PACIS TUTELA APUD JUDICEM - การส่งเสริมสันติภาพเป็นภาระหน้าที่ของผู้พิพากษา
เมื่อปลายปี พ.ศ.๒๕๕๓ ราชอาณาจักรกัมพูชาได้ยื่นคำร้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ
(ศาลโลก)ให้ตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารที่ศาลมีคำพิพากษาไปแล้วในปี พ.ศ.๒๕๐๕
พร้อมกับมีคำขอให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศออกมาตรการฉุกเฉินจำนวน ๓ ประการ ได้แก่
ประการที่หนึ่ง ให้รัฐบาลไทยต้องถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่พิพาทรอบปราสาทพระวิหารทันที
ประการที่สอง ห้ามรัฐบาลไทยเคลื่อนไหวทางการทหารที่มีผลกระทบต่อสิทธิของราชอาณาจักรกัมพูชา
ประการที่สาม ห้ามสร้างความขัดแย้งชายแดนจนกว่าศาลโลกจะตีความคำพิพากษาเสร็จสมบูรณ์
ซึ่งต่อมาเมื่อวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๕๔ ศาลโลกได้มีคำสั่งจำนวน
๗ ประการ โดยแยกเป็นคำสั่งมาตรการชั่วคราวจำนวน ๔ ประการ และคำสั่งทั่วไปจำนวน ๓
ประการ ได้แก่
คำสั่งมาตรการชั่วคราว(provisional measures order) จำนวน ๔ ข้อ ประกอบด้วย
หนึ่ง ให้ทั้งไทยและกัมพูชา
ถอนกำลังทหารออกจาก “เขตปลอดทหารชั่วคราว” (provisional
demilitarized zone) ทันที ตามร่างแผนที่(sketch map)ที่ศาลโลกได้กำหนด รวมทั้งห้ามทั้งไทยและกัมพูชาวางกำลังทหารในเขตหรือดำเนินกิจกรรมทางอาวุธใดๆที่มุ่งหมายไปยังเขตดังกล่าว
สอง ให้ไทยแต่เพียงฝ่ายเดียวไม่ให้ขัดขวางกัมพูชาในการเข้าถึงปราสาทพระวิหารอย่างอิสระ(free access)
รวมทั้งการส่งเสบียง (fresh supplies /ravitailler)ให้แก่เจ้าหน้าที่ที่มิใช่ทหารของฝ่ายกัมพูชาในปราสาทพระวิหาร
สาม ให้ทั้งไทยและกัมพูชาร่วมมือกันตามกรอบของอาเซียน
และต้องอนุญาตให้คณะผู้สังเกตการณ์จากอาเซียนสามารถเข้าไปยังเขตปลอดทหารชั่วคราวดังกล่าวได้
และ
สี่ ให้ทั้งไทยและกัมพูชาละเว้นจากกิจกรรมใดๆที่จะทำให้สถานการณ์ข้อพิพาทระหว่างกันเลวร้ายหรือรุนแรงมากขึ้น
หรือทำให้ปัญหาข้อพิพาทมีความยากลำบากยิ่งขึ้นในการที่จะแก้ไข
คำสั่งทั่วไป
จำนวน ๓ ข้อ ประกอบด้วย
หนึ่ง สั่งไม่จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
(ศาลโลกรับคดีนี้ไว้พิจารณา)
สอง ให้ทั้งไทยและกัมพูชาต้องรายงานให้ศาลโลกทราบถึงการปฏิบัติตามมาตรการชั่วคราวที่ศาลโลกสั่งทั้งสี่ประการ และ
สาม สั่งว่าศาลโลกยังคงสามารถพิจารณาประเด็นใดๆที่มีสาระเกี่ยวข้องกับมาตรการชั่วคราวต่อไปได้
จนกว่าศาลโลกจะมีคำพิพากษากรณีที่ทางกัมพูชาร้องขอให้ศาลโลกตีความตามคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร
พ.ศ.๒๕๐๕
โดยศาลโลกอาจเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขคำสั่งที่เกี่ยวกับมาตรการชั่วคราวที่ศาลโลกมีคำสั่งไว้ได้หากมีเหตุการณ์หรือข้อเท็จจริงใหม่
ที่ทั้งไทยและกัมพูชาหรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งร้องขอให้ศาลโลกพิจารณา
ทั้งนี้ ทั้งไทยและกัมพูชาก็ได้ปฏิบัติตามคำสั่งมาตรการชั่วคราวของศาลโลกโดยเฉพาะการถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่ที่ศาลโลกเรียกว่าเขตปลอดทหารชั่วคราว
ซึ่งเป็นพื้นที่ตามที่ปรากฏในร่างแผนที่ที่ศาลโลกได้กำหนด นั่นคือพื้นที่บริเวณโดยรอบตัวปราสาทพระวิหารและพื้นที่ใกล้เคียงบางส่วน ซึ่งโดยพื้นที่ส่วนใหญ่ที่อยู่ในร่างแผนที่ที่ศาลโลกกำหนดให้ถอนทหารจะอยู่ในเขตแดนของไทยและพื้นที่ส่วนน้อยจะอยู่ในเขตแดนของกัมพูชา
โดยการเจรจาและท่าทีที่เป็นมิตรต่อกันทั้งของกัมพูชาและไทยที่ผ่านมาก็ทำให้เห็นภาพความร่วมมือระหว่างสองประเทศดำเนินการไปด้วยดี
เขาพระวิหาร -อาถรรพ์แห่งความขัดแย้ง |
ในเดือนเมษายน พ.ศ.๒๕๕๖ ศาลโลกได้กำหนดวันนัดพิจารณาคดีดังกล่าวในศาลที่กรุงเฮก
ประเทศเนเธอร์แลนด์ ทางกัมพูชาก็จะมีการส่งทีมงานกฏหมายนำพยานหลักฐานเข้าสืบพิสูจน์เพื่อให้ศาลเห็นและมีคำสั่งหรือมีคำพิพากษาให้เป็นตามที่กัมพูชาร้องขอ
และในขณะเดียวกันไทยเราก็จะส่งทีมงานกฏหมายนำพยานหลักฐานเข้าสืบพิสูจน์หักล้างคำร้องขอของกัมพูชาเพื่อให้ศาลมีคำสั่งยกคำร้องของกัมพูชาและจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
ทีมงานกฏหมายไทยจะนำสืบหักล้างอย่างไรให้ศาลโลกเห็นพ้องด้วยกับฝ่ายเราจนศาลมีคำสั่งยกคำร้องของกัมพูชาและจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
ผู้เขียนเห็นว่ามีข้อพิจารณา ๔ ประการที่ทีมกฏหมายของไทยควรจะต้องให้ความสำคัญ ประกอบด้วย
ประการแรก ในปี พ.ศ.๒๕๐๕ การต่อสู้คดีปราสาทพระวิหาร
ฝ่ายไทยได้โต้แย้งคัดค้านเขตอำนาจศาลโลก(Preliminary Objection)ด้วย แต่เมื่อศาลโลกได้มีคำพิพากษาให้ฝ่ายกัมพูชาชนะคดีดังกล่าวซึ่งได้มีการวินิจฉัยชี้ขาดในเนื้อหาแห่งคดีแล้ว
ขั้นตอนหลังจากศาลโลกมีคำพิพากษาแล้ว(Post
Adjudicative Phrase)ไม่มีหน่วยงานที่จะทำหน้าที่บังคับคดีให้เป็นไปตามคำพิพากษา
(Enforcement Unit)โดยตรงเหมือนศาลยุติธรรมภายในประเทศ
แต่กฎบัตรสหประชาชาติ ข้อ ๙๔(๒) กำหนดให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ(UN
Security Council) มีดุลพินิจ(Discretion)
ในการที่จะออกคำแนะนำ(Recommendation) หรือมาตรการ (Measure) เพื่อให้คำพิพากษาศาลโลกมีผลใช้บังคับได้ เนื่องจากกฎบัตรสหประชาชาติ ข้อ ๙๔(๑)
บัญญัติให้ รัฐที่เป็นสมาชิกของสหประชาชาติจะต้องปฏิบัติตามคำพิพากษา ซึ่งคดีนี้ศาลโลกเองก็ไม่ได้มีการออกคำบังคับเพื่อให้มีการบังคับคดีให้เป็นไปตามคำพิพากษา(Enforcement) แต่ประการใด แต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยสมัยนั้นก็ได้มีหนังสือไปถึงเลขาธิการสหประชาชาติว่าไทยยอมรับที่จะปฏิบัติตามคำพิพากษาดังกล่าว
ซึ่งผลที่เกิดขึ้นเท่ากับว่าฝ่ายไทยยอมรับเขตอำนาจศาลโลกแบบคำประกาศฝ่ายเดียวหรือเป็นการปฏิบัติตามคำพิพากษาฝ่ายเดียว
(Single Compliance )ในเฉพาะคดีดังกล่าวเท่านั้น
และไทยเราก็ได้ปฏิบัติครบถ้วนตามที่ปรากฏในคำพิพากษาศาลโลกคดีดังกล่าวแล้วตั้งแต่ปี
พ.ศ.๒๕๐๕ ในฐานะสมาชิกที่ดีขององค์การสหประชาติ ซึ่งจนถึงขณะนี้ระยะเวลาก็ได้ล่วงเลยผ่านพ้นมาเป็นเวลากว่า
๕๐ ปีแล้ว
ประการที่สอง ภายหลังจากศาลโลกมีคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารโดยใช้หลักกฏหมายปิดปาก
(estoppel) ที่ศาลยกประเด็นว่าไทยไม่ได้โต้แย้งคัดค้านแผนที่ระวางอัตรา ๑ :๒๐๐,๐๐๐ ที่ฝรั่งเศสจัดทำขึ้นในสมัยที่กัมพูชาเป็นประเทศอาณานิคมของฝรั่งเศส มีผลเท่ากับว่าไทยยอมรับที่จะผูกพันตามแผนที่ดังกล่าวมาพิพากษาให้ไทยแพ้คดีแล้ว
ไทยก็ได้ให้การยอมรับปฎิบัติจนครบถ้วนตามคำพิพากษาของศาลโลกทุกประการในฐานะของสมาชิกสหประชาชาติที่ดี โดยยอมรับว่าเฉพาะตัวปราสาทพระวิหารตกเป็นของกัมพูชา
และรัฐบาลไทยในขณะนั้นก็ได้มีหนังสือเพื่อตั้งข้อสงวนสิทธิ์และดำเนินการล้อมรั้วลวดหนามรอบตัวปราสาทพระวิหารเพื่อกำหนดให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพื้นที่บริเวณภายนอกโดยรอบตัวปราสาทพระวิหารเป็นของไทย
และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทางรัฐบาลกัมพูชาก็ไม่เคยมีการอุทธรณ์คำพิพากษา
และไม่เคยโต้แย้งหรือท้วงติงว่าการกระทำดังกล่าวของไทยเป็นการละเมิดคำพิพากษาและเป็นการละเมิดอธิปไตยของกัมพูชาแต่ประการใด
พระวิหาร - เรื่องกลุ่มใจสุดๆของรัฐมนตรีต่างประเทศ |
การที่กัมพูชาไม่เคยอุทธรณ์คำพิพากษาคดี
ปราสาทพระวิหารและไม่เคยโต้แย้งหรือคัดค้านการล้อมรั้วลวดหนามรอบตัวปราสาท
พระวิหารเพื่อกำหนดให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพื้นที่บริเวณภายนอกโดยรอบตัว
ปราสาทพระวิหารเป็นของไทย
เพราะฉะนั้น
ผลทางกฏหมายก็เท่ากับว่าฝ่ายกัมพูชายอมรับมาตลอดแล้วว่าเฉพาะตัวปราสาทพระ
วิหารเป็นของกัมพูชาและพื้นที่โดยรอบตัวปราสาทพระวิหารเป็นของไทยมาโดยตลอด
ดังนั้น
หากคำพิพากษาศาลโลกมีมาตรฐาน หลักกฎหมายปิดปากที่ศาลโลกเคยใช้ในคดีดังกล่าวเมื่อปี
พ.ศ.๒๕๐๕ ก็(ควร)จะต้องถูกยกขึ้นมาอ้างอิงและใช้ในการวินิจฉัยคดีนี้ด้วยเช่นกัน
ประการที่สาม การแสดงให้เห็นว่ามีการยอมรับเขตอำนาจศาลโลก
สามารถกระทำได้ ๒ แนวทางคือ แนวทางแรก เป็นการยอมรับอำนาจเขตศาลแบบคำประกาศฝ่ายเดียว
และแนวทางที่สอง เป็นการยอมรับเขตอำนาจศาลแบบทำความตกลงเป็นพิเศษ(Special Agreement)
โดยรัฐที่เป็นคู่พิพาทยินยอมพร้อมใจหรือตกลงกันให้นำเสนอข้อพิพาทให้ศาลโลก
พิจารณาวินิจฉัยชี้ขาด
ปัจจุบันไทยไม่ได้เป็นภาคีสมาชิกของอนุสัญญาว่าด้วยศาลโลก
เพราะความเป็นภาคีสมาชิกของไทยสิ้นสุดลงพร้อมกับคำพิพากษาศาลโลกที่ตัดสิน
ให้ปราสาทพระวิหารตกเป็นของกัมพูชาในปี
พ.ศ.๒๕๐๕ แล้ว
หลังจากนั้นต่อมาจนกระทั่งถึงปัจจุบันไทยก็ยังไม่ได้เข้าเป็นภาคีสมาชิกของ
ศาลโลกอีก
และไทยก็ไม่ได้มีการแสดงให้เห็นว่า มีการยอมรับเขตอำนาจศาลโลก
ไม่ว่าจะเป็นการยอมรับอำนาจเขตศาลแบบคำประกาศฝ่ายเดียว
หรือเป็นการยอมรับเขตอำนาจศาลแบบทำความตกลงเป็นพิเศษ
ประการสุดท้าย การยื่นคำร้องของกัมพูชาครั้งนี้เพื่อให้ศาลโลกตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระ
วิหารที่เคยตัดสินไปแล้วในปี
พ.ศ.๒๕๐๕ ดังกล่าวจะถือว่าเป็นการเสนอข้อพิพาทขึ้นใหม่ของกัมพูชา
หรือเป็นการอุทธรณ์คำพิพากษา
ซึ่งจะเห็นได้ว่าประเด็นหลักที่ฝ่ายกัมพูชามุ่งประสงค์ให้ศาลโลกวินิจฉัยตาม
คำร้องคดีนี้นั้นเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับพื้นที่โดยรอบตัวปราสาทพระวิหาร
ไม่ใช่ให้วินิจฉัยชี้ขาดตัวปราสาทพระวิหารโดยตรง
ดังนั้นการยื่นคำร้องคดีดังกล่าวจึงไม่เป็นการอุทธรณ์คำพิพากษาเนื่องจากคดี
เดิมนั้นได้ล่วงพ้นระยะเวลามาเกินกว่าสิบปีแล้วและคดีดังกล่าวก็ได้ถึงที่
สุดไปแล้ว
และไม่ใช่เป็นการเสนอข้อพิพาทขึ้นใหม่เนื่องจากการยื่นคำร้องของกัมพูชา
ครั้งนี้เป็นเพียงการขอให้ศาลโลกอธิบายคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารที่เคยตัดสินไปแล้วในปี
พ.ศ.๒๕๐๕
ดังกล่าวว่า จริงๆแล้วคำพิพากษาคดีดังกล่าวกินความรวมถึงพื้นที่อื่นๆ(ตามร่างแผนที่แนบท้ายคำร้องของกัมพูชา)
ที่อยู่โดยรอบตัวปราสาทพระวิหารด้วยหรือไม่เท่านั้น ซึ่งการยื่นคำร้องขอให้ศาลอธิบายคำพิพากษาตามหลักกฏหมายทั่วไปจะกระทำได้ก็ต่อ
เมื่อคู่ความทั้งสองฝ่ายไม่เข้าใจคำพิพากษาและไม่รู้ว่าจะปฏิบัติอย่างไร
เพื่อให้ถูกต้องตามคำพิพากษาได้
และการยื่นคำร้องขอให้อธิบายคำพิพากษากรณีที่มีคู่ความทั้งสองฝ่ายคู่ความทั้งสองฝ่ายจะต้องเป็นผู้ยื่นคำร้องร่วมกัน
แต่คดีนี้ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องให้ศาลอธิบายคำพิพากษา
เนื่องจากคำพิพากษาในคดีดังกล่าวได้วินิจฉัยในเนื้อหาแห่งคดีโดยชัดแจ้งแล้ว
โดยทั้งไทยและกัมพูชาเข้าใจคำพิพากษาดีโดยไม่มีฝ่ายใดอุทธรณ์หรือโต้แย้งคัด
ค้านคำพิพากษาคดีดังกล่าวและไทยก็ได้ปฏิบัติการให้เป็นไปตามคำพิพากษาอย่าง
ครบถ้วนแล้วตั้งแต่ปี
พ.ศ.๒๕๐๕
ซึ่งกัมพูชาก็ยอมรับมาโดยตลอดและไม่เคยโต้แย้งหรือคัดค้านการล้อมรั้วลวด
หนามรอบตัวปราสาทพระวิหารเพื่อกำหนดให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเฉพาะตัวปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา ส่วนพื้นที่บริเวณภายนอกโดยรอบตัวปราสาทพระวิหารเป็นของไทย
หากศาลโลกจะวินิจฉัยในเรื่องของพื้นที่ดังกล่าวอีกก็จะไม่เป็นการอธิบายคำ
พิพากษาแต่จะเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดก้าวล่วงเข้าไปในเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่อง
เขตแดนโดยไม่มีกฏหมายที่จะให้อำนาจศาลโลกกระทำได้
พระราชวังสันติภาพ - สถานที่ตั้งของศาลโลก - คำตัดสินที่จะนำสู่สันติภาพ? |
การวินิจฉัยชี้ขาดคดีนี้ของศาลโลกจะเป็นตัวบ่งชี้ได้ว่า ศาลโลกจะเป็นศาลที่ส่งเสริมสันติภาพหรือส่งเสริมสงคราม
ซึ่งคงไม่นานเกินรอก็จะได้รู้กัน แต่ใครก็ตามที่ร่วมสมคบคิดกันใช้อำนาจศาลโลกเพื่อให้เกิดความชอบธรรมในการทำให้ไทยต้องเสียดินแดน
พึงระลึกให้จงหนักว่าการกระทำใดๆก็ตามถ้ามีผลให้มีการเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย
หรือมีผลให้ราชอาณาจักรหรือส่วนหนึ่งส่วนใดของราชอาณาจักรตกไปอยู่ใต้อำนาจอธิปไตยของรัฐต่างประเทศ
หรือทำให้เอกราช อธิปไตย และบูรณภาพแห่งเขตอำนาจรัฐเสื่อมเสียไป
จะเป็นการละเมิดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๕๐ มาตรา ๑ ที่บัญญัติว่า “ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวจะแบ่งแยกมิได้”
และอาจถูกดำเนินคดีอาญาในฐานความผิดต่อความมั่นคงของรัฐ
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๙
ที่บัญญัติว่า “ผู้ใดกระทำการใดๆเพื่อให้ราชอาณาจักรหรือส่วนหนึ่งส่วนใดของราชอาณาจักรตกไปอยู่ใต้อำนาจอธิปไตยของรัฐต่างประเทศ
หรือเพื่อให้เอกราชของรัฐเสื่อมเสียไป ต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต”
ได้ ซึ่งผู้เขียนและคนไทยทั้งประเทศมีหน้าที่ป้องกันประเทศ
รักษาผลประโยชน์ของชาติ และปฏิบัติตามกฏหมาย ก็คงไม่อาจนิ่งเฉยอย่างแน่นอน
แต่อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนและคนไทยทั้งประเทศยังมีความหวังและมีความเชื่อมั่นว่าไม่ว่าศาลโลกจะมีคำวินิจฉัยอย่างไร
แต่ด้วยศักยภาพของรัฐบาลในขณะนี้คงจะจัดการกับเรื่องดังกล่าวให้ลุล่วงไปได้ด้วยดีโดยไม่มีการสูญเสียอำนาจอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน
ในขณะเดียวกันเราก็สามารถที่จะปฏิสัมพันธ์กับกัมพูชา
มิตรประเทศอื่นๆและองค์การระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีเกียรติและศักดิ์ศรีต่อไป
อุดมศักดิ์ โหมดม่วง
อ่าน ""พระวิหารพิพาท : ฤาจะสู้เพื่อแพ้?
.