4 พฤษภาคม 2555

ในวันที่ City(ไม่)United

.




    เชื่อว่าในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้านี้ เมืองแมนเชสเตอร์จะต้องคึกคักเหมือนที่เคยเห็นป็นภาพคุ้นตาในเกือบทุกๆเดือนพฤษภาคมของแต่ละปี   
    สิ่งที่แน่นอนที่สุด ไม่ว่าจะเกิดแผ่นดินไหวที่ไหนหรือไม่ว่าจะเกิดการรัฐประหารที่ใด  แชมป์ถ้วยพรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนี้จะต้องอยู่ที่เมืองแมนเชสเตอร์อย่างแน่นอน
     ไม่ว่าบรรยากาศแห่งการฉลองแชมป์จะอบอวลไปด้วยสีฟ้าของแฟนแมนฯซิตี้ หรือ สีแดงของแฟนแมนฯยูไนเต็ดก็ตาม



ท่านเซอร์ฯ ถ้วยใบนี้ขอผมเถอะ


    
     ต้องถือเป็นครั้งแรกๆในประวัติศาสตร์ก็ว่าได้ ที่สองทีมร่วมเมืองแมนเชสเตอร์ต้องสู้ต้องลุ้นกับตำำแหน่งเกียรติยศสูงสุดของประเทศใบนี้
     สำหรับแมนเชสเตอร์ ซิตี้แล้วนี่คือการเปลี่ยนแปลงพัฒนาการครั้งยิ่งใหญ่นับตั้งแต่มหาเศรษฐี อาหรับเข้ามาซื้อทีมเมื่อสามสี่ปีก่อนพร้อมทุ่มงบมหาศาลจนกลายเป็นผู้ท้าชิงที่น่ากลัวที่สุดของทีมปีศาจแดงในปีนี้
     ณ เวลานี้ ว่ากันว่าแมนฯซิตี้จะได้แชมป์หรือไม่ก็อยู่กับฝีมือของตัวเองเท่านั้น  หากสามารถเอาชนะทั้งสองนัดสุดท้ายที่เหลือ ทีมเรือใบสีฟ้าก็จะเป็นแชมป์อย่างแน่อย่างนอน เบียดเอาคู่ปรับคู่แค้นอย่างปีศาจแดงให้ชอกช้ำแบบน่าเสียดายน่าเจ็บใจ



บางทีประตูโทนของวินเซนต์ กอมปานีลูกนี้อาจจะหมายถึงประตูแชมป์ก็ได้?


     แต่ในวงการฟุตบอล บางครั้งดวงก็เป็นเรื่องสำคัญและมีส่วนสำคัญอย่างไม่น่าเชื่อ
     เพราะถ้าเลือกได้ แมนฯซิตี้คงอยากสลับคู่แข่งสองนัดสุดท้ายกับแมนฯยูไนเต็ดอย่างแน่นอน เพราะสองนัดสุดท้ายที่จะชี้ชะตากับตำแหน่งแชมป์และรองแชมป์นั้น ดูเหมือนแมนฯยูไนเต็ดจะมี
ดวงทีดีกว่าได้เจอทีมที่มีแรงจูงใจน้อยกว่า เพราะแมนฯซิตี้ต้องเจอกับสองทีมที่ลุ้นอันดับ 4 เหมือนกันอย่างบังเอิญ ในขณะที่แมนฯยูไนเต็ดเจอกับทีมที่ไม่ได้มีแรงจูงอะไรเป็นพิเศษ
     นัดรองสุดท้ายในวันอาิทิตย์นี้ แมนฯซีตี้ต้องพบกับศึกหนักนัดชี้ชะตาแชมป์กับทีมนิวคาสเซิลทีมที่กำลังรอลุ้นเป็นอันดับ 4 จากหัวตาราง เพื่อสิทธิในการเข้ารอบไปแข่งฟุตบอลยูเอฟ่าแชมป์เปี้ยนลีกในฤดูกาลหน้า 




'ทักษิณ' ในวันเริงร่ากับแฟนๆเรือใบสีฟ้า


ในใจ 'อภิสิทธิ์' คงกำลังรอลุ้นให้นิวคาสเซิลจมเรือใบสีฟ้า



        
       คงต้องติดตามอย่างน่าสนใจว่า ทีมของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรกับทีมขวัญใจของ อดีตนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ เวชชาชีวะใครจะเข้าวิน
      บางที เราอาจจะได้เห็นอดีตผู้นำทั้งสองคนเกทับข้ามทวีปกันด้วยผลแพ้ชนะของฟุตบอลคู่นี้ก็เป็นได้
      นัดสุดท้ายของแมนฯซิตี้จะเปิดบ้านสนามเอธิฮัด สเตเดี้ยมที่เช่าจากเทศบาลเมืองแมนเชสเตอร์ เพื่อรอลุ้นว่าจะมีโอกาสได้ฉลองแชมป์ในบ้านหรือไม่ ซึ่งต้องขึ้นอยู่กับผลการแข่งขันกับทีมทหารเสือราชินีอย่างควีนปาร์ค แรงเจอร์  ทีมทีรอลุ้นอันดับ 4 จากท้ายตารางเพื่อให้รอดพ้นการตกชั้น 
       และที่ไม่ควรลืมก็คือว่า ในหลายๆครั้งหลายๆโอกาส ศิษย์เก่าโอลด์แทรฟฟอร์ดมีส่วนช่วยเสริมดวงให้กับทีมเก่าอย่างปีศาจแดงคว้าแชมป
       ซึ่งต้องดูว่า มาร์ค ฮิวส์ อดีตนักเตะเก่าของแมนฯยูไนเต็ด ที่ ณ เวลานี้ กุมบังเหียนเป็นนายใหญ่ของทีมควีนปาร์ค แรงเจอร์จะสามารถทำได้มากแค่ไหน  และขึ้นอยู่กับว่าฮิวส์จะพกพาอารมณ์ความหลังเดิมๆที่ถูกปลดออกจากทีมแมนฯซิตี้แบบยอมรับไม่ได้เพื่อพิสูจน์ตัวเองอีกหรือไม่
       อย่าลืมว่า ฮิวส์เคยทำได้มาแล้ว ในช่วงที่คุมทีมฟูลแล่มสามารถยันเสมอแมนฯซิตี้ถึงถิ่น เมื่อต้นปี 2011
      ถ้าทำได้อีกครั้งในปีนี้ กระแสคำขอบคุณจากโอด์ลแทรฟฟอร์ดจะหลั่งไหลไปถึงฮิวส์แบบไม่รู้จบ ทำให้ฮิวส์กลายเป็นฮีโร่อีกครั้งของแฟนๆปีศาจแดง
 
      

ไม่ต้องห่วงครับนาย

       ด้วยเหตุเพราะดวงของแมนฯซิตี้ต้องเจอกับทีมที่มีแรงฮึดแรงจูงใจเพื่อลุ้นอันดับ 4 จึงต้องถือว่าโชคไม่ดีนัก เพราะดวงเช่นนี้ อาจทำให้แมนฯซิตี้พลาดอดได้แชมป์พรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร
      ในขณะที่ทีมแมนฯยูไนเต็ดก็ใช่ว่า จะมีดวงดีขี่คู่แข่งร่วมเมืองจนสามารถคว้าแชมป์แบบเฉียดฉิวไปได้เสียทีเดียว เพระสองนัดสุดท้ายที่เจอกับสวอนซี และ ซันเดอร์แลนด์นั้น ก็มีความหมายบางอย่างที่ไม่อาจมองข้ามได้
     เพราะทั้งสวอนซีและซันเดอร์แลนด์คือสองทีมที่เคยยัดเยียดความปราชัยให้กับทีมแมนฯซิตี้มาแล้ว อย่างไม่น่าเชื่อ

      แต่เหตุการณ์ที่กำลังจะเำกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคม ปี 2012 กลับคลับคล้ายคลับคลากับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 1968 อย่างเหลือเชื่อ
      สำหรับแฟนบอลรุ่นแรกๆที่ยังไม่ถูกโรคอัลไซเมอร์รบกวน ก็คงอาจจะจำเหตุการณ์เมื่อ 44 ปีก่อนได้ไม่มากก็น้อย และเป็นเหตุการณ์ที่อาจจะทำให้แฟนๆของทีมแมนฯซิตี้ภาวนาให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย 
      ในการแข่งขันฟุตบอลดิวิชั่น 1 (ซึ่งถือเป็นลีกสูงสุดของอังกฤษในเวลานั้น) นัดสุดท้ายประจำฤดูกาลเมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 1968 เป็นนัดที่สำคัญที่สุดที่ชี้ชะตาว่าแมนฯซิตี้หรือแมนฯยูไนเต็ดใครจะเข้าวินคว้าชมป์ไปครอง นั่นเป็นครั้งสุดท้ายทีทั้งสองทีมร่วมเมืองแมนเชสเตอร์ต้องทำศึกจนถึงวันสุดท้ายเพื่อแย่งแชมป์ก่อนจะเกิดขึ้นอีกครั้งในฤดูกาลนี้





ประตูแรกของไมค์ ซัมเมอร์บีที่เปิดทางให้แมนฯซิตี้คว้าชัย 4-3 เหนือนิวคาสเซิล





ภาพแฟนๆเรือใบสีฟ้าที่วิ่งลงสนามเซนต์เจมส์ปาร์คฉลองแชมป์เมื่อปี 1968






        ณ เวลานั้น ทั้งสองทีมต่างมีคะแนนเท่ากัน โดยแมนฯซิตี้มีลูกได้เสียดีกว่าเหมือนเช่นในวันนี้ และที่บังเอิญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ  นัดสุดท้ายชี้ชะตา แมนฯซิตี้ต้องล่องเรือใบไปเยือนถิ่นนิวคาสเซิลด้วยเป้าหมายว่าชัยชนะคือแชมป์เีปี้ยนแน่นอนเช่นเดียวกับเหตุการณ์ในฤดูกาลนี้ ส่วนแมนฯยูไนเต็ดทำศึกกับซันเดอร์แลนด์ ด้วยเป้าหมายที่ต้องทำให้ได้ดีกว่าทีมปฏิปักษ์คู่เมือง   
         สุดท้ายแล้ว กลายเป็นแมนฯซิตี้ที่สามารถคว้าแชมป์ได้อย่างชนิดลุ้นจนตัวโกร่ง  ชัยชนะต่อนิวคาสเซิลในวันนั้นเพียงพอสำหรับตำแหน่งแชมป์ที่เป็นแชมป์ฟุตบอลลีกสูงสุดของประเทศครั้งล่าสุดของสโมสร  เพราะแมนฯยูไนเต็ดพ่ายแพ้ให้แก่ซันเดอร์แลนด์ไปแบบหมดลุ้น
       คงต้องรอลุ้นในอาทิตย์นี้ว่า สุดท้ายแล้ว ดวงใครจะแข็งกว่ากัน ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยหรือไม่  แมนฯซิตี้จะสามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ได้หรือไม่ หลังจากที่เฝ้ารอคอยมานานกว่า 44 ปี หรือว่าแมนฯยูไนเต็ดจะตอกย้ำความยิ่งใหญ่ด้วยการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก เป็นสมัยที่ 13 ได้หรือไม่   
       แต่ที่แน่ๆ ไม่ว่าใครจะเป็นแชมป์ เมืองแมนเชสเตอร์จะไม่เป็นหนึ่งเดียวอย่างแน่นอน




.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

มอเตอร์ หรือ สติกเกอร์

เมื่อตอนที่ Real Madrid ทีมดังในสเปนตัดสินใจขาย Claude Makelele ให้กับทีม Chelsea แล้วซื้อ David Beckham มาแทนที่ในช่วงกลางปี 2003 ปรา...