คลิกอ่าน
ดัทช์คอนเนคชั่น (ตอนที่ 1)
ดัทช์คอนเนคชั่น (ตอนที่ 2)
......................................................................................................................
ตำนานแห่งความสำเร็จของดัทช์คอนเนคชั่น ย่อมมีให้กล่าวถึงอยู่เสมอ และช่วงหนึ่งในประวัติศาสตร์แห่งความสำเร็จของทีมยักษ์ใหญ่อย่างเอซี มิลานและบาเยิร์น มิวนิคก็ ส่วนเกี่ยวข้องกับดัทช์คอนเนคชั่นอย่างชัดเจน
ก่อนหน้านี้ หลุยส์ ฟานกาลเป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์ส่วนหนึ่งของดัทช์คอนเนคชั่นในถิ่นแคมป์นูของบาร์เซโลน่า และเมื่อได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทีมบาเยิร์น มิวนิค ในปี 2009 ก็สร้างประวัติศาสตร์อีกครั้งหนึ่งกับทีมยักษ์ใหญ่แห่งเยอรมนี
มาร์ค ฟานบอมเมลเป็นนักเตะดัทช์เพียงคนเดียวในบาเยิร์น มิวนิคในช่วงเวลาที่ฟานกาลเข้ามาเป็นรับหน้าที่นายใหญ่ ถึงแม้ว่าจะชื่นชมและเชื่อมั่นนักเตะเพื่อนร่วมชาติเป็นการส่วนตัว แต่ฟานกาลก็เรียนรู้ประสบการณ์หนึ่งจากบาร์เซโลน่าว่า ไม่มีใครชื่นชอบที่เห็นนักเตะดัทช์ชี่มากเกินไปจนล้นทีม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศเยอรมนีซึ่งเป็นประเทศคู่แค้นของเนเธอร์แลนด์มาตั้งแต่ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2
ฟานกาลไม่ต่างจากดัทช์คนอื่นๆโดยทั่วไปที่ยังมีอารมณ์ความรู้สึกเกลียดชังและเจ็บแค้นจากการกระทำของกองทัพนาซี แม้ช่วงเวลาจะผ่านไปแล้วกว่า 65 ปี แต่ก็คงเป็นเรื่องไม่ฉลาดหากฟานกาลจะทำให้สโมสรที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในเยอรมนีแห่งนี้เต็มไปด้วยนักเตะดัทช์เหมือนเช่นที่เคยเกิดขึ้นในบาร์เซโลน่าก่อนหน้านี้
ฟาน รอมเมลโชว์ฟอร์มได้สมค่าสมคลาสและสมตำแหน่ง กัปตันทีมที่ทำให้คนดัทช์ภาคภูมิใจและคนเยอรมันยอมรับ |
ฟานกาลโชคดีที่ฟานบอมเมลได้รับเลือกให้เป็นกัปตันทีมของบาเยิร์นก่อนที่จะเข้ามารับตำแหน่ง ซึ่งถือเป็นสิ่งที่มีความหมายมีนัยยะอย่างมากมาก การเป็นกัปตันทีมต่างชาติและเป็นดัทช์คนแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสรยักษ์ใหญ่ที่สุดของประเทศ ย่อมต้องได้รับไฟเขียวจากบรรดาผู้อาวุโสและนักเตะระดับตำนานของเยอรมนี โดยเฉพาะฟรานท์ เบคเคนเบาว์ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดา สะท้อนให้เห็นกลิ่นกลายของความสมานฉันท์และความพยายามของเยอรมันที่จะสร้างความประทับใจให้กับชนชาติดัทช์ อย่างน้อยที่สุดเพื่อเป็นการไถ่บาปในอดีตที่กองทัพนาซีได้กระทำต่อชาติฮอลแลนด์ในช่วงสงครามโลก
เทียบเคียงกันแล้ว ไม่ต่างกับสิ่งที่เบิร์น ชูสเตอร์ได้ทำเมื่ออยู่ในตำแหน่งผู้จัดการทีมรีล แมดริด เพราะเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงที่จะเห็นผู้จัดการทีมเชื้อเยอรมันคนนี้จะชื่นชมและไว้วางใจนักเตะดัทช์มากขนาดนี้ ถึงขนาดยอมให้มีนักเตะดัทช์ชี่อยู่ในทีมถึง 6 คน
เป็นครั้งแรกๆที่ได้เห็นคนสองชาตินี้ทำงานร่วมกันอย่างให้เกียรติและไว้วางใจขนาดนี้
แต่ถึงแม้จะมีดัทช์คอนเนคชั่นคลาสระดับโลกอยู่ในทีมหลายคน แต่ชูสเตอร์ก็ทำผิดพลาดชนิดที่คนเป็นผู้จัดการทีมแมดริดไม่ควรทำ ก็คือการยอมรับว่าแมดริดยังไม่ดีพอที่จะสู้กับคู่แค้นคู่เคืองอย่างบาร์เซโลน่าได้ สุดท้ายชูสเตอร์ก็ถูกกดดันให้ลาออก จนทำให้ดัทช์คอนเนคชั่นในถิ่นเบอร์นาบิวแพแตก
การได้รับเกียรติให้ใส่หมายเลข 10 ใน ทีมบาเยิร์น มิวนิคสำหรับนักเตะดัทช์อย่าง ร็อบเบ็นไม่ใช่เป็นเรื่องธรรมดาอย่างแน่นอน |
ถึงแม้จะเป็นนักเตะร่างเล็ก แต่ร็อบเบ็นก็ ดูตัวสูงขึ้นๆ ด้วยการโชว์ฟอร์มสมคลาส |
สำหรับฟานกาลแล้ว การได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการดัทช์คนแรกของบาเยิร์น มิวนิคถือเป็นเกียรติที่พิเศษมากๆ นอกเหนือจากการมีบอมเมลเป็นกัปตันทีม อาเยิน ร็อบเบ็นเป็นนักเตะระดับโลกคนเดียวที่ฟานกาลซื้อมาร่วมทีมสร้างความยิ่งใหญ่ให้กับทีมเสือใต้
สามประสานดัทช์ชี่ได้ช่วยกันสร้างความสำเร็จให้กับบาเยิร์นในทันที ด้วยมันสมองของฟานกาลบวกกับฝีเท้าที่โดดเด่นทุ่มเทของทั้งฟานบอมเมลและร็อบเบ็น เพียงฤดูกาลแรก(2009-10)ของดัทช์คอนเนคชั่น บาเยิร์นสร้างประวัติศาสตร์ได้ลุ้น 3แชมป์ก่อนที่จะสมหวังเพียงแค่ดับเบิ้ลแชมป์ และพ่ายอินเตอร์มิลานในรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลแชมป์เปี้ยนลีก
สามประสานดัทช์ชี่ได้ช่วยกันสร้างความสำเร็จให้กับบาเยิร์นในทันที ด้วยมันสมองของฟานกาลบวกกับฝีเท้าที่โดดเด่นทุ่มเทของทั้งฟานบอมเมลและร็อบเบ็น เพียงฤดูกาลแรก(2009-10)ของดัทช์คอนเนคชั่น บาเยิร์นสร้างประวัติศาสตร์ได้ลุ้น 3แชมป์ก่อนที่จะสมหวังเพียงแค่ดับเบิ้ลแชมป์ และพ่ายอินเตอร์มิลานในรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลแชมป์เปี้ยนลีก
เกียรติประวัติที่ฟาลกาลมีส่วนร่วมสำคัญ ในความสำเร็จของบาเยิร์น มิวนิค |
ฤดูกาลต่อมา ดัทช์คอนเนคชั่นเหลือเพียงเฉพาะฟานกาลและร็อบเบ็นสองหน่อหลังจากที่บอมเมลขอย้ายไปร่วมทีมเอซี มิลาน ซึ่งอาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้บาเยิร์นไม่ประสบความสำเร็จใดๆเลยในฤดูกาลนั้น จนกระทั่งฟาลกาลต้องลาออกไป แต่ผลงานของดัทช์คอนเนคชั่นในฤดูกาล 2009-10 เป็นช่วงประวัติศาสตร์ที่ได้รับคำชื่นชมและอยู่ในความทรงจำของแฟนๆเสื้อใต้แห่งเยอรมันทีมนี้ และมีส่วนทำให้ความรู้สึกของคนสองชาตินี้ดีขึ้นไม่มากก็น้อย
เอซี มิลานเป็นอีกทีมหนึ่งที่มีช่วงแห่งความทรงจำทีดีกับดัทช์คอนเนคชั่น เป็นยุคที่เรียกว่าดัทช์คอนเนคชั่นเบ่งบานที่สุดและเป็นยุคที่เอซี มิลานเกรียงไกรที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสรก็ว่าได้ มิลานโชคดีเหลือหลายที่มีนักเตะดัทช์ระดับโลกอยู่ในทีมพร้อมๆกันทั้งสามคน นั่นคือ มาร์โค ฟานบาสเทน, รุค กุลลิค และแฟรงค์ ไรท์การ์ด อาจเรียกได้ว่าสามดัทช์ชี่คือปัจัยสำคัญที่นำความสำเร็จและความยิ่งใหญ่มาสู่มิลานในช่วงระหว่างปี 1987-1992(ในยุคที่มีอริโก ชาคคี่และฟาบิโอ คาเปลโลเป็นผู้จัดการทีม)
8, 9 และ 10 คือหมายเลขสำหรับสามดัทช์ชี่ |
กุลลิค, ฟานบาสเทนและไรท์การ์ดกลายเป็นตำนาน สามทหารเสื้อดัทช์ชี่ที่สร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์ มากที่สุดในบรรดาดัทช์คอนเนคชั่นทั้งหมด |
ในยุคสามทหารดัทช์ชี่ เอซี มิลานคือทีมที่ยิงใหญ่ เกรียงไกรที่สุดในยุโรปยุคนั้นอย่างไม่มีข้อสงสัย |
ภายใต้พลังของสามทหารเสือดัทช์ชี่ มิลานคว้าแชมป์ต่างๆมาประดับบารมีถ้วยแล้วถ้วยเล่ารวม 10 แชมป์ นอกจากแชมป์ซีรีย์อา 2 สมัยแล้ว ที่สำคัญพิเศษสุดก็คือการคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยนคัพ(หรือยูเอฟ่าแชมป์เปี้ยนลีกในปัจจุบัน) 2 สมัยติดต่อกันในปี 1989 และ 1990 เป็นประวัติศาสตร์ที่อยู่คงกระพันมาจนถึงทุกวันนี้ ประกาศศักดาเป็นแชมป์เปี้ยนตัวจริงที่เก่งกาจที่สุดในยุคนั้น โดยนัดชิงชนะเลิศทั้งสองครั้ง มิลานได้ประตูจากสามดัทช์ชี่ทั้งหมด เป็นผลงานดัทช์ชี่ที่ยากจะลืมเลือน
เมื่อหมดยุคสามดัทช์ชี่มหัศจรรย์ มิลานก็อาจจะไม่(กลับมา)ยิ่งใหญ่เกรียงไกรเหมือนเดิม แต่อย่างน้อยที่สุด มิลานในวันนี้ก็ยังมีนักเตะดัทช์ชี่เป็นกำลังสำคัญอยู่ แน่นอนที่สุดว่า ณ วันนี้คลาเรนซ์ ซีดอร์ฟ คือนักเตะดัทช์ที่อยู่กับมิลานนานที่สุดนับตั้งแต่ปี 2002 เป็นนักเตะหมายเลข 10 ที่คงกระพันและได้รับการยอมรับเป็นอย่างมาก
ซีดอร์ฟสร้างตำนานและเกียรติประวัติให้แก่ ดัทช์ชี่ในถิ่นซานซิโรไม่น้อยหน้าสามทหารเสือ |
นับเป็นเรื่องมหัศจรรย์อย่างหนึ่ง ที่นักเตะดัทช์มักจะนำโชคมาให้หลายๆสโมสร นับตั้งแต่ครัยฟ์นำแชมป์ลาลิก้ามาให้แก่บาร์เซโลน่าเป็นครั้งแรกในรอบ 14 ปี (1974) เช่นเดียวกับฟานกาลที่นำบาร์เซโลน่าคว้าแชมป์ของประเทศและสองสมัยติดต่อกันเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปีและสามารถพาบาเยิร์น มิวนิคทะลุเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศแชมป์เปี้ยนลีก ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 11 ปี ส่วนไรท์การ์ดก็ไม่ยอมน้อยหน้า สามารถนำถ้วยลาลีก้ากลับคืนสู่แคมป์นูได้เป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี ในขณะที่ผลงานของสามประสานดัทช์ชี่แห่งมิลานนั้นสุดยอดที่สุด เพราะสามารถนำแชมป์ซิรีย์อากลับมายังถิ่นซานซิโรได้เป็นครั้งแรกในรอบ 9 ปี และทำให้มิลานเป็นแชมป์ยูโรเปี้ยนคัพเป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปี
เมื่อพูดถึงซีดอร์ฟซึ่งกำลังสร้างประวัติศาสตร์อยู่มิลานครบหนึ่งในทศวรรษ เป็นนักเตะดัทช์ที่ยืนหยัดอยู่กับหนึ่งสโมสร (ที่อยู่นอกประเทศเนเธอร์แลนด์) ได้นานที่สุด เป็นนักเตะต่างชาติที่ลงสนามให้มิลานมากที่สุด ก่อนหน้านี้ ซีดอร์ฟมีส่วนสำคัญทำให้รีล แมดริดคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยนคัพ (แชมป์เปี้ยนลีก) ใปนี 1998 ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 32 ปี และเมื่อมาอยู่มิลาน ก็ไม่หยุดยั้งที่จะสร้างสถิติ ต่อไป
ในฤดูกาล 2002-03 ซึ่งเป็นฤดูกาลแรกของซีดอร์ฟในทีมปีศาจแดงดำถิ่นแฟชั่นของอิตาลี ดูเหมือนซีดอร์ฟจะเป็นผู้นำโชคมาให้แก่ทีม เพราะมิลานสามารถคว้าดับเบิ้ลแชมป์ที่รอคอยมานาน นั่นคือได้แชมป์โคปป้าอิตาลี่เป็นครั้งแรกในรอบ 26 ปี และแชมป์เปี้ยนลีกในรอบ 9 ปี
ตลอดช่วงระยะเวลา 8 ปีก่อนที่มาร์ค ฟานบอมเมลจะย้ายจากบาเยิร์น มิวนิคมาสังกัดชายคาใหม่ ณ ถิ่นซานซิโร เอซี มิลานก็ได้มีโอกาสต้อนรับยาป สตัม (ปี2004-2006) และคลาส แยนฮุนเตลล่าร์ (ปี 2009-2010) และได้คำตอบว่า ไม่ใช่ดัทช์ชี่ทุกคนที่จะประสบความสำเร็จในบ้านใหม่หลังนี้
สำหรับสตัมแล้ว กลิ่นแห่งความสำเร็จในสีเสื้อ แมนฯยูไนเต็ดไม่อาจงอกงามในสีเสื้อเอซี มิลานได้ |
สตัมกับความสำเร็จแชมป์ซูเปอร์คอปป้าหนึ่ง
เดียวในชุดสีเสื้อปีศาจแดงดำแห่งอิตาลี่
|
ฮุนเตลลาร์กลายเป็นนักเตะดัทช์ชี่คนเดียวที่ไม่ เคยคว้าแชมป์ใดๆได้เลยในสีเสื้อเอซี มิลานทั้งๆที่ถูก คาดหมายว่าจะเป็นฟานบาสเตนคนใหม่ในถิ่นซานซิโร |
เมื่อฟานบอมเมล ตัดสินใจย้ายมาร่วมทีมเอซี มิลานหลังจากประสบความสำเร็จกับบาเยิร์น มิวนิค ก็ได้ประสานรวมพลังกับซีดอร์ฟอย่างลงตัว กลายเป็นกุญแจสำคัญในช่วงยุคเปลี่ยนผ่านของสโมสร ทำให้มิลานคว้าแชมป์ซีรีย์อาเป็นเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี
ฟาน บอมเมลกับอีกตำนานหนึ่งแห่งความสำเร็จ |
ฟานบอมเมลและซีดอร์ฟคือสองดัทช์ชี่ในยุค ปัจจุบันที่เข้าขาเป็นปี่เป็นขลุ่ย |
สามดัทช์ชี่ในถิ่นซานซิโร - ฟานบอมเมล, ชไนเดอร์ และซีดอร์ฟ
|
ทั้งซีดอร์ฟและฟานบอมเมลอยู่ในช่วงยุคสุดท้ายของอาชีพค้าแข้ง จึงเป็นเรื่องน่าสนใจว่า ในอนาคตอันใกล้นี้ ใครจะเป็นดัทช์ชี่คนใหม่สืบสานตำนานดัทช์คอนเนคชั่นในถิ่นซานซิโรแห่งนี้