เทศกาลวันสงกรานต์ (Songkran) ที่ผ่านมาถือว่าร้อนแรงกว่าปกติ
ด้วยเหตุกรณีข้อพิพาทปราสาทพระวิหารถูกนำขึ้นเวทีศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือศาลโลกเป็นครั้งที่
2 ในประวัติศาสตร์ เป็นการตอกย้ำว่า
นี่คือประเด็นที่อ่อนไหวที่สุดในความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชา
ปราสาทเขาพระวิหารอันยิ่งใหญ่วิจิตราสร้างขึ้นหลักๆในสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่1 (Suryavarman I) ตั้งอยู่บริเวณตำบลเสาธงชัย
(Saothongchai) จังหวัดศรีษะเกส (Srisaket) และระหว่างเมืองเสียมราฐ (Siem
Reap) และสตึงเตรง (Stung Treng)ในทางฝั่งกัมพูชา
ปราสาทเขาพระวิหารถือเป็นเสมือนวิหารสวรรค์อันศักดิ์สิทธิ์
(Sanctuary) ของผู้คนในอาณาบริเวณเทือกเขาพนมดงรักมาหลายศตวรรษ
มีชื่อเดิมตามปรากฏในศิลาจารึกคือ “ศีรศิขเรศวร” (Sikharesvara) และเปรียบเป็นเพชรยอดมงกุฎขององค์ศิวะเทพ
(Shiva)
ความวิจิตรของปราสาทพระวิหารที่สงบนิ่ง |
อาจกล่าวได้ว่า
ความยิ่งใหญ่อลังการและโดดเด่นของปราสาทเขาพระวิหารถูกเก็บให้อยู่อย่างโดดเดี่ยวในป่าทึบดงรักมากว่า
4 ศตวรรษโดยไม่สร้างปัญหาใดๆให้กับมนุษยชาติของทั้งสองประเทศ จน กระทั่ง ปราสาทเขาพระวิหารเริ่มเข้าสู่บทใหม่ของประวัติศาสตร์ชาติสยาม
(Siam)
ภายหลังจากที่ถูกค้นพบโดยกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ (Prince Sanphasit)
ในปีพ.ศ. 2442 ก่อนที่รัฐสยามจะบรรลุข้อตกลงในอนุสัญญากับฝรั่งเศสในอีก
5 ปีต่อมา (ปี ค.ศ.1904 และ 1907) โดยมีการเปิดเผย(และอ้าง)ว่า
ม.ร.ว. สท้าน สนิทวงศ์ (Sathan Sanitwong) เป็นตัวแทนของฝ่ายสยามในการสำรวจและจัดทำแผนที่มาตราส่วน
1:200,000 ร่วมกับฝรั่งเศสภายใต้อนุสัญญาดังกล่าว
ซึ่งได้กลายเป็นเอกสารหลักฐานสำคัญในการตัดสินของศาลโลกในปีพ.ศ. 2505 (และอาจจะรวมถึงปี
2556 ด้วย?)
กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ผู้สร้างประวัติศาสตร์ค้นพบปราสาทพระวิหาร |
จารึกคำว่า "สรรพสิทธิ" สลักเป็นหลักฐาน |
ม.ร.ว. สท้าน สนิทวงศ์ ผู้ร่วมในการจัดทำแผนที่ |
ในยุคสมัยจอมพล ป.พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งถือเป็นช่วงจุดเริ่มต้นของกรณีพิพาทปราสาทเขาพระวิหาร
กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นโบราณสถานของชาติเป็นครั้งแรกในเดือนตุลาคม
2483 หนึ่งปีหลังจากที่เปลี่ยนชื่อประเทศ ซึ่งอาจจะเป็นไปได้ว่า ชื่อ “สยาม” มีความหมายดั้งเดิมตามภาษาเขมรและนัยยะทางประวัติศาสตร์(ที่ไม่เป็นมงคล)ว่าหมายถึง
ขโมย (steal) ดินแดนของกัมพูชา และเป็นทาส (slave) ของคนเขมร และหนึ่งปีก่อนที่ไทยจะเปิดศึกทำสงครามอินโดจีนกับฝรั่งเศส
ประวัติศาสตร์ไทยมักพูดถึงดินแดน
4 จังหวัดที่ได้รับคืนจากฝรั่งเศส(เนื่องจากแรงกดดันจากญี่ปุ่น) นั่นคือจำปาศักดิ์
เสียมราฐ พระตะบอง และไชยะบุรี แต่ที่สมควรกล่าวถึงเป็นพิเศษก็คือเขตที่เรียกว่าสตึงเตรง
รัฐบาลไทยในขณะนั้นถึงกับประกาศว่านี่คือรางวัลอันทรงคุณค่า
เพราะปราสาทเขาพระวิหาร ซึ่งถือเป็นศาสนสถานอันเก่าแก่ที่มีความสวยงามอลังการและความศักดิ์สิทธิ์
(sacred) ที่สำคัญยิ่งใหญ่เทียบเท่ากับนครวัดตั้งอยู่ในเขตเมืองสตึงเตรงนั่นเอง
ว่ากันว่า
การสูญเสียดินแดนเหล่านี้ให้แก่ประเทศไทยสร้างความรู้สึกเคียดแค้นเกลียดชังในหมู่คนเขมรทุกระดับเป็นอย่างมาก
แบบเรียนประวัติศาสตร์เขมรระบุว่า ถึงกับทำให้สมเด็จศรีสวัสดิ์มณีวงศ์ (Sisowath Monivong) แห่งกัมพูชาเสด็จสวรรคตด้วยความเจ็บปวดพระทัยเป็นยิ่งนัก
และเชื่อได้ว่า สมเด็จเจ้าสีหนุ (Prince Sihanouk)
ซึ่งได้รับเลือกให้ขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ของกัมพูชาพระองค์ต่อมาย่อมมีความรู้สึกไม่แตกต่างกัน(หรืออาจจะมากกว่า)
ในวันที่สมเด็จสีหนุก้าวเดินขึ้นพระวิหาร |
การสละราชสมบัติ
และก้าวสู่เวทีการเมืองในฐานะนายกรัฐมนตรีและประมุขแห่งรัฐ คือช่วงเวลาที่เจ้าสีหนุสามารถแสดงบทบาททางการเมืองได้สอดคล้องกับความทะเยอทะยาน
โดยเฉพาะบทบาทที่เกี่ยวข้องกับกรณีพิพาทปราสาทพระวิหาร
สมเด็จเจ้าสีหนุมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะได้ปราสาทเขาพระวิหารกลับคืนมาเป็นสมบัติของชาติกัมพูชา
เพราะ(เชื่อว่า)จะทำให้พระองค์ได้รับนิยมอย่างล้นหลามจากเขมรอย่างไม่มีข้อสงสัยท่ามกลางความยุ่งยากทางการเมืองภายในประเทศ
ณ เวลานั้น
ในขณะเดียวกัน เมื่อการเจรจากับรัฐบาลไทยไม่ประสบความสำเร็จ
สมเด็จเจ้าสีหนุจึงได้นำเรื่องกรณีพิพาทนี้เข้าสู่กระบวนการของศาลโลกในเดือนตุลาคม
พ.ศ. 2502 แบบไม่เกินความคาดหมายของรัฐบาลไทย
เพราะท่าทีของรัฐบาลกัมพูชาในช่วงขณะนั้นชัดเจนเหลือเกิน เริ่มจากนายซัม ซารี (Sam Sari) เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำกรุงลอนดอนตีพิมพ์บทความระบุว่า การใช้กำลังเข้ายึดครองพระวิหารของกำลังทหารไทยนั้นเป็นการกระทำแบบฮิตเลอร์
และที่เลวร้ายกว่านั้น ยังได้กล่าวพาดพิงหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของพระมหากษัตริย์ไทยด้วย
ต่อมา นายซิม วาร์ (Sim Var)
นายกรัฐมนตรีกัมพูชา(ในขณะนั้น)ได้กล่าวประณามคนไทยทั้งชาติอย่างรุนแรง และว่าผู้นำไทยเป็นเหมือนเสือหิว
ควรใช้อีแร้งเป็นเครื่องหมายของชาติแทนครุฑจึงจะเหมาะสม(กว่า) และชัดเจนที่สุด เมื่อนายซอนซาน (Son San)
เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทยได้แถลงยืนยันว่า
กัมพูชาจะยุติการเจรจากับรัฐบาลไทยและ(จะ) อาศัยศาลโลกเป็นที่พึ่งพา(สุดท้าย)
เมื่อเริ่มเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาลโลกในช่วงปี
2502 รัฐบาลไทยโดยจอมพลสฤษดิ์
ธนะรัตน์ (Sarit Thanarat)
ได้ดำเนินการด้วยจุดยืนที่ชัดเจนและแข็งกร้าวอย่างที่สุด พร้อมทั้งแต่งตั้งม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช (Seni
pramoj) เป็นหัวหน้าคณะทนายความฝ่ายไทย โดยมีเซอร์แฟรงค์ ซอสคิซ (Sir
Frank Soskice) เป็นหัวหน้าทนายชาวต่างชาติ
.
ในวันที่จอมพลสฤษดิ์หลั่งน้ำตา |
หม่อมเสนีย์กับความล้มเหลวไม่สามารถเป็นฮีโร่ของคนไทยได้ |
ในที่สุด ศาลโลกได้พิจารณาตัดสินในปี 2505 ว่าปราสาทพระวิหารตั้งอยู่อาณาเขตภายใต้อธิปไตย
(sovereignty) ของกัมพูชา สร้างความโกรธแค้นและผิดหวังให้กับคนไทยอย่างมาก
นอกจากนี้
ศาลโลกยังระบุให้รัฐบาลไทยมีพันธะที่จะต้องส่งมอบวัตถุโบราณต่างๆ รวมทั้งสิ่งประติมากรรม (sculptures) แผ่นศิลา (stelae)
ตลอดจนรูปหินทราย (sandstone
model) ต่างๆที่ได้ถูกโยกย้ายออกไปจากปราสาทพระวิหารโดยฝ่ายไทยนับตั้งแต่ปี
2497 คืนให้แก่รัฐบาลกัมพูชาด้วย
หลังจากนั้น
ดูเหมือนว่า กรณีปราสาทพระวิหารได้ถูก “พัก” อย่างค่อนข้างสงบเป็นระยะเวลากว่า
4 ทศวรรษ
แต่เมื่อเริ่มเข้าสู่สหัสวรรษใหม่ที่ 21 กรณีปราสาทพระวิหารก็กลับฟื้นคืนชีพ
และพัฒนากลายเป็นประเด็นที่อ่อนไหวที่สุด(อีกครั้ง)ในความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างกรุงเทพฯและพนมเปญ
ตราบเท่าที่ไม่สามารถหาข้อสรุปหรือข้อตกลง (settlement) ที่ชัดเจนที่สุดได้ จนเลวร้ายนำไปสู่การปะทะกันทางทหาร
(skirmishes) โดยมีกองกำลังสุรนารี (Suranari
Force) กองทัพภาคที่ 2 (Second Army) ทำหน้าที่ปกป้อง
(safeguard) อธิปไตยของประเทศ ครอบคลุมตั้งแต่จังหวัดศรีษะเกสไปจนถึงสุรินทร์
(Surin)
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การแต่งตั้งล่าสุดให้พ.อ.สมชาย เพ็งกรูด (Somchai
Pengkrut) นายทหารสายบู๊ที่เคยเป็นผบ.กองกำลังเฉพาะกิจพระวิหารหมายเลข
1 และปะทะสู้รบกับทหารเขมรมาก่อน
ขึ้นเป็นรองผบ.กองพลทหารราบที่ 6 (Sixth Infantry Division)
ทำหน้าที่เป็นผบ.หน่วยเฉพาะกิจกองกำลังสุรนารีที่ 1 ที่ดูแลเขาพระวิหารด้วย ย่อมสะท้อนให้เห็นถึงท่าทีของกองทัพบกได้ดีที่สุด ในสถานการณ์ที่อาจจะตึงเครียด ณ วินาทีที่ศาลโลกอ่านคำตัดสินในวันที่
11 พฤศจิกายนนี้
หากมองย้อนกลับไป เชื่อว่าคงไม่มีใครในยุคสมัยรัฐบาลชวน หลีกภัยที่มีดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ (Surin Pitsuwan) เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศจะคาดคิดว่า ปี 2543 จะถูกนำมาเชื่อมโยงและกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความยุ่งยากต่างๆ ในเวลาต่อมา ภายหลังจากที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร(Sukhumbhand Paribatra) รมช.ต่างประเทศลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับรัฐบาลกัมพูชา จนก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้าง กลายเป็นเหมือนดาบสองคมที่ไม่อาจระบุได้ชัดเจนว่า โดยเนื้อหาและเจตนารมณ์แล้ว “MOU’43” เป็น ‘วัคซีน’ หรือ ‘ไวรัส’ ต่อประเทศไทยกันแน่
ถึงที่สุดแล้ว กรณีปราสาทพระวิหารกลายเป็นจุดศูนย์กลางแห่งความขัดแย้งและข้อพิพาท ภายหลังจากที่กัมพูชาพยายามที่จะขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารให้เป็นมรดกโลกเพียงฝ่ายเดียวตั้งแต่ต้นปี 2548 แต่ถูกทักท้วงและคัดค้านโดยรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ (Surayud Chulanont) เพราะเชื่อว่ากัมพูชามีเจตนาพ่วงเอาพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรของไทยเข้าไปด้วย
ต่อมา ในยุคสมัยรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช (Samak Sundaravej) ดูเหมือนว่า ฝ่ายไทยมีท่าทีที่เป็นมิตรกับกัมพูชามากขึ้น จนนำไปสู่การลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาระหว่างนายนายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศและนายสก อาน (Sok An) รองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา โดยฝ่ายกัมพูชายินยอมขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาทวิหารเป็นมรดกโลกฝ่ายเดียว ไม่รวมพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร ท่ามกลางกระแสคัดค้านและท้วงติงจากหลายๆฝ่าย จนกระทั่ง ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่า คำแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญของประเทศและถือเป็นโมฆะ
กระแสการต่อต้านทางการเมืองภายในประเทศอันเนื่องมาจากกรณีปราสาทพระวิหารยังคงร้อนแรงยิ่งจนดูเหมือนเป็นอาถรรพ์ และได้กลายเป็นมูลเหตุสำคัญที่ทำให้กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยภายใต้การนำของนายสนธิ ลิ้มทองกุล (Sondhi Limthongkul) เดินขบวนขับไล่รัฐบาลชุดต่อมาที่มีนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ (Somchai Wongsawat) เป็นนายกรัฐมนตรี
สนธิ ลิ้มทองกุลกับพระวิหารพิพาทที่แยกกันไม่ออก |
ในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ถึงแม้ว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ (Suthep Thaugsuban) รองนายกรัฐมนตรีจะสร้างวาทกรรมเปรียบเปรยพื้นที่ซับซ้อน 4.6 ตร.กม. ว่ามีขนาดเพียงเท่าแมวดิ้นตาย แต่บทบาทของนายสุวิทย์ คุณกิตติ (Suwit Khunkitti) รัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมถือว่าโดดเด่นที่สุด โดยเฉพาะการคัดค้านการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของยูเนสโก กระทั่งนำไปสู่การประกาศถอนตัวออกจากภาคีสมาชิกมรดกโลกอย่างคาดไม่ถึง
ใครจะคาดคิดว่า
ถึงที่สุดแล้ว กรณีพิพาทปราสาทพระวิหารก็นำทั้งสองประเทศกลับคืนสู่เวทีของศาลโลกอีกครั้งหนึ่งในปี
2556 ด้วยความวิตกว่า ประเทศไทยอาจจะต้องสูญเสียดินแดนบริเวณรอบๆปราสาทพระวิหารกว่า
4.6 ตารางกิโลเมตร รวมไปถึงพื้นที่แหล่งโบราณสถานที่สำคัญที่เกี่ยวเนื่องกับตัวปราสาทอย่างสระตราว
(Sa Tao) และสถูปคู่ (Sathup Khu)
ตลอดช่วงระหว่างวันที่
15-19 เมษายน 2556 เอกอัคราชทูตวีรชัย พลาศรัยและคณะทนายที่ปรึกษาทางกฎหมายสร้างความประทับใจแกคนไทยเป็นที่สุด จนดูเหมือนว่า
บดบังบทบาทของนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล (Surapong
Tovichakchaikul) รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศ
และพล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต (Sukumpol Suwanathat) รัฐมนตรีกลาโหม เสียสนิท
ตลอดช่วงเวลาของการให้การด้วยวาจาที่ศาลโลก
ทูตวีรชัยหรือทูตแสบ
(Sab) ผู้มีดีกรีปริญญาเอกทางกฎหมายจากมหาวิทยาลัยซอร์บอนน์
(Sorbonne Universités)
และมีศรีภรรยาคู่ชีวิตเชื้อสายสวิส (Swiss)
ได้ยึดหลักในการทำหน้าที่ครั้งนี้ว่า “สู้เต็มที่”(soo-tem-ti) และ “สนุกแน่” (sa-nook-nae)
จนชนะใจคนไทยทั้งประเทศ
ทูตแสบที่อาจทำให้ผู้นำเขมรปวดแสบ? |
ในขณะเดียวกัน นอกเหนือจากอลินา มิรอง
ทนายความผู้ช่วยที่โชว์ความสามารถในการชี้นำและให้เหตุผลจนกลายเป็นดาวเด่นของสังคมไทยแล้ว
นามของวิลเล่ม สเกมาฮอน (Willem
Schermerhorn) ก็สมควรต้องได้เครดิตไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน เพราะเป็นผู้เพียงพยายามอย่างเหลือหลายจนค้นพบแผ่นที่ “ big map” ได้ที่เมืองสตุ๊ตการ์ด
(Stuttgart) เยอรมนี เป็น “big map” ที่อลินา
มิรองใช้เป็นหลักฐานอ้างอิงทำลายความน่าเชื่อถือของแผนที่ภาคผนวก 1 ของทางฝ่ายกัมพูชาได้อย่างน่าประทับใจ
วิลเล่ม สเกมาฮอนอดีตนายกฯเนเธอร์แลนด์ที่ผันตัวเองมาร่วมในทีมฝ่ายไทย |
แต่อย่างไรก็ตาม การร้องขอของผู้พิพากษาชาวโซมาเลีย (Somalia) ที่ให้ทั้งสองประเทศส่งเอกสารเพิ่มเติมและชี้แจงเรื่องพิกัดในแผนที่
ก็ย่อมสร้างความหวั่นวิตกให้แก่ฝ่ายไทยไม่น้อย เพราะอาจจะมีผลต่อการพิจารณาตัดสินใจของคณะตุลาการทั้ง
17 คน (seventeen) ที่มีผู้พิพากษาจากสโลวาเกีย
(Slovakia) เป็นประธาน เพื่อยุติมหากาพย์ (saga) แห่งความยุ่งยากยุ่งเหยิงระหว่างสองประเทศมานานกว่า
60 ปี
ผู้พิพากษาโซมาเรียที่อาจะเข้าสู่ส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์? |
แน่นอนว่า หากศาลโลกตัดสินให้เป็นคุณเป็นประโยชน์ต่อฝ่ายกัมพูชาแล้ว
คงไม่มีใครที่จะมีความสุขมากไปกว่าสมเด็จฮุนเซน (Somdech Hun Sen) อีกแล้ว เพราะปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในเขตเมืองสตึงเตรงบ้านเกิดของผู้นำคนนี้
และเชื่อว่า
จะใช้เป็นอาวุธหยุดยั้งพลังของนายสม รังสี (Sam Rainsy) ผู้นำฝ่ายค้านที่กำลังมาแรงและท้าทายอำนาจทางการเมืองของสมเด็จฮุนเซนอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
หากเป็นเช่นนั้นจริง สองผู้นำแห่งตระกูลชินวัตร (Shinawatra)
ทั้งนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์และ พ.ต.ท.ทักษิณย่อมตกเป็นเป้าหมายทางการเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อย่างแน่นอน
เหมือนเช่นที่อดีตนายกรัฐมนตรีสมัคร สุนทรเวชและสมชาย
วงศ์สวัสดิ์ต้องเผชิญมาก่อนหน้านี้
ภาพประวัติศาสตร์ในวันที่อ.ศิลป์ พีระศรีพากลุ่มนักศึกษาไปที่ปราสาทพระวิหารในปี 2502 |
แต่อย่างน้อยที่สุด ตลอดช่วงเวลาร่วม 6 ทศวรรษที่ผ่านมา
สังคมไทยก็ได้รู้จักชื่อของบุคคลชั้นครูที่มีบทบาทและมีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีพระวิหารพิพาทนี้มากหน้าหลายตา
ตั้งแต่อาจารย์ศิลป์ พีระศรี(Silpa Pirasri) มจ.สุภัทรดิศ ดิศกุล (Subhadradis
Diskul) อาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม(Srisak Walliphodom) อาจารย์สมปอง สุจริตกุล (Sompong Sucharitkul) รวมทั้งอาจารย์สุจิตต์ วงษ์เทศ (Sujit Wongthes)
.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น