บนสังเวียนพื้นผ้าใบ
จะมีนักชกเพียงหนึ่งคนเท่านั้นที่โชคดีเสมอ
เพราะฉะนั้น
การชกชิงเหรียญทองมวยสากลสมัครเล่นรุ่นไลท์ฟลายเวตในกีฬาโอลิมปิคที่ลอนดอนจึงจบลงด้วยโชคที่เข้าข้างโจว ซื่อหมิงเพียงคนเดียว
ในขณะที่น้ำตาของแก้ว พงษ์ประยูรก็สะท้อนถึงความอับโชคไม่สมหวัง
พอๆกับภาพอาการทรุดลงลงไปกองกับพื้นบ่งบอกถึงความเจ็บปวดรวดร้าวเป็นที่สุดของนักชกไทย
ผู้ซึ่งมีอายุมากที่สุดในบรรดานักมวยที่ผ่านเข้าสู่รอบชิงเหรียญทองทั้งหมด
ข้าชื่อโจว ซื่อหมิง - สุดยอดนักชกกำปั้นหนึ่งเดียวจากจีนแผ่นดินใหญ่ |
ต้องยอมรับความจริงว่า
นอกเหนือจากฝีมือขั้นเทพแล้ว นักมวยจีนนามโจว ซื่อหมิงคนนี้
เป็นนักมวยที่มีโชคช่วยบุญเสริมมา(เกือบ)ตลอดบนเส้นทางสร้างความยิ่งใหญ่บน
สังเวียนมวยสากลสมัครเล่น ประการสำคัญ โจว
ซื่อหมิงคือนักมวยแห่งประวัติศาสตร์วงการกีฬาจีนที่สร้างประวัติศาสตร์หลายๆ
หน้าในแก่ประเทศของตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
การสร้างประวัติศาสตร์เป็นนักมวยจีนคนแรกที่คว้าเหรียญโอลิมปิค
เป็นคนแรกที่คว้าเหรียญทอง เป็นคนแรกที่คว้าสองเหรียญทองติดต่อกัน
และเป็นคนแรก(ซึ่งอาจจะเป็นคนเดียว) ที่สามารถคว้าได้สามเหรียญสามสมัยติดต่อกัน ยิ่งไปกว่านั้น
ดีกรีแห่งความสำเร็จในฐานะแชมป์โลกมวยสากลสมัครเล่นรุ่นไลท์ฟลายเวตสามสมัย
ก็บ่งบอกได้เป็นอย่างดีถึงฝีมือขั้นเทพของโจว ซื่อหมิง
บนเกียรติประวัติแห่งความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ดังกล่าวนี้
ปฏิเสธไม่ได้ว่า อย่างน้อยที่สุดชื่อของโจว ซื่อหมิง ได้กลายเป็นตำนานหนึ่งแห่งประวัติศาสตร์มวยสากลสมัคร
เล่นไปแล้ว
แต่ในเบื้องหลังความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของยอดมวยชาวจีนคนนี้
ก็มีเรื่องกังขาถึงขั้นฉาวโฉ่เกิด ขึ้นให้คนในวงการมวยตั้งเป็นคำถาม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อสงสัยในสองเหรียญทองโอลิมปิคที่ได้มา
อย่างชนิดที่เรียกว่าไม่ขาวสะอาดให้ภูมิใจได้ร้อยเปอร์ เซ็นต์สักเท่าไหร่นัก
นับตั้งแต่สร้างชื่อเสียงเป็นนักมวยจีนคนแรกในประวัติศาสตร์ที่คว้าเหรียญ(ทอง
แดง)ในกีฬาโอลิมปิคที่กรุงเอเธนส์เมื่อ 8 ปีที่แล้ว จนทำให้ชื่อของโจว
ซื่อหมิงเริ่มเป็นที่รู้จักในวงการกีฬาจีนมากขึ้น โจว ซื่อหมิงได้กลายเป็นความหวังหนึ่งเดียวที่จะคว้าเหรียญทองโอลิมปิคจากกีฬาชกมวยให้คนจีนได้ภาคภูมิใจ
เพราะครั้งหนึ่ง
กีฬาชกมวยถือเป็นกีฬาต้องห้ามสำหรับคนจีน เนื่องจากเหม๋าเจ๋อตุงอดีตผู้นำจีนมองว่า
กีฬาประเภทนี้มีความเป็นตะวันตกมากเกินไป โจว
ซื่อหมิงจึงถือเป็นนักมวยจีนคนแรกๆที่สร้างประวัติศาสตร์ประกาศศักดานักมวยจีนสู่เวทีมวยโลก
และเปิดประตูกีฬาชกมวยสู่สังคมจีน
ด้วยเหตุนี้เอง
เมื่อจีนได้เป็นเจ้าภาพโอลิมปิคในปี 2008 โจว
ซื่อหมิงจึงถูกคาดหวังอย่างเต็มเปี่ยมว่าจะต้องได้เหรียญทองอย่างแน่นอน
และก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ
บนโพเดี้ยมแห่งเกียรติยศ
โจว
ซื่อหมิงสามารถสร้างประวัติศาสตร์คว้าเหรียญทองเหรียญแรกจากกีฬามวยสมัครเล่นให้แก่ประเทศจีน
หมายเลข “2008” กลายเป็นเลขที่มีความหมายอย่างยิ่งทั้งต่อโจว ซื่อหมิง และวงการกีฬาของจีน
แต่เบื้องหลังแห่งความยิ่งใหญ่ดังกล่าว
ก็เกิดเป็นข้อครหาว่า เหรียญทองนี้ของโจว
ซื่อหมิงไม่ได้มาอย่างสมศักดิ์ศรีของแชมป์ ถึงแม้ว่าโจว
ซื่อหมิงจะสามารถเอาชนะแพทริก บาร์นส์
ยอดนักมวยจากไอร์แลนด์เหนือในรอบรองชนะเลิศได้อย่างสะดวกสบายด้วยคะแนน15 ต่อ 0
ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้สำหรับนักมวยในระดับดีกรีเหรียญทองแดงสองสมัย
(ในปี 2008 และ 2012) แล้วความจริงก็ปรากฏเป็นประจักษ์ขึ้นมาว่า
หมัดและแต้มที่ควรจะเป็นของบาร์นส์อย่างชัดเจน
กลับกลายว่ากรรมการได้ทำหน้าที่ผิดพลาด (โดยเจตนา?)
กดเป็นคะแนนให้นักมวยจีนไปทั้งหมดอย่างไม่น่าเชื่อ
ในรอบชิงชนะเลิศ โจว
ซื่อหมิงพบกับสุดยอดนักมวยจากมองโกเลียนามเซอร์ดัมบา
พูเรดอร์จผู้เป็นขวากหนามสำคัญที่สุดสำหรับภาระกิจสร้างประวัติศาสตร์ของโจว
ซื่อหมิงในครั้งนี้ แต่ดูเหมือน ว่าชะตาลิขิตและโชคอำนวยให้โจว
ซื่อหมิงสามารถคว้าชัยได้แบบไม่เหนื่อยมากนัก
เนื่องจากคู่ชิงจากมองโกเลียขอยุติการชกในช่วงต้นยกที่ 2 เพราะบาดเจ็บที่หัวไหล่ขวา
ภายใต้ทฤษฏีสมคบคิด
ไม่มีใครทราบแน่ชัดว่ายอดนักมวยมองโกเลียนคนนี้บาดเจ็บจริงหรือไม่(?)
จนต้องขอยอมแพ้ หรือว่าเป็นการเสียสละเพื่อชาติเพื่อความ
สัมพันธ์อันดีระหว่างมองโกเลียและพี่ใหญ่อย่างจีน(?)
และด้วยความเชื่อของทฤษฏีสมคบคิด(ที่ดูมีน้ำหนักยิ่งขึ้น?) ดูเหมือนว่า
เหรียญเงินโอลิมปิคสำหรับ
พูเรดอร์จถูกชดเชยหรือทดแทนด้วยตำแหน่งแชมป์โลกรุ่นไลท์ฟลายเวทที่มิลานในปี 2009(?) เหตุผลหนึ่งเป็นเพราะว่าโจว ซื่อหมิงถอนตัวไม่เข้าร่วมชิงชัยด้วย
ทั้งๆที่นักมวยจีนคนนี้เป็นตัวเต็งจ๋ามีดีกรีเป็นแชมป์โลกแชมป์เก่าสองสมัย ในปี
2005 และ 2007 และแชมป์เหรียญทองโอลิมปิคสดๆร้อนๆ ในปีก่อนหน้านั้น แต่หลังจากนั้น
โจว ซื่อหมิงก็กลับมาคว้าแชมป์โลกสมัยที่สามในปี 2011
โจว
ซื่อหมิงมีภารกิจสร้างประวัติศาสตร์อีกหลายๆหน้าในโอลิมปิคที่ลอนดอนในปีนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
การพิสูจน์ให้วงการมวยโลกได้ประจักษ์ว่า
เหรียญทองโอลิมปิคที่ได้มาเมื่อสี่ปีที่แล้วนั้นใสสะอาดไม่มีเบื้องหน้า
เบื้องหลังใดๆ แต่สุดท้ายแล้วกลับกลายเป็นสิ่งที่ตรงกันข้าม
ต้องยอมรับว่า
โชคมีส่วนไม่น้อยที่ทำให้โจว ซื่อหมิงผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศในครั้งนี้
เพราะสามารถเอาชนะคู่ปรับเก่าอย่างแพทริก บาร์นส์
ในรอบรองชนะเลิศได้อย่างเฉียวฉิวที่สุดด้วยคะแนนที่เท่ากัน 15 ต่อ 15
จนต้องตัดสินด้วยจำนวนหมัดที่ชกหรือคะแนนดิบ
เหรียญทองโอลิมปิคที่มีค่าเพียงแค่ทองคำ? |
และโชคก็หนุนส่งอีกครั้งหนึ่งทำให้โจว
ซื่อหมิงสามารถคว้าเหรียญทองเหรียญที่สองให้กับตัวเอง ด้วยชัยชนะที่เหนือแก้ว
พงศ์ประยูรอย่างน่ากังขาเป็นที่สุด และชนิดที่ว่า ทฤษฏีสมคบคิดตาม
มาหลอกหลอนอีกครั้ง จนถึงกับมีการกล่าวหาว่านักมวยไทยถูกปล้นชัยชนะ(?)
แน่นอนที่สุด น้ำตาของโจว
ซื่อหมิงในวันที่คว้าเหรียญทองในปักกิ่งเกมส์เมื่อสี่ปีที่แล้ว
ย่อมแตกต่างจากน้ำตาของแก้วในลอนดอนเกมส์ปีนี้อย่างสิ้นเชิง
ในการแข่งขันโอลิมปิคครั้งนี้
ไม่เพียงแต่คนไทยเท่านั้นที่หัวใจสลายไปกับแก้ว
แต่คนฟิลิปปินส์เองก็หัวใจสลายไม่แพ้กัน เพราะมาร์ค
บาริกก้านักมวยความหวังเหรียญทองหนึ่งเดียวของฟิลิปปินส์ในรุ่นไลท์ฟลายเวทเดียวกันนี้
ก็ต้องแพ้ภัยถูกตัดคะแนนแบบน่ากังขาเช่นเดียวกับกรณีของแก้วแพ้ตกรอบไปแบบเจ็บปวดที่สุด
หัวใจสลายของคนไทยในครั้งนี้เป็นเรื่องที่เข้าใจได้
เพราะไม่สามารถยอมรับในสิ่งที่ตัดสินแบบค้านสายตาเช่นนี้ และเชื่อได้ว่า
ต่อให้ไปฟ้อง “ครูอังคณา” หรือศาลไหนๆก็ยากที่จะทำให้สหพันธ์มวยสา
กลสมัครเล่นนานาชาติหรือไอบ้ากลับคำตัดสินได้
สองผู้ยิ่งใหญ่แห่งสมาคมมวยฯ - อดีตนายกสมาคม(ซ้ายมือ)และนายกสมาคมคนปัจจุบัน (ขวามือ) |
ประธานไอบ้าชาวไต้หวัน |
สำหรับสมาคมมวยสากลแห่งประเทศไทย(และสมาคมกีฬาอื่นๆ)
มีบทเรียนที่ควรจะ ต้องพิจารณาทบทวน 2 ประการ ดังนี้
หนึ่ง จะเห็นได้ว่า
สมาคมมวยฯมีข้อบกพร่องอย่างชัดเจนถึงสองครั้งในการยื่นเรื่องประท้วงผลการตัดสิน
ครั้งแรก ก็คือกรณีที่(ผู้แทน)สมาคมฯไม่มีเงินสด 500 ดอลลาร์ หรือประมาณ 15,500 บาท
ที่จะต้องจ่ายมัดจำให้ไอบ้าเมื่อต้องการยื่นเรื่องประท้วงผลการตัดสินกรณี ของสายลม
อาดีตามกฎระเบียบ จนต้องถึงขั้นต้องยืมเงินจากนักข่าว
ซึ่งเป็นเรื่องไม่น่าเชื่อที่จะเกิดขึ้นกับสมาคมกีฬาที่เป็นความหวังสูงสุด
ของประเทศ ครั้งที่สองก็คือการทึกทักเอาเอง(จนเข้าใจผิด)ว่า
สามารถยื่นเรื่องประท้วงผลการตัดสินได้ภายใน 30 นาทีในกรณีของแก้ว พงศ์ประยูร ทั้งๆที่ระเบียบตัวอักษรของไอบ้าเขียนไว้ชัดเจนว่าต้องดำเนินการภายใน 5
นาที
สอง ดูเหมือนว่า
การเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการบริหารในสมาคมฯเมื่อปีที่แล้วไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก
เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า ผู้บริหารชุดเก่าโดยเฉพาะพล.อ.ทวีป จันทรโรจน์
อดีตนายกสมาคมฯมีเรื่องมีราวเป็นคู่กรณีกับประธานไอบ้าชาวไต้หวันจนถึงขั้น
ฟ้องร้องกัน ความขัดแย้งดังกล่าว
นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงนายกสมาคมฯคนใหม่ด้วยความหวังว่า ไอบ้าจะอำนวยโชคให้แก่นักมวยไทยบ้างไม่มากก็น้อยซึ่งน่าจะเป็นเช่นนั้น
แต่ภายใต้ทฤษฏีสมคบคิด การไปปรากฏตัวและนั่งเชียร์ถึงขอบเวทีของพล.อ.ทวีป
ไม่ว่าจะในฐานะอดีตนายกสมาคมฯหรือในฐานะคนไทยผู้ชื่นชอบกีฬาประเภทนี้ก็ตาม
ก็อาจจะทำให้ประธานไอบ้าผู้เป็นไม้เบื่อไม้เบาเกิดอาการหมั่นใจไม่พอใจ
จนมีผลต่อความพ่ายแพ้ของแก้วไปอย่างน่าเสียดายเป็นที่สุดก็เป็นได้
บนสังเวียนกำปั้น มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่โชคดี |
ใช่...นี่คือผู้ชนะตัวจริง |
นี่คือความหมายของเกมกีฬา - ผู้ชนะที่ปลอบใจผู้แพ้ |
สำหรับแก้ว พงษ์ประยูรแล้ว เหรียญเงินที่ได้ในครั้งนี้ ดูเหมือนว่ามีค่ามีความภูมิใจมากกว่าเหรียญทอง(ของโจว ซื่อหมิงที่)เสียอีก โดยเฉพาะการเห็นอกเห็นใจจากคนไทยทั่วประเทศซึ่งเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุด
อิวานเดอร์ โฮลิฟิลด์ สุดยอดมวยยักษ์คนหนึ่งในประวัติศาสตร์ |
รอย โจนส์ จูเนียร์ สุดยอดมวยโลกที่ยอดเยี่ยมที่สุด |
ประการสำคัญที่อยากฝากให้คิดก็คือว่ามีนักมวยระดับโลกที่สามารถเป็นตัวอย่าง
เป็นโมเดลให้แก้วสามารถก้าวข้ามพ้นความผิดหวังครั้งใหญ่นี้ได้อย่างเป็นอย่างดี
เพราะสุดยอดมวยโลกชาวอเมริกันอย่างอีวานเดอร์
โฮลิฟิลล์อดีตแชมป์โลกมวยรุ่นยักษ์ที่ยิ่ง ใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในประวัติ ศาสตร์มวยสหรัฐฯ
และรอย โจนส์
จูเนียร์สุดยอดแชมป์ที่ได้รับการยกย่องว่ายอดเยี่ยมที่สุด(แบบปอนด์ต่อปอนด์)ตลอดกาล
ก็เคยผ่านประสบ การณ์ที่ผิดหวังเป็นที่สุดในเกมส์โอลิมปิคมาแล้ว
การถูกโกงถูกปล้นชัยชนะอย่างหน้าตาเฉยแบบค้านสายตาผู้ชมทั่วโลก
มีส่วนสำคัญที่ผลัก ดันให้ทั้งโฮลิฟิลล์และรอย
โจนส์ก้าวสู่ความยิ่งใหญ่บนสังเวียนการต่อสู่ในเวลาต่อมาจนกลายเป็นตำนานในประ วัติศาสตร์
.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น