ภายหลังจากที่พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งเมื่อวันที่
3 กรกฏาคมปีที่แล้ว ก็ส่งผลทำให้นางสาวยิ่งลักษณ์
ชินวัตรกลายเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย
หลังจากดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครบขวบปี
ก็มีการปรับคณะรัฐมนตรีหลายตำแหน่งตามความเหมาะสมและจำเป็น
ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า รัฐบาล “ปู3” ถูกกำหนดและอยู่ภายใต้อิทธิพลของ
3 สายใหญ่ คือสายนายใหญ่และนายหญิง สายคนในครอบครัว
และสายพรรคร่วมรัฐบาล สื่อบางฉบับวิพากษ์วิจารณ์ว่า
จริงแท้แล้ว “ครม.ยิ่งลักษณ์ 3” เกิดจากน้ำมือของผู้หญิง 3 คน เป็น “3
เจ๊” คนครอบครัวเดียวกัน ผู้เป็นเสมือน “ป-อ-ด” ของศูนย์อำนาจปัจจุบัน
ถึงแม้ว่า
อำนาจทางการเมืองในปัจจุบันจะอยู่ในมือของพลัง 3 ขาที่ร่วมมือยึดเหนี่ยวกุมอำนาจรัฐอย่างเหนียวแน่น
ณ เวลานี้ นั่นคือ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ พรรคเพื่อไทย และกลุ่มคนเสื้อแดง
แต่รัฐบาลก็เผชิญกับแรงกดดันทางการเมืองอย่างหนักหน่วงจากสารพัดทิศ
แรงกดดันที่ดูเหมือนสร้างความหนักใจให้กับรัฐบาลยิ่งลักษณ์มากที่สุด
ณ ช่วงเวลาที่ผ่านมาสดๆร้อนๆ ก็คือ
การชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยามและภาคีเครือข่ายภายใต้การนำของ เสธ.อ้าย
พลเอกบุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ (นักเรียนนายร้อยรุ่นปี
2503 ผู้เกิดในปีจุลศักราช1303
)โดยอ้างเหตุผลหลัก 3 ข้อที่จำเป็นต้องชุมนุมเพื่อขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์
หนึ่ง คือรัฐบาลปล่อยให้มีการจาบจ้วงและดูหมิ่นสถาบัน สอง เป็นรัฐบาลหุ่นเชิดไร้ประสิทธิภาพ และสาม รัฐบาลมีการทุจริตคอรัปชั่นอย่างมโหฬาร
ซึ่งพลเอกพัลลภ ปิ่นมณี ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีได้ย้ำเตือนรัฐบาลว่า ทั้ง 3
ข้อ 3 เรื่องนี้เป็นสูตรสำเร็จในการปฏิวัติล้มล้างรัฐบาลมาตั้งแต่อดีตจนถึงครั้งล่าสุดในปี2549
ในขณะเดียวกัน นาย อภิสิทธิ์
เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็ได้ขยายความและตอกย้ำให้เห็นว่า
การเมืองเลวร้ายด้วย 3 เงื่อนไข คือ
หนึ่ง เป้าหมายรัฐบาลนี้คือนิรโทษกรรมล้างผิดให้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ผู้คนจึงรับไม่ได้ แม้รัฐบาลชนะเลือกตั้งมีเสียงข้างมาก แต่ไม่มีความชอบธรรมที่จะทำลายระบบกฎหมาย
สอง รัฐบาลใช้อำนาจเพื่อความได้เปรียบทางการเมือง
ไม่ยอมรับการตรวจสอบทั้งในและนอกสภา และสาม
นโยบายประชานิยมที่จะทำให้การเมืองและเศรษฐกิจมีปัญหาขั้นวิกฤต
ผู้คนในสังคมจึงต้องตื่นตัว ส่งสัญญาณบอกผู้มีอำนาจว่าอย่าเดินเส้นทางนี้
แน่นอนที่สุดว่า
พ.ต.ท.ทักษิณย่อมเป็นเป้าหมายหลักที่สำคัญที่สุดของการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ในครั้งนี้และทุกๆครั้ง
ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองของอดีตนายกรัฐมนตรีคนนี้
มีความเชื่อบนสมมติฐานที่ว่า “ถ้าทักษิณจบ
ปัญหาทางการเมืองต่างๆก็ยุติ” เพราะฉะนั้น
ข่าวการลอบสังหารคุณทักษิณซึ่งมีกำหนดการจะแวะเยือนท่าขี้เหล็ก
ในประเทศพม่าเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
จึงดูเหมือนมีน้ำหนักของการเป็นข่าวจริงมากกว่าข่าวลวง
จนต้องล้มเลิกกำหนดการไปในที่สุด
ครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ ชื่อของเสธ.อ้ายดังเป็นข่าวติดหูคนไทยในฐานะนายกสมาคมกีฬามวยสากลแห่ง ประเทศไทยที่พลาดหวังเหรียญทองโอลิมปิค
แต่ด้วยบทบาทใหม่ในฐานะประธานและแกนเอกขององค์การพิทักษ์สยามฯ ชื่อของ
“เสธ.อ้าย” กลายเป็นชื่อนายทหาร “เสธ.” ที่ดังที่สุดในวงการเมือง ณ
เวลานี้ไปโดยปริยาย หลังจากที่ก่อนหน้านี้เมื่อสองสามปีก่อนในช่วงที่ความขัดแย้งทางการ
เมืองอย่างถึงขีดสุด ไม่มีชื่อเสธ.คนใดที่จะมีบทบาทและถูกกล่าวถึงมากเกินกว่าชื่อ “เสธ.แดง” อีกแล้ว
ถึงแม้ว่า “แก้วประเสริฐ” ของเสธ.อ้ายจะไม่สามารถทำให้ฝันของแก้ว
พงศ์ประยูรเป็นจริงนำเหรียญทองโอลิมปิคกลับเมืองไทยได้ แต่ใครหลายๆคนอาจจะกำลังคาดหวังว่า “แก้วประเสิรฐ”
ดวงนี้อาจจะมีอิทธิพลข่มขวัญหรือสามารถทำลายล้างพลังแนวร่วมของแก้ว 3
ประการของฝ่ายคุณทักษิณที่เคยเป็นยุทธศาสตร์ต่อสู้ทางการเมือง
นั่นคือพรรคเพื่อไทย แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช)ของกลุ่มคนเสื้อแดง
และกองกำลังชุดดำ(?)
แรกเริ่มเดิมทีแล้ว
รัฐบาลได้ปรามาสและประเมินผิดพลาดว่าการชุมนุมครั้งแรกขององค์การพิทักษ์สยามฯเมื่อวันที่
28 ตุลาคมจะมีผู้เข้าร่วมเพียงแค่ 3 พันคนเท่านั้น
แต่การณ์กลับเป็นว่ามีผู้เห็นด้วยและเข้าร่วมชุมนุมที่สนามม้านางเลิ้งร่วม 3
หมื่นคนชนิดเกินความคาดหมาย จนกระทั่ง
เสธ.อ้ายเกิดพลังฮึดประกาศเจตนารมน์ที่จะจัดชุมนุมครั้งต่อไปภายใน 3
สัปดาห์
ว่ากันว่า การชุมนุมครั้งที่สองเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน ณ บริเวณพระบรมรูปทรงม้า
ดูเหมือนจะสร้างความหวั่นวิตกให้แก่ฝ่ายรัฐบาลอย่างมาก ยิ่งเสธ.อ้ายเปิดเผยว่า ภายหลังจากการชุมนุมครั้งแรก
ปรากฏมีผู้สนใจติดตามและเข้ามาดูเวปไซต์ขององค์การพิทักษ์สยามฯกว่า 3
ล้านคนแล้ว เป็นการข่มขวัญสร้างพลังทางจิตวิทยาอย่างได้ผล
ความหวั่นวิตกดังกล่าว สะท้อนให้เห็นผ่านทางคำพูดของพ.ต.ท.ทักษิณ
ที่ได้โฟนอินล่าสุดมาถึงกลุ่มคนเสื้อแดงภายใต้ชื่อ “รวมพลคนรักรัฐบาล
ต้านกบฏ เดินหน้าลงมติรับร่างรัฐธรรมนูญวาระ 3” ที่สมุทรปราการเมื่อเร็วๆนี้
เรียกร้องให้คนเสื้อแดงเตรียมตัวเตรียมใจรวมพลังต่อต้านการชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยามฯ
นอกจากนี้
ก็ได้มีศึกษาวิเคราะห์แนวคิดและถ้อยคำต่างของเสธ.อ้ายในวอร์รูมของ “นายใหญ่” พรรคเพื่อไทย จนมีเหตุมีมูลให้เชื่อได้ว่า
สอดคล้องหรือตรงกับเอกสาร 3 หน้า
ที่(เคย)ถูกส่งถึงบุคคลสำคัญในชาติบ้านเมืองและนายทหารหลายคน เมื่อสองปีที่แล้ว โดยเฉพาะศัพท์แสงทั้ง 3 คำคือคำว่า
“ปฏิวัติประชาชน” “การปิดประเทศ” และ “แช่แข็งประเทศ”
แต่ดูเหมือนวอร์รูมของ “นายใหญ่”
จะลืมหรือมองข้ามไปว่า
การเลือกและกำหนดการชุมนุมที่บริเวณพระบรมรูปทรงม้าของเสธ.อ้าย
ถือเป็นการดำเนินการตามฤกษ์หรือ "ดวงอาชา" ครั้งที่ 3 ก็ว่าได้ ต้องไม่ลืมว่า ครั้งหนึ่ง
วลีอุปมาเปรียบเปรยของพลเอกเปรมที่เกี่ยวกับม้าและจ๊อกกี้
เคยถูกตีความและโยงใยว่าเป็นการส่งสัญญาณจนกระ- ทั่งนำไปสู่การรัฐประหารในปี 2549 และต้องไม่ลืมว่า
การเริ่มต้นชุมนุมของคนเสธ.อ้ายเกิดขึ้นที่สนามม้านางเลิ้ง
ราวกับจะสะท้อนให้เห็นว่า ทั้งหลายทั้งปวง เป็นเรื่องของคนกับม้าไม่ใช่ม้าขาวของนารีใดๆ
การชุมนุมของ "คนการเมือง" ที่สนามม้านางเิลิ้ง |
ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ก็มองว่า
พ.ต.ท.ทักษิณกังวลต่อการชุมนุมครั้งนี้เป็นอย่างมาก
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะโฟนอินใส่ร้ายป้ายสี 3 กลุ่มหลักที่เป็นฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง
นั่นคือกลุ่มองคมนตรี/อำมาตย์
กลุ่มทหาร และพรรคประชาธิปัตย์
ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนว่า ฝ่ายของคุณทักษิณและกลุ่มคนเสื้อแดง
พยายามโยงใยให้สังคมเห็นถึงความเกี่ยวพันของ “3 พี” ต่อการชุมนุมในครั้งนี้
โดยเฉพาะบทบาทสำคัญของลูกป๋าทั้งสองคนในฐานะแนวร่วมขององค์การพิทักษ์สยามฯคือ
น.ต.ประสงค์ (Prasong) สุ่นสิริ และ พล ร.อ. พะจุณณ์ (Phajun) ตามประทีปที่สามารถโยงไปถึงป๋าเปรม (Prem)
ได้
ก่อนถึงวันชุมนุมใหญ่ องค์การพิทักษ์สยามฯ
ได้เก็บงำยุทธิวิธีในการชุมนุมไว้อย่างลับที่สุดจนสร้างความหวั่นไหวให้แก่
ฝ่ายรัฐบาลเพราะไม่รู้ว่าจะมาไม้ไหนและจะตั้งรับไม้ใด ถึงแม้ว่า
“วอร์รูม 30 อรหันต์” ขององค์การพิทักษ์สยามฯ
จะประกอบด้วยแกนนำจากแนวร่วมเครือข่ายต่างๆ
แต่อำนาจการตัดสินใจและการวางแผนจะถูกกำหนดอย่างลับที่สุดโดยแกนนำหลักเพียง 3 คนเท่านั้น
นั่นคือ เสธ.อ้าย พล.ร.อ.ชัย สุวรรณภาพ และพล.อ.ท.วัชระ ฤทธาคนี (จนเครือข่ายคนรักประชาธิปไตย 14 จังหวัดภาคใต้ได้ถือเคล็ดและเผาควายขนาดใหญ่
3 ตัวเพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์) เช่นเดียวกันกับทางฟากของกลุ่มคนเสื้อแดงก็ได้มีการประกาศอย่างชัดเจนว่า
การเคลื่อนไหวใดๆของคนเสื้อแดงให้รับฟังสัญญาณและคำสั่งจากแกนนำเพียง 3
คนเท่านั้น คือ นางธิดา ถาวรเศรษฐ นายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสน ความเพลี่ยงพล้ำหรือการปะทะของมวลชนทั้งสองฝ่าย
ในฟากฝั่งรัฐบาลเอง ถึงแม้จะมีการปรามาสว่า
การชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยามฯจะอยู่ได้ไม่เกิน 3 วัน แต่ถ้าหากว่า เกิดปรากฏการณ์ มีผู้มาเข้าร่วมชุมนุมมืดฟ้ามัวดินกว่า 3
แสนคนก็คงจะสร้างความวิตกหวั่นไหวให้แก่รัฐบาลและผู้สนับสนุนหนาวสะท้านไม่ต่างจากสภาพถูกแช่แข็ง
ด้วยเหตุนี้เอง
จึงได้มีการตระเตรียมและเตรียมพร้อมอย่างสูงสุดเพื่อรักษาอำนาจรัฐเอาไว้
ฝ่ายรัฐบาลได้มีการวิเคราะห์และเชื่อว่า
องค์การพิทักษ์สยามฯจะดำเนิน “ยุทธศาสตร์ 3 ดาบ” นั่นคือ การชุมนุมใหญ่
การสร้างสถานการณ์ให้เลวร้ายจนกลายเป็นเงื่อนไขให้ทหารปฏิวัติรัฐประหาร
และหากรัฐประหารไม่สำเร็จก็จะใช้องค์กรอิสระในการล้มรัฐบาลเป็นดาบสุดท้าย
ในขณะเดียวกัน รัฐบาลก็พยายามทำในทุกวิถีทางเพื่อหยุดยั้งการชุมนุมครั้งนี้
ทั้งมาตรการไม้อ่อนและไม้แข็ง 3 มาตรการ ดังนี้
หนึ่ง
หวังใช้อำนาจของศาลในการสั่งให้ยุติการชุมนุม โดยศาลรัฐธรรมนูญได้ออกนั่งบัลลังก์ 3
วันก่อนวันชุมนุม ณ ห้องพิจารณาคดี ชั้น 3 สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ
ไต่สวนคำร้องทั้ง 3 คำร้องของกลุ่มผู้สนับสนุนรัฐบาล
และมีคำสั่งไม่รับคำร้องทั้ง 3 ไว้พิจารณาวินิจฉัย เท่ากับว่า เสธ.อ้ายมีสิทธิและสามารถจัดการชุมนุมตามกำหนดได้
สอง ในขณะเดียวกัน
ก่อนถึงกำหนดดีเดย์วันชุนนุมใหญ่
รัฐบาลก็ได้มีการประกาศเชิญชวนให้คนไทยร่วมกันสวมใส่เสื้อสีเหลืองอย่างพร้อมเพรียงกันเนื่องในโอกาสวัน
“5
ธันวามหาราชา” ราวกับว่า
เพื่อหวังผลทางจิตวิทยาบางประการ(?)
สาม
เมื่อไม่สามารถหยุดยั้งการชุมนุมครั้งใหญ่ได้ รัฐบาลจึงได้เตรียมมาตรการไม้แข็ง
โดยประกาศ พรบ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ใน 3 เขตได้แก่เขตพระนคร
ป้อมปราบศัตรูพ่ายและดุสิต พร้อมกันนั้น พล.ต.อ. อดุลย์ แสงสิงแก้ว
ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์รักษาความสงบเรียบร้อย
ได้ลงประกาศ ศอ.รส. ทันที 3 ฉบับเพื่อรับมือกับการชุมนุม
โดยได้กำหนดจุดพื้นที่ไว้ 3 ระดับ ประกอบด้วย
พื้นที่หวงห้ามเด็ดขาด เช่น ที่ประทับ พระบรมมหาราชวัง พระตำหนักสวนจิตรลดา
ทำเนียบรัฐบาล รัฐสภา และ รพ.ศิริราช พื้นที่หวงห้าม
ซึ่งรวมถึงพื้นที่บริเวณรัฐสภาและทำเนียบ และพื้นที่เฝ้าระวัง ทั้งนี้ ในส่วนของกองบัญชาการตำรวจนครบาลได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการ (ศปก.)
ส่วนหน้าไว้ 3 จุดคือ สนามเสือป่า รัฐสภา และทำเนียบรัฐบาล และแน่นอนที่สุดว่า
ได้มีการยกระดับมาตรการรักษาความปลอดภัยบ้านพักของนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ในซอยโยธินพัฒนา
3 อย่างเข้มงวดและเต็มกำลัง
เพราะเชื่อว่า
เสธ.อ้ายและเครือข่ายมีเป้าหมายหลักที่จะโค่นล้มนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ให้กลายเป็นผู้นำนอมินีของพ.ต.ท.ทักษิณคนที่
3 ที่สูญเสียอำนาจต่อจากนายสมัคร สุนทรเวชและนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์
สำหรับพื้นที่หวงห้ามนั้น
สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้จัดเตรียมตำรวจจำนวน 3
กองพันตั้งป้อมประจำรักษาการบริเวณทำเนียบรัฐบาล และตำรวจตระเวนชายแดนจำนวน 3
กองร้อยรับผิดชอบดูแลพื้นที่ภายในรัฐสภาเพื่อดูแลรักษาความปลอดภัยในระหว่างการชุมนุม ทั้งนี้ ได้มีการเตรียมบันไดเชื่อมต่อระหว่างอาคารรัฐสภา 3
กับพระที่นั่งวิมานเมฆเพื่อใช้เป็นทางออกฉุกเฉินด้วย
ในส่วนของทหารทั้ง 3
เหล่าทัพก็ได้รับมอบหมายให้จัดนายทหารมาร่วมปฏิบัติงานให้คำแนะนำ
ประสานงานปฏิบัติกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติด้วย โดยเฉพาะกองทัพบก
ได้มีการสั่งการไปยัง 3 กองพลสำคัญ คือ กองพลที่ 1 รักษาพระองค์
กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์
และกองพลปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน ให้จัดเตรียมกำลัง
เตรียมพร้อมในหน่วยที่ตั้งหากมีการร้องขอการสนับสนุน อย่างน้อยที่สุด
เพื่อลบกระแสข่าวที่ว่า จะมีหน่วยทหารหลายหน่วยเข้าร่วมชุมนุมในครั้งนี้ด้วย
โดยเฉพาะกองพลทหารราบที่ 3 (ค่ายเปรม ติณสูลานนท์)
ที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษ
ในส่วนขององค์การพิทักษ์สยามและเครือข่ายก็ได้มีการตระเตรียมวางแผนสำหรับการชุมนุม
ด้วยการตั้งด่านอย่างเข้มงวด 3 ชั้นตั้งแต่เปลือกไข่ ไข่ขาวและไข่แดง และจัดตั้งการ์ด
3 กลุ่มขึ้นมาดูแลมวลชนคือ กองทัพธรรมจากสันติอโศก
หน่วยรักษาความปลอดภัยจากหลายเครือข่ายซึ่งมีประสบ การณ์ในการชุมนุมมาก่อน และอาสาใหม่เพื่อเตรียมรับมือและต่อสู้กับ
3 ยุทธศาสตร์ของฝ่ายรัฐบาลในการสกัดกั้นมวลชน นั่นคือ
การใช้คำพูดท้าทายต่อผู้ชุมนุม การสร้างข่าวเพื่อใส่ร้ายป้ายสีม็อบ
และการใช้วิธีการตีปลาหน้าไซ โดยให้ข่าวในลักษณะที่สร้างภาพความรุนแรง
จนทำให้ประชาชนไม่กล้าเข้าร่วมกับม็อบ
การทำสงครามจิตวิทยาก่อนถึงศึกใหญ่กลายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับทั้งสองฝ่าย
ในส่วนของเสธ.อ้ายก็ได้ประกาศจุดยืนอย่างชัดเจนว่า
ศึกครั้ง(สุดท้าย)นี้ม้วนเดียวจบหากไม่ชนะก็ต้องยุติ จะไม่มีการชุมนุมครั้งที่ 3
อย่างแน่นอน พร้อมทั้งเปิดตัว 3 คนเสื้อแดงที่เข้าร่วมม๊อบชุมนุมขับไล่รัฐบาล
และอ้างว่า หมู่บ้านเสื้อแดงเพื่อประชาธิปไตยกว่า 3 หมื่นหมู่บ้านทั่วประเทศ
อาจจะสนับสนุนการชุมนุมของเสธ.อ้ายก็เป็นได้ ในขณะเดียวกัน
คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชรพร้อมลูกๆทั้ง 3 คน ซึ่งเป็นหัวแก้วหัวแหวนของคุณทักษิณก็ได้ปรากฏตัวที่สถานีวอยซ์ทีวีท่ามกลาง
ข่าวลือข่าวปล่อยว่าคนในตระกูลชินวัตรเตรียมเดินทางออกหนีออกนอกประเทศเพราะ
ไม่มั่นใจใสถานการณ์
ในส่วนของฝ่ายรัฐบาลเอง
ก็ได้ปล่อยข่าวว่า มีการจัดหาและสั่งซื้อเสื้อสีแดงไม่ต่ำว่า 3 พันตัวสำหรับวางแผนเตรียมการสร้างแดงเทียม
ที่อาจจะเป็นมือที่ 3 ที่ทำให้สถานการณ์เลวร้ายเกินควบคุม
พร้อมทั้งประเมินสถานการณ์ว่า
องค์การพิทักษ์สยามและเครือข่ายได้สั่งให้ผู้ชุมนุมเตรียมตัวและเตรียมเครื่องใช้ที่จำเป็นสำหรับการชุมนุมเป็นเวลา
3 วัน และย้ำข่าวปล่อยว่า ผู้ชุมนุมได้มีการเตรียมทางหนีทีไล่โดยหากเกิดความรุนแรงให้กลุ่มผู้ชุมนุมหนีเข้าไปอยู่ใน
3 จุดคือ สนามเสือป่า วัดเบญจมบพิตรฯ และสวนจิตรลดา
โดยเฉพาะสวนจิตรลดาที่มีการแจ้งกับผู้ชุมนุมว่าเป็นจุดที่ปลอดภัยมากที่สุด
แต่ก็ถือว่าเป็นสถานที่ที่อ่อนไหวที่สุดด้วย ด้วยเหตุนี้
ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงได้ประกาศแจ้งเตือนและแนะนำไปยังผู้ชุนนุมว่า
สถานที่ 3 แห่งสำหรับให้ประชาชนเข้าไปในกรณีมีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น คือ
สนามม้านางเลิ้ง วัดเบญจมบพิตรและสโมสรทหารบก และที่จะขาดเสียมิได้ก็คือ
ชุดปฏิบัติการฉุกเฉินและรถพยาบาลฉุกเฉินเคลื่อนที่เร็วปฏิบัติงานทันทีหากเกิดเหตุรุนแรงซึ่งได้มีการกำหนดแผน
3 ขั้นจากเบาไปหนัก
ที่สำคัญที่จำเป็นต้องกล่าวถึงก็คือ
แผนปฏิบัติการ 3 ยุทธศาสตร์ของตำรวจเพื่อตัดไฟเสียแต่ต้นลม หนึ่ง
ทำให้การเข้ามาชุมนุมในพื้นที่เป็นไปอย่างลำบากยากเย็น สอง
ทำให้พื้นที่ชุมนุมดูเสมือนจะมีอันตรายไม่ปลอดภัย และ สาม สร้างพื้นที่อันตรายสำหรับการชุมนุม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
การออกข่าวในทำนองว่า มีพื้นที่ 3
แห่งที่ฝ่ายผู้ชุมนุมไม่สามารถตรวจสอบได้ คือ ทำเนียบรัฐบาล,
กองบัญชาการตำรวจนครบาล และกระทรวงศึกษาธิการ
ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำอยู่แบบลับๆ ล่อๆ เมื่อถึงเวลามืดค่ำลง
ไม่มีใครรับประกันได้ว่า
ความรุนแรงจากการใช้อาวุธสงครามจะไม่เกิดขึ้นจากกลุ่มบุคคลในพื้นที่เหล่า
นั้นหรือหรือจากคนชุดดำ
จนกลายเป็นปัจจัยทางจิตวิทยาที่ชี้ขาดการยุติการชุมนุมก็ว่าได้
ถึงที่สุดแล้ว
ภายหลังที่เสธ.อ้ายใช้เวลา 3 ชั่วโมงในการประเมินสถานการณ์หลังเกิดเหตุปะทะและใช้แก๊สน้ำตา
และประกาศยุติการชุมนุมอย่างเกินความคาดหมาย เป็นการชุมนุมที่เสธ.อ้ายอ้างว่า
ใช้เงินงบประมาณเพียงแค่ 3 ล้านบาท มีการวิเคราะห์ว่า
การพ่ายแพ้(ทางการเมืองชั่วคราว?) ของเสธ.อ้ายและเครือข่ายในครั้งนี้ เป็นชัยชนะครั้งสำคัญสำหรับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ บวกกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและ 3 รัฐมนตรีตลอด 3
วันกว่า 30 ชั่วโมง
ที่ถึงแม้ว่าจะตระเตรียมการบ้านเป็นอย่างดี โดยใช้ห้องบนชั้น 3 อาคารรัฐสภาเป็นวอร์รูมเตรียมการ
จนถึงขั้นกำหนดให้มีผู้ล่วงรู้ข้อมูลเพียง 3 คนเท่านั้น
คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (หัวหน้าพรรค) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์
(ประธานประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน) และ
เจ้าของหัวข้อที่จะอภิปรายเพื่อป้องกันไม่ให้รัฐบาลรู้ตัวหรือเตรียมข้อมูล
ล่วงหน้า แต่ด้วยจำนวนตัวเลข “มือ” ในสภาที่น้อยกว่า
จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะสามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือสามารถ “ล้ม” รัฐบาลได้
ดังนั้น
จึงอาจเรียกได้ว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้รับชัยชนะในทั้ง 3 สนามรบ
นั่นคือสนามรัฐสภา สนามรบมวลชนและสนามกองกำลัง หรือในระดับที่เรียกว่า ระบอบทักษิณ
(กำลัง) รุกคืบ กินรวบและครอบงำทั้ง 3 องค์กรอำนาจหลัก คือ บริหาร
นิติบัญญัติและตุลาการ จนเชื่อมั่นว่านับตั้งแต่นี้ไปคงไม่มีกำลังไหนที่หาญกล้าหรือมีกำลังมากพอบั่นทอนหรือโค่นล้มรัฐบาลได้
อย่างไรก็ตาม
มีการวิเคราะห์กันว่า แม้ว่าชื่อ “เสธ.อ้าย” จะได้ตาย(ทางการเมือง)ไปพร้อมกับการยุติการชุมนุมในครั้งล่าสุดนี้
แต่อย่างน้อยที่สุด ฝ่ายตรงข้ามกับระบอบทักษิณก็ยังองค์ประกอบอีก 3
ปัจจัยที่สามารถเป็น “เชื้อ” นำไปสู่การชุมนุมต่อต้านในอนาคตได้
หนึ่ง
เครือข่ายต่อต้านระบบอบทักษิณยังมี “ชีวิต” และ “พลัง” ที่รอโอกาสในการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ในอนาคต
สอง
มวลชนจำนวนมากที่เลือกยืนตรงข้ามกับรัฐบาลปัจจุบันและพร้อมจะให้การสนับสนุนและเข้าร่วมการชุมนุมต่อต้าน
และที่ผ่านมา ก็มีการดำเนินการของทั้งสองฝ่ายที่จะแย่งและขยายมวลชนให้เข้าเป็นพวก
ซึ่งกลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยได้กลายเป็นเป้าหมายหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยกลุ่ม “ผรท.บัญชี 3” ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดในภาคอีสาน และ
สาม
ปัญหาวิกฤติของชาติที่รอการระเบิดหรือเป็นเชื้อก่อให้เกิดความไม่พอใจรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นปัญหา
3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ล่าสุดมีการปิดโรงเรียนเป็นการชั่วคราวกว่า 3
ร้อยแห่ง ปัญหาเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทที่รัฐบาลประกาศบังคับใช้ทั่วทุกจังหวัดจนกลายเป็นเหมือนลาวาที่รอการปะทุ
ปัญหาการจำนำข้าวซึ่งกำลังกลายเป็นปัญหาใหญ่ของรัฐบาล
หลังจากที่นายอภิสิทธิ์ ได้อภิปรายชี้ให้เห็นถึงเหตุผล 3
ข้อที่ประเทศชาติจะได้รับความเสียหาย เหมือนผีซ้ำด้ามพลอย
เมื่อมีการยืนยันจากทางการจีนว่า สัญญาการซื้อข้าวแบบรัฐต่อรัฐกับจีนเป็นระยะเวลา
3 ปี และในปริมาณที่เพิ่มจากปีละ 3
แสนตันเป็นไม่เกินห้าล้านตันนั้นไม่มีมูลความจริง
จนกระทั่งรัฐบาลต้องแก้เกมและเตรียมตรวจสอบสัญญาการซื้อข้าวแบบจีทูจีทุกสัญญาย้อนหลัง
3 ปีไปถึงสมัยรัฐบาลอภิสทธิ์ เวชชาชีวะด้วย รวมทั้งปัญหาเรื่องการประมูลคลื่น 3-จี และแม้กระทั่งปัญหาเรื่องการถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการ
“เล่นหูเล่นตา” ของผู้นำไทย
เมื่อคราวประธานาธิบดีบารัก โอบาม่าเดินทางมาเยือนประเทศไทย
จนถึงขั้นสื่อบางฉบับเรียกขานว่า “Woman’s
Touch ปรากฏการณ์สะท้าน 3 โลก” เรียกว่า เป็นเรื่องยากที่ปัญหาต่างๆ เหล่านี้ จะก่อให้เกิดกระแส “ยิ่งรัก” เพิ่มขึ้น
แดงคนแรก - 'ดอกจิก'ที่ถูกเด็ดร่วง |
แดงคนที่ 2 - ก่อแก้ว พิกุลทอง - "พิกุลทอง"ที่ถูกเด็ดร่วง |
แดงคนที่ 3 ที่ถูกเด็ดร่วง - อริสมันต์ พงศ์เรืองรอง |
ในขณะเดียวกัน
ปรากฏการณ์ “เด็ดดอกแดงให้แดงดู” ก็ได้ส่งผลสะเทือนทางจิตวิทยาต่อกลุ่มคนเสื้อแดงไม่น้อย
ภายหลังจากที่ศาลอาญามีคำสั่งเพิกถอนประกันตัวชั่วคราวนายก่อแก้ว พิกุลทอง
ส.ส.เพื่อไทยและแกนนำคนเสื้อแดง เมื่อวันที่30 พ.ย.
ที่ผ่านมา ทั้งๆที่ได้นำพยาน 3 คนเข้าเบิกความเพื่อหักล้างคำร้องแต่ก็ไม่เป็นผล
และล่าสุด เมื่อวันที่ 3 ธ.ค.
ศาลอาญามีคำพิพากษาให้จำคุกนายอริสมันต์ “กี้” พงษ์เรืองรองเป็นเวลาหนึ่งปีโดยไม่รอลงอาญา กลายเป็นแดงดอกที่ 3
ที่โดนเด็ดร่วมชะตากรรมเดียวกัน หลังจากที่ก่อนหน้านี้ นายยศวริศ ชูกล่อมหรือเจ๋ง
ดอกจิก ถูกศาลสั่งเพิกถอนประกันตัวชั่วคราวเมื่อเดือนส.ค.ที่ผ่านมา มิใยต้องพูดถึง “วีระ-จตุพร-ณัฐวุฒิ” หรือ “3 เกลอเสื้อแดง” ที่ ณ เวลานี้ ต้องระมัดระวังสงบปากสงบคำมากกว่าเดิม โดยเฉพาะนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อที่แม้จะมีตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการการทรวงพาณิชย์เป็นเกราะป้องกัน
แต่ในอีกฐานะหนึ่งก็คือจำเลยที่ 3
ในคดีก่อการร้ายที่อาจจะถูกเด็ดให้ร่วงหล่นเข้าซังเตกินข้าวแดงได้ทุกเมื่อ
ในวันที่ '3 เกลอหัวแดง' ต้องสงบปากสงบคำ |
สถานการณ์ดูเหมือนไม่เป็นใจให้แก่ฝ่ายรัฐบาลและผู้สนับสนุน
เมื่อเกิดปรากฏการณ์ “สาดกาแฟ” ของแอร์โฮสเตสสายการบินคาเธ่ย์
แปซิฟิคที่โพสข้อความระบายความในใจอยากจะสาดกาแฟใส่ลูกสาวคนเล็กของคุณทักษิณ ถึงที่สุดแล้ว ถึงแม้ทางสายการบินจะมีคำสั่งเมื่อวันที่ 3 ธ.ค. ให้ปลด “แอร์ผึ้ง” ออกจากงาน
ส่วนหนึ่งอาจเป็นผลมาจากท่าทีที่แข็งกร้าวของนายประชา ประสพดีในฐานะ “มท.3” และแรงกดดัน 3
ข้อจากชมรมไทยเดินทาง แต่ผลนับจากนี้ไปก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจมองข้ามได้เลย
เพราะนี่ถือเป็นครั้งแรกๆที่ลูกสาวของอดีตผู้นำคนนี้ต้องประสบกับผลของความเกลียดชังที่ร้าวลึกเช่นนี้ด้วยตนเอง
ในขณะเดียวกัน การชี้แจงของพล.ต.ท.คำรณวิทย์
ธูปกระจ่าง ผบช.น. ก่อนหน้านี้ ถึงเหตุผล 3
ประการที่พบตัวแต่ไม่ดำเนินการจับกุมคุณทักษิณ
ก็มีแต่ตอกย้ำความคิดความเชื่อของฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองให้รอการปะทุในวัน
ข้างหน้าได้ทุกเมื่อ
ณ วันนี้ หลังการชุมนุมยุติลง
ไม่ว่าเสธ.อ้ายจะถูกดำเนินคดีในข้อหากบฏตามคำขู่ของ มท.3 หรือไม่ก็ตาม แต่ดูเหมือนว่า
รัฐบาลและเครือข่ายระบอบทักษิณก็กำลังเดินหน้าด้วยยุทธศาสตร์ที่อาจจะดูหมิ่นเหม่หรือเสี่ยงต่อการ
“เรียกแขก” เพิ่มในการชุมนุมครั้งหน้า เมื่อพรรคเพื่อไทยประกาศที่จะเดินหน้าผลักดันให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 3
(โดยอ้างว่าเป็นผลมาจากการประชุมร่วมกับพรรคร่วมรัฐบาลเมื่อวันที่ 3
พฤศจิกายนที่ผ่านมา) และที่ดูเหมือน “อ่อนไหว” ที่สุดก็คือ
การที่กระทรวงมหาดไทยได้ทำหนังสือลงวันที่ 30 ตุลาคม
ถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดเกี่ยวกับการจัดงานเฉลิมพระชนมพรรษา “5 ธันวาคมมหาราช” โดยเฉพาะคำสั่งข้อ
3 ซึ่งกำหนดให้งดการจุดพลุในวันที่ถือว่าสำคัญที่สุดสำหรับคนไทยทั้งประเทศ ก่อนที่จะมีการทำหนังสือแจ้งไปยังผู้ว่าฯอีกครั้งในวันที่ 3 ธ.ค.
โดย(ชี้แจงว่า)ไม่ได้สั่งให้งดการจุดพลุ แต่ก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกคำสั่ง
จนถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง
ทั้งๆที่รัฐบาลเพิ่งประกาศเชิญชวนก่อนกำหนดวันชุมนุมของเสธ.อ้ายให้คนไทย
ร่วมกันใส่เสื้อสีเหลืองอย่างพร้อมเพรียงกัน
หรือว่า ถึงที่สุดแล้ว ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่ร้าวลึกและยืดเยื้อมาจนถึงทุกวันนี้
จะต้องใช้เวลาถึง 3 ช่วงอายุคนจริงๆ
ตามความเห็นของพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน
กว่าที่เราจะสามารถปรองได้อย่างสนิทใจ
.