ถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ และ ถ้วยพระราชทานควีนส์คัพ |
เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพเป็นรายการแข่งขันฟุตบอลภายในประเทศที่สำคัญที่สุดที่จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นประจำทุกปีนับตั้งแต่ปีพ.ศ. 2511 และ(เคย)เป็นทัวร์นาเมนต์ที่คนไทยนิยมคลั่งใคล้ แห่แหนไปชมและเชียร์ทีมชาติไทยอย่างล้นหลามมือฟ้ามัวดิน เรียกว่าเป็นภาพประทับใจที่ได้เห็นกองเชียร์คนไทยร่วมใจเป็นหนึ่งเดียวเชียร์ทีมชาติไทย และเป็นภาพประทับใจที่คนไทยมีความสุขมากที่สุดช่วงหนึ่งในรอบปี
สีสันของฟุตบอลคิงส์คัพ |
แฟนบอลไทยรวมพลังหัวใจเดียวกัน |
"We are Thailand" |
แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กลับปรากฏว่าฟุตบอลคิงส์คัพกลายเป็นทัวร์นาเมนต์ที่ได้รับความสนใจน้อยลงตามลำดับ จนดูเหมือนว่า ไม่ได้รับความนิยมจากคนไทยมากเหมือนเช่นก่อนหน้านี้ สวนทางกับกระแสที่สังคมไทยกำลังนิยมเกมฟุตบอลเพิ่มขึ้นอย่างมาก มีผลทำให้มนต์ขลังของรายการที่เก่าแก่ที่สุดรายการหนึ่งของเอเชียลดด้อยลงไปกัน ทั้งในมิติด้านฟุตบอลและด้านสัญญลักษณ์
ในช่วงระยะเวลา 20 ปีแรก (พ.ศ.2511-2530) ทีมหลักๆที่เข้าร่วมแข่งขันเป็นประจำ มักจะเป็นทีมจากกลุ่มประเทศอาเซี่ยนและเกาหลีใต้ และในช่วงสองทศวรรษต่อมา (2531-ปัจจุบัน) ทีมที่ร่วมแข่งขันก็หลากหลายและมาจากทวีปอื่นๆมากขึ้น โดยเฉพาะทีมเดนมาร์ค นอร์เวย์ สวีเดนและญี่ปุ่น ที่สมควรต้องกล่าวถึงเป็นพิเศษ
ภาพความหลังเมื่อครั้งฟุตบอลคิงส์คัพอยู่ในหัวใจคนไทยชนิดว่า ไม่มีใครไม่รู้จักชื่อนิวัฒน์ ศรีสวัสดิ์ และดาวยศ ดารา |
ฟุตบอลคิงส์คัพคือจุดกำเนิดของดาวดังปิยะพงศ์ ผิวอ่อน |
เดนมาร์คแชมป์เก่าหลายสมัย |
ในสถานการณ์ปัจจุบันที่สังคมไทยมีความแตกแยกด้วยเหตุผลทางการเมืองเช่นนี้ เกมฟุตบอลควรจะได้รับการสนับสนุนมากขึ้น เพื่อเป็นเครื่องมือหนึ่งในการสร้างความสามัคคีและสร้างความสุขของคนในชาติ ประการสำคัญ การจัดการแข่งขันควรจะต้องพิจารณาทั้งในมิติด้านฟุตบอลและด้านสัญลักษณ์ควบคู่กัน
ในมิติทางด้านฟุตบอลแล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเชิญทีมยักษ์ใหญ่หรือทีมชั้นนำที่มีชื่อเสียงมาร่วมรายการ เพื่อเรียกศรัทธาและกระตุ้นความคลั่งใคล้ชนิดสนามแตกเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในอดีตให้กลับขึ้นมา และเนื่องจากเป็นรายการคิงส์คัพที่พิเศษสำคัญอย่างยิ่งสำหรับคนไทย (เหมือนเช่นถ้วยคิงส์คัพในวงการฟุตบอลสเปน) การพิจารณาเฉพาะเหตุผลทางด้านฟุตบอลเพียงด้านเดียวจึงไม่เพียงพอ แต่ควรต้องพิจารณามิติทางด้านสัญลักษณ์และการทูตควบคู่ด้วย เพื่อให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์หรือวัตถุประสงค์ของการริเริ่มจัดรายกายแข่งขันนี้เมื่อปี 2511 ซึ่งนั่นหมายถึง ความจำเป็นที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการจัดการเสียใหม่
ในวันที่สีแดงและสีเหลืองร่วมบ่าเคียงไหล่เพื่อสู้ศึกคิงส์คัพ |
ในวันที่เฮดโค๊ชชาวเยอรมันดูดีเป็นธรรมชาติที่สุด |
เสน่ห์ของฟุตบอลคิงส์คัพไม่แยกเหลืองแยกแดง |
การที่เดนมาร์คและนอร์เวย์ร่วมแข่งขันฟุตบอลคิงส์คัพ ณ เวลานี้ต้องถือว่าเป็นปรากฏการณ์ที่พิเศษ เพราะเป็นครั้งแรกๆในประวัติศาสตร์ฟุตบอลรายการนี้ ที่มีทีมแห่งราชอาณาจักรจากยุโรปร่วมแข่งขันพร้อมกันถึงสองทีม ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่สมาคมฟุตบอลฯควรจะยึดถือเป็นแนวทางในการเชิญทีมต่างๆเข้าร่วมแข่งขันในครั้งต่อๆไป
โดยสมาคมฯ ควรถือเป็นนโยบายที่จะเน้นเชิญทีมจากประเทศราชอาณาจักรที่มีสถาบันพระมหากษัตริย์ มีความใกล้ชิดกับราชวงศ์ไทยมาอย่างต่อเนื่องยาวนานและเป็นประเทศที่มีทีมฟุตบอลอยู่ในระดับชั้นแนวหน้าของวงการฟุตบอลโลก โดยเฉพาะอังกฤษ สเปน สวีเดน เดนมาร์ค เนเธอร์แลนด์ เบลเยี่ยม นอร์เวย์ ญี่ปุ่น รวมทั้งซาอุดิอาระเบีย (ซึ่งมีปัญหาทางการทูตอยู่) หมุนเวียนสลับกันไปในแต่ละปีๆละสองทีมตามความเหมาะสมและจำเป็น อย่างน้อยที่สุดเพื่อสะท้อนให้เห็นว่า นี่คือทัวร์นาเมนต์คิงส์คัพจริงๆ
ในกรณีของเดนมาร์คซึ่งถือเป็นทีมแห่งราชอาณาจักร “ขาประจำ” ของฟุตบอลคิงส์คัพนับตั้งแต่ปี 2531 และเข้าร่วมแข่งขันปีนี้ในช่วงเวลาที่เหมาะสมเป็นมงคลอย่างยิ่ง เพราะเป็นช่วงเวลาที่ประเทศเดนมาร์คกำลังเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสที่ควีนมาร์เกรเธอะที่ 2 เสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติครบ 40 ปี
นี่เป็นเรื่องที่แฟนบอลไทยและสมาคมฟุตบอลฯควรจะถือโอกาสนี้ร่วมเฉลิมฉลองแสดงความยินดี(ภายในสนามฟุตบอล) ต่อชาวเดนมาร์คและราชวงศ์ที่เก่าแก่ที่สุดในยุโรป
ในขณะเดียวกัน เงื่อนไขทางด้านช่วงเวลาก็ควรจะต้องมีการพิจารณาปรับตามความเหมาะสมและจำเป็นด้วย โดยปกติแล้ว การแข่งขันฟุตบอลคิงส์คัพกำหนดจัดขึ้นในช่วงเดือนธันวาคมของทุกๆปี เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองวันชาติเนื่องในโอกาสครบรอบวันสำคัญ “5 ธันวา มหาราช” ก่อนที่จะเปลี่ยนแปลงมาจัดในช่วงเดือนมกราคมตั้งแต่ปี 2553 ด้วยเหตุผลทางด้านฟุตบอล(?)
แต่เนื่องจากในช่วงระยะเวลาดังกล่าว (ไม่ว่าจะเป็นเดือนธันวาคมหรือมกราคม) หลายๆ ประเทศในยุโรปซึ่งได้ชื่อว่าเป็นประเทศมหาอำนาจลูกหนังที่คนไทยรู้จักและนิยมชื่นชอบยังอยู่ในช่วงของการแข่งขันฟุตบอลภายในประเทศ เพราะฉะนั้นแล้ว ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดที่จะทำให้การแข่งขันฟุตบอลคิงส์คัพเป็นรายการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและได้รับความนิยมจากคนไทยมากที่สุด(อีกครั้งหนึ่ง) ก็คือช่วงเดือนมิถุนายนหรือกรกฏาคมของทุกๆปี เนื่องจากเป็นช่วงระยะเวลาที่การแข่งขันฟุตบอลภายในประเทศของยุโรปปิดฤดูกาลแล้ว โอกาสที่ประเทศเหล่านี้จะส่งทีมชาติมาร่วมการแข่งขันฟุตบอลคิงส์คัพจึงมีโอกาสเป็นไปได้มากขึ้น
ในวันที่แฟนบอลไทยมีความสนุกสนานที่สุด |
ทำให้รายการฟุตบอลคิงส์คัพเป็นรายการที่ยิ่งใหญ่มีสีสันที่สุดในประเทศและภูมิภาคอาเซียน
ทั้งหลายทั้งปวง เพื่อให้สมกับพระเกียรติ “กษัตริย์แห่งแผ่นดินสยาม”ที่ได้ทรงโปรดเกล้าฯ พระราชทานถ้วยที่ทรงคุณค่าที่สุดของวงการฟุตบอลเอเชียมาร่วม 44 ปี และเพื่อเป็นการเทิดทูนพระเกียรติบารมีพระบาทสมเด็กพระเจ้าอยู่หัวตามเจตนารมณ์ของการริเริ่มจัดการแข่งขันรายการนี้ตั้งแต่เริ่มแรกอย่างแท้จริง
.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น