ในที่สุดปัญหามนุษย์เรือโรฮินจาก็บานปลายกลายเป็นปัญหาระหว่างประเทศเต็มตัวและกลายเป็นโศกนาฏกรรมของมนุษย์ยุคใหม่ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะยังคงหลงเหลืออยู่
ตอกย้ำให้เห็นว่า
นอกจากจะเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่ถูกกดขี่กีดกันมากที่สุดในโลก
(the
most persecuted people) ตามบทสรุปของสหประชาชาติแล้ว ชาวโรฮินจาก็คือกลุ่มคนที่ไม่มีใครต้องการมากที่สุดในโลก
(the
most unwanted people) เช่นกัน
วิกฤติในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นปัญหาที่กระทบต่อประเทศต่างๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยตรงโดยเฉพาะประเทศไทย
มาเลเซียและอินโดนิเซียแล้ว
ยังกลายเป็นปัญหาที่ท้าทายอาเซียน ณ ช่วงเวลาที่กำลังย่างเข้าสู่ความเป็นประชาคมเศรษฐกิจหนึ่งเดียวหรือเออีซีในสิ้นปีนี้
ทั้งสามประเทศซึ่งอาจเรียกว่า
“กลุ่มประเทศทิม” (TIM – Thailand, Indonesia and
Malaysia) ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากคลื่นมนุษย์เรือโรฮินจาในครั้งนี้
เลือกที่จะปฏิเสธไม่ยอมรับผู้อพยพเหล่านี้เสมือนว่าเป็น “เผือกร้อน” ที่ไม่มีใครอยากถือครองไว้ และต่างฝ่ายต่างโยนไปโยนมา จนถึงวิพากษ์วิจารณ์จากหลายๆฝ่าย
จนกระทั่ง
ฟิลิปปินส์สร้างเซอร์ไพรส์กลายเป็นประเทศแรกสุดในภูมิภาคที่ประกาศยินดีเปิดบ้านเปิดเกาะต้อนรับผู้อพยพเหล่านี้จำนวน
3
พันคน
ทั้งๆที่ฟิลิปปินส์ก็มีปัญหาประชากรแออัดล้นประเทศ(ร่วมร้อยล้านคน)และยากจนมากพอแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ชาวฟิลิปปินส์มากกว่า 12 ล้านคนก็อาศัยทำงานอยู่ในต่างประเทศเพราะไม่มีงานทำในประเทศ
แล้วทำไม
ฟิลิปปินส์จึงอาสาเป็น “พ่อพระ” ในวิกฤติมนุษย์เรือครั้งนี้?
ในด้านหนึ่ง
ฟิลิปปินส์เคยมีประสบการณ์เป็นแหล่งรองรับบรรดาผู้อพยพหลายต่อหลายครั้ง
นับตั้งแต่ชาวยิวที่หนีภัยนาซีในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ชาวจีนแผ่นดินใหญ่ที่หนีภัยสงครามการเมืองภายหลังพรรคคอมมิวนิสต์จีนยึดครองประเทศในปี1949
และชาวเวียดนามที่หนีภัยสงครามเวียดนามในช่วงทศวรรษที่ 1970
แต่ในอีกด้านหนึ่ง ฟิลิปปินส์มีภูมิศาสตร์ตั้งอยู่ห่างไกลออกไปอีกมาก
และไม่ใช่เป้าหมายของผู้อพยพ เรียกได้ว่า ฟิลิปปินส์แทบจะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากวิกฤติครั้งนี้เลยก็ว่าได้
เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านทั้งสาม แม้กระทั่ง หากจะวางท่าทีเฉยเมย
เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ก็คงจะไม่มีใครตำหนิติเตียนตรงๆได้
ยิ่งกว่านั้น ดูเหมือนว่า
รัฐบาลฟิลิปปินส์ได้กำหนดเงื่อนไขว่าจะต้อนรับเฉพาะผู้อพยพที่มีหลักฐานเอกสารพิสูจน์ตัวตนว่าเป็นชาวโรฮินจาที่หนีภัย(การเมือง)มาจากพม่าจริงๆ
ไม่ใช่อพยพมาจากบังคลาเทศ (เพราะเหตุผลความยากจน)
ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากในทางปฏิบัติสำหรับผู้อพยพเหล่านี้ เพราะชาวโรฮินจา ณ พ.ศ.นี้
ไม่ใช่ผู้อพยพที่หนีภัยการเมืองร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนชาวยิว
ชาวจีนและชาวเวียดนามในอดีต
บางที
อาจจะมีมนุษย์เรือโรฮินจาเข้าข่ายตามเงื่อนไขนี้หรือเต็มใจไปฟิลิปปินส์น้อยผิดคาดก็เป็นได้
ในเปอร์เซ็นต์ของความเป็นไปได้นั้น นอกเหนือจากเครดิตที่ได้รับคำชื่นชมแบบเต็มๆจากนานาประเทศแล้ว รัฐบาลมะนิลาอาจจะได้คำนวณผลทางการเมืองและวาดหวังว่า
การประกาศท่าทีช่วยเหลือชาวโรฮินจาดังกล่าว
จะส่งผลทางจิตวิทยาต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในหมู่เกาะมินดาเนาซึ่งประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมและได้ทำสงครามสู้รบกับกองทัพเพื่อแยกตัวออกเป็นอิสระมานานร่วมทศวรรษ
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าอะไรจะเป็นแรงจูงใจที่แท้จริงสำหรับฟิลิปปินส์ในครั้งนี้ แต่จุดสำคัญที่สุดก็คือ การประกาศท่าที
“พ่อพระ” ของฟิลิปปินส์ดังกล่าวส่งผลทางจิตวิทยาให้เกิดแรงกระเพื่อมในทันที กลายเป็นจุดเริ่มต้นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ประเทศเพื่อนบ้านเริ่มขยับและเปลี่ยนแปลงท่าทีตามไปด้วยในทันที