัจจุบันก็ตอนที่ออกมาเผยแพร่เรื่องราว
“ว.5 โฟร์ซีซั่นส์”
อันอื้อฉาวและลือลั่นเมื่อต้นปี 2555 และประกาศตัวพร้อมจุดยืนอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งว่าเป็นปฏิปักษ์กับฝ่ายของพ.ต.ท.ทักษิณ
ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 23 ของประเทศ
กลายเป็นชื่อ 1 ใน 5 “ยุทธ” ที่คนทั้งบ้านทั้งเมืองรู้จักกันดีในรอบ 5
ปีก็ว่าได้ นอกเหนือจากชื่อพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์, พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา, สรยุทธ
สุทัศนะจินดาและยงยุทธ วิชัยดิษฐ
ด้วยเหตุนี้ การเสียชีวิตของ
“เอกยุทธ
อัญชันบุตร” อย่างลึกลับอึมครึมน่าสงสัยจึงลือลั่นสนั่นบาง เป็นการเสียชีวิตที่ทำให้เกิดข้อสงสัยโยงใยกับการเมืองและสารพัดเรื่องอย่างกว้างขวางและเคลือบ แคลงเป็นที่สุด
เป็นที่โจษจันกล่าวขวัญไปทั่วว่า
“เอกยุทธ” ถูกฆาตกรรมอย่างซ่อนเงื่อนลับลมคมในคมนอกชวนให้ค้นหาคำตอบ
เขาคงไม่คาดและคิดว่า
การทานอาหารที่ร้านครัวกระแตย่านสะพานควายร่วมกับพรรคพวกคนคุ้นเคยรวม 5
คนจะกลายเป็นมื้อสุดท้ายในชีวิต.... ชีวิตที่กำลังย่างเข้าสู่วัย 55 ปีในเดือนนี้พอดิบพอดี
ชีวิตที่ไม่มีโอกาสฉลองวันครบรอบ 55 ปี |
ด้วยความที่เป็นลูกคนกลางของพี่น้องทั้งหมด 5 คน จึง(อาจ)ทำให้ “เอกยุทธ” มีชีวิตที่แปลกสมชื่อบิดา หลังจากจบ ม.ศ.5 ก็ใฝ่ฝันและดันทุรันจนสามารถไปเรียนต่อที่สหรัฐฯด้วยเงินทุนติดตัวเพียงแค่ 500 เหรียญ จนเมื่อสำเร็จการศึกษาในปี 2525 ก็เดินทางกลับมาเมืองไทยทำธุรกิจด้านการค้าการเงินจนเริ่มติดเพดานมีฐานะเป็นเศรษฐีคนหนึ่งของเมืองไทย
ตำนาน "แชร์ชาร์เตอร์" - "ตำนานเอกยุทธ" |
เมื่อย่างก้าวเข้าสู่วัยเบญจเพศ “เอกยุทธ”ก็ประสบกับชะตาเคราะห์กรรมครั้งใหญ่ การก้าวเดินพลาดด้วยธุรกิจ “แชร์ชาร์เตอร์” ที่กลายเป็นบาปติดตัวมาโดยตลอด ส่งผลทำให้ “เอกยุทธ” ต้องระหก ระเหินหนีออกนอกประเทศ และด้วยวัยหนุ่มเพียง 25 ปีก็แอบเดินทางกลับมาประเทศไทยพร้อมแผน การใหญ่ นั่นคือ เป็นนายทุน “น้ำเลี้ยง” ใหญ่ก่อการกบฏรัฐประหาร “กันยา 1985”
เอกยุทธในวัยเบญเพศกับความบ้าบิ่นในการเล่นเกม "รัฐประหาร" |
"เอกยุทธ" ถูำกประกาศจับในวัย 25 ปี |
ความล้มเหลวดังกล่าว ส่งผลทำให้ “เอกยุทธ” ต้องหนีตาย หนีคดีและลี้ภัยอยู่ในต่างประเทศนานถึงสองทศวรรษ เมื่อคดีหมดอายุความ “เอกยุทธ” จึงได้เดินทางกลับมาประเทศไทยด้วยวัย 45 ปีที่ดูสุขุมมากขึ้นกว่าเดิม แต่อารมณ์ความรู้สึกทางการเมืองกลับฝังรากลึกยิ่งกว่าเดิม
จากคนวัยหนุ่มเพียง 25 ปีที่หาญกล้าบ้าบิ่นร่วมทำรัฐประหาร สู่คนวัย 45
ปีที่ไม่สามารถเลือกเส้นทางและวิธีการเดิมได้อีกแล้ว
25 กันยายน 2547 คือวันที่ “เอกยุทธ” เริ่มต้นและเปิดตัวปราศรัยอย่างเป็นทางการในนาม“กลุ่มประชาชนเพื่อชาติและราชบัลลังก์” ให้สังคมไทยได้รับรู้ถึงจุดยืนและความคิดทางการเมืองของตัวเอง พร้อมทั้งเปิดตัวเวบไซต์ “thaiinsider” ด้วยเป้าหมายทางการเมืองเพื่อโค่นล้ม “ระบอบทักษิณ” จนถูกสั่งปิดถึงสองครั้ง (ในปี 2005)
ตลอดช่วงเวลา 5 ปีที่ผ่านมา เป็นที่ทราบกันดีในหมู่นักธุรกิจนักการเมืองว่า
โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์คือถิ่นประจำของ “เอกยุทธ” จนอาจเรียก “ไฟว์ซีซั่นส์” ก็คงไม่ผิด
หรือจะนับเป็นสัญญลักษณ์“เสาที่ 5” สำหรับฐานทางการเมืองของ
“เอกยุทธ” ก็ว่าได้
รถหรูสีแดงหมายเลข 55 |
ด้วยเหตุนี้ จึงไม่เป็นที่สงสัยว่า ทำไม “เอกยุทธ” จึงหาญกล้าและเป็นคนเดียวที่สามารถเปิดประเด็นฉาวทางการเมือง “ว.5 โฟร์ซีซันส์”
อย่างลือลั่นสนั่นวงการเมืองไทย
ในช่วงวันที่ 5 มิถุนายน หนึ่งวันก่อนที่จะถูกจับไปฆาตกรรมนั้น
“เอกยุทธ” ได้แสดงถึงจุดยืนทางการเมืองครั้งสุดท้ายอย่างชัดเจนว่า
“ผมยังไม่เคยเห็นใครบอกว่า..ไม่ให้ทักษิณกลับเมืองไทย..ไม่มีใครห้าม..มีแต่ ใครๆก็อยากให้กลับทั้งนั้น..แต่ที่พล่ามว่าอยากกลับแต่ไม่กล้ากลับมาเองก็เพราะหนีคุกอยู่ไงครับ..ปากกล้าขาวสั่นอยู่เมืองนอก
ทั้งๆที่มีขี้ข้าเป็นใหญ่เต็มบ้านเมือง มีน้องเป็นนายกฯ
..เหตุผลที่ไม่กลับไม่ใช่อะไรหรอกครับ..กลัวความจริงไง..”
ในขณะเดียวกัน การพูดถึง “หุ้นกลุ่มทักษิณร่วงเละ..55555” ก็เกิดผลตามมาในตลาดหลัก ทรัพย์จริงๆ หลังจากปรากฏข่าวว่าฝรั่งทุบหุ้นไทยขนเงินกลับประเทศร่วม 5 หมื่นล้าน
นอกจากนี้
ด้วยบุคลิกและจุดยืน(ทางการเมือง)เฉพาะตัว ทำให้มีพรรคพวกและเครือข่ายกว้างขวาง แต่ในอีกด้านหนึ่ง
ก็ทำให้ “เอกยุทธ” มีความขัดแย้งกับคนหลายกลุ่มหลายพวก
ทั้งคนการเมือง นักธุรกิจ ข้าราชการรวมทั้งนายตำรวจ ซึ่งล่าสุดก่อนเสียชีวิต ก็มีเรื่องมีราวเป็นข่าวฟ้องร้องพลตำรวจโทคำรณวิทย์
ธูปกระจ่างผู้บัญชาการตำรวจนครบาลกับพวกรวม 5 คน
การหายตัวไปอย่างลึกลับของ
“เอกยุทธ”
ในช่วงเวลาที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชากำลังเดินทางเยือน 5 มลรัฐในสหรัฐฯ กลายเป็นข่าวใหญ่หน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ จนนายชูวิทย์
กมลวิศิษฏ์โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ค “ชูวิทย์ I'm
No.5” แสดงความเห็นเหมือนกับรับรู้ชะตากรรมว่า
“สมัยผมถูกอุ้มไป
เขาปล่อยตัวมา คนหาว่าผม ‘อุ้มตัวเองง’ นี่ถ้าคุณเอกยุทธกลับมา คงจะเข้าทำนองเดียวกับผม แต่ถ้าหากครบ 5 วันแล้วยังไม่ได้กลับมา มั่นใจได้ว่าไม่ได้กลับมาแล้ว คงไปอยู่ใต้แม่น้ำ ฝังดิน
หรือถูกเผา คิดแล้วสยอง ข่าวยิ่งดังยิ่งไม่ได้กลับ ....ผมเกรงว่า คุณเอกยุทธ
อัญชันบุตร จะไม่ได้กลับมาอีกแล้ว”
5 วันภายหลังการหายตัวไป
ในที่สุด “เอกยุทธ” ก็ไม่ได้กลับมาจริงๆ
เมื่อตำรวจสามารถจับกุมคนขับรถผู้ร่วมก่อเหตุได้ ก่อนที่จะเปิดปากสารภาพและนำไปสู่การค้นพบศพของ
“เอกยุทธ”
ในสภาพที่เชื่อว่าเสียชีวิตมาแล้ว 5 วัน
ถึงแม้ว่าทางการตำรวจจะสรุปผลการถูกฆาตกรรมของ“เอกยุทธ”ว่าเป็นผลมาจากการมุ่งทรัพย์จำนวน 5 ล้านบาท
แต่ด้วยความเป็น “เอกยุทธ” ที่มีความคิด
ท่าที จุดยืน บทบาท และภาพทางการเมืองที่ชัดเจนบวกกับลักษณะของการถูกฆาตกรรม
จึงทำให้สังคมกังขาเกิดข้อสงสัยต่อการเสียชีวิตอย่างลึก ลับมีเงื่อนงำหลายๆประการ
ทำไมกลุ่มคนร้ายจึงต้องควบคุมตัว
“เอกยุทธ”
ต้องย้อนกลับไปที่บ้านพักตอน 5 ทุ่มจนเกือบพลาด?
ทำไม “เอกยุทธ” ซึ่งเชื่อกันว่ามีทรัพย์สินไม่ต่ำกว่า 5 พันล้านบาท จึงชะล่าใจปล่อยให้คนหนุ่มวัยเพียง
25 ปีมาทำหน้าที่เป็นคนขับรถก่อนจะพลาดท่า? และอีกสารพัด “ทำไม”
ข้อสงสัยหลายๆประการที่ทำให้คดีนี้มีเงื่อนงำและลึกลับนั้น
ส่วนหนึ่งกลายเป็นหน้าที่ของนายสุวัฒน์ อภัยภักดิ์และทีมทนายความทั้ง 5 คน
ที่ต้องพิสูจน์และค้นหาความจริงถึงมูลเหตุที่แท้จริงของการฆาตกรรมในครั้งนี้ ซึ่งดูเหมือนจะมั่นใจในข้อมูลว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังให้มีการ "อุ้ม" โดยเฉพาะการระบุว่าในวันที่
5 ก่อนที่จะถูกอุ้มหายไปนั้น “เอกยุทธ” ได้เปรยๆชื่อหนึ่งเหมือนเป็นลางที่กลายเป็นความจริงไปในที่สุด
ท้ายที่สุดแล้ว
ถึงแม้จะมีศัตรูค่อนข้างมาก แต่การเสียชีวิตของ “เอกยุทธ” ในสภาพเช่นนี้
ก็ย่อมทำให้สังคมช๊อกพอสมควร
ช๊อกในช่วงเวลาที่มีข่าวว่า
“รัฐบาลปู
5” กำลังจะเกิดขึ้น
.