ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของทีมชาติเยอรมนีในการคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกเป็นสมัยที่ 4 คือการประกาศศักดาว่า ณ ชั่วโมงนี้ ทีมชาติเยอรมนีคือหมายเลขหนึ่งในโลกลูกหนังอย่างแท้จริง โดยไม่เหลือพื้นที่ว่างให้ทฤษฏีสมคบคิดใดๆหรือคำกล่าวอ้างว่าเป็นแชมป์แบบฟลุ๊กๆได้เลยแต่ในอีกมุมหนึ่ง หากเราพิจารณาข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์หลายๆหน้าแล้ว จะเห็นได้ว่าฟุตบอลเป็นเกมกีฬาที่มีความเชื่อมโยงกับชนชาติเยอรมันมาตั้งแต่ยุคของฮิตเลอร์ ย้อนหลังไปเมื่อ 75 ปีที่แล้วเรื่อยมาจนถึงปีปัจจุบันที่ครบรอบ 100 ปี ของสงครามโลกครั้งที่ 1 พอดิบพอดีถึงแม้ว่า ผลการสำรวจความคิดเห็นของเด็กๆอังกฤษในวัยเรียนเมื่อปี 2009 ซึ่งมีจำนวนหนึ่งที่ยังเข้าใจผิดคิดว่าฮิตเลอร์คือชื่อของโค๊ชฟุตบอลเยอรมัน แต่ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์แล้ว ฮิตเลอร์คือผู้นำกองทัพนาซีอันระบือโลกในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 คือผู้นำเยอรมนีที่พกพาแรงแค้นจากผลของสงครามโลกครั้งที่ 1 มาจุดชนวนก่อสงครามโลกครั้งที่ 2 จนสร้างความเสียหายให้แก่มนุษชาติมากที่สุดในประวัติศาสตร์ก็ว่าได้
ถึงแม้จะมีพรสวรรค์ทางด้านศิลปะขีดเขียนมากกว่าชั้นเชิงการเตะลูกหนัง แต่ฮิตเลอร์ก็ไม่รีรอที่จะใช้ประโยชน์จากเกมฟุตบอลให้มากที่สุด เพื่อผลทางการเมืองและเพื่อตอบสนองความเชื่อที่ว่า คนเยอรมันซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มชนชาติอารยันถือเป็นชนชาติที่มีอารยะสูงส่งเหนือกว่าชนชาติอื่นๆในปฐพี ดังนั้น เยอรมนีจึงต้องเป็นเลิศในทุกๆด้านรวมทั้งด้านเกมฟุตบอล
ครั้งแรกและครั้งเดียวสำหรับฮิตเลอร์ในการเข้าสนามฟุตบอลปี 1936
ฮิตเลอร์ต้องการให้เยอรมนีได้แชมป์ฟุตบอลโลก 1938 ดังนั้น ภายหลังจากที่กองทัพนาซีสามารถยึดครองและผนวกออสเตรียได้แล้ว จึงได้มีการสั่งยุบทีมชาติออสเตรีย(ซึ่งเป็นบ้านเกิดของฮิตเลอร์) แล้วบังคับให้นักเตะของออสเตรียซึ่ง ณ เวลานั้นเป็นหนึ่งในมหาอำนาจลูกหนังยุโรปมาสวมใส่เสื้อ “อินทรีย์เหล็ก” เพื่อเป็นหนทางลัดทำให้ทีมเยอรมนียิ่งใหญ่ได้ในทันทีทันใด แต่ความฝันของฮิตเลอร์ก็พังทลาย นอกจากจะไม่สามารถประกาศศักดาความเหนือชั้นกว่าได้แล้ว ทีมเยอรมันในยุคฮิตเลอร์ก็มีผลงานที่ย่ำแย่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ลูกหนังเมืองเบียร์