18 กรกฎาคม 2556

ปรากฏกการณ์ดาวโรยในโลกเทนนิส

.




การรอคอยที่ยาวนานกว่า 77 ปีของคนในเกาะอังกฤษสำหรับตำแหน่งแชมป์ชายเดี่ยววิมเบิลดันได้สิ้นสุดลงด้วยฝีมือของแอนดี้ เมอร์เรย์เลือดสก๊อต ก่อให้เกิดกระแสคลื่นชื่นมื่นเบิกบานไปทั่วทั้งเกาะ ทั้งๆที่คลื่นฮีทในระดับ 32 องศาแผ่ปกคลุม

Kissory แห่งประวัติสาตร์ที่รอนานถึง 77 ปีกว่าจะสมหวัง
 

แรงกดัน ณ เวลานี้จึงเขยิบไปอยู่ที่ออสเตรเลียซึ่งได้ชื่อว่าเป็นชาติที่คลั่งไคล้กีฬามากที่สุดประเทศหนึ่ง ประเทศที่ผลิตนักกีฬาระดับโลกหลายๆประเภท  รวมทั้งเทนนิส แต่ไม่น่าเชื่อว่า นักหวดของออสเตรเลียนจะว่างเว้นแชมป์แกรนด์สแลมมานานโข

แรงกดัน ณ เวลานี้จึงเขยิบไปอยู่ที่ออสเตรเลียซึ่งได้ชื่อว่าเป็นชาติที่คลั่งไคล้กีฬามากที่สุดประเทศหนึ่ง ประเทศที่ผลิตนักกีฬาระดับโลกหลายๆประเภทรวมทั้งกีฬาเทนนิส

แต่เป็นเรื่องเศร้าที่วันเวลาผ่านพ้นมา 37 ปีแล้ว ที่ยังไม่มีนักหวดออสซี่คนใดสามารถสร้างเกียรติยศคว้าแชมป์แกรนด์สแลมรายการออสเตรเลี่ยนโอเพ่นในบ้านได้เลย



ฝันของเลย์ตัน ฮิววิตต์ที่สั้นเหลือเกิน


เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ออสเตรเลียเกือบมีความหวังที่เรียกว่าเป็นความหวังที่ใกล้ความเป็นจริงที่สุดในรอบ 3 ทศวรรษ นั่นคือความหวังในตัวเลย์ตัน ฮิววิตต์ที่สร้างประวัติศาสตร์เป็นนักเทนนิสเบอร์หนึ่งของโลกที่อายุน้อยที่สุด ด้วยวัยเพียงแค่ 20 ปี

แต่น่าเสียดายที่เลย์ตัน ฮิววิตต์เป็นประเภทมาไวไปไว เพราะประสบความสำเร็จถึงจุดพีคได้แชมป์ทั้งยูเอสโอเพ่นและวิมเบิลดันในช่วงวัย 20-21 ปี  แต่หลังจากนั้น กลายเป็นดาวโรยไปอย่างน่าเสียดาย

คลื่นลูกเก่าก็ค่อยๆซาซัดหายไปแบบไม่มีให้เหลือความหวังใดๆ  คลื่นลูกใหม่ก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะเกิดที่จุดประกายความหวังใหม่สูงสุดได้ นี่คือสิ่งที่เรียกว่าวิกฤติสำหรับวงการเทนนิสบ้านออสซีก็ว่าได้ ในปัจจุบันมีนักเทนนิสของออสเตรเลียนที่ติดในกลุ่ม 100 อันดับแรกเพียงแค่ 3 คนเท่านั้น

ณ เวลานี้ ออสเตรเลียทั้งฝากทั้งลุ้นความหวังไว้ที่นักเทนนิสเลือดโครเอเชียอย่างโทมิก เบอร์นาร์ด มือหนึ่งของประเทศที่รั้งอันดับ 41 ของโลก

 

โนวิค เบอร์นาร์ค ฝันหนึ่งเดียวของเกาะออสเตรเลี่ยน


ด้วยวัยเพียงแค่ 21 ปีพร้อมทั้งดีกรีแชมป์เยาวชนยูเอสโอเพ่นและออสเตรเลี่ยนโอเพ่น  ชาวออสซีจึงมีเหตุผลว่า เบอร์นาร์คมีศักยภาพเป็นดาวเรืองให้คนทั้งประเทศได้ชื่นบานในเร็ววันเร็วปีนี้

วิกฤติขาดแคลนนักเทนนิส ดาวเรืองระดับโลกลุกลามไปถึงฝรัุ่งเศส สหรัฐฯและสวีเดนอย่างน่าวิตก

แน่นอนที่สุดว่า คนฝรั่งเศสก็เหมือนเช่นผู้คนในเกาะอังกฤษและเกาะออสเตรเลียนที่จะภาคภูมิใจเป็นที่สุด หากมีนักเทนนิสเจ้าถิ่นคว้าแชมป์รายการเฟรนซ์โอเพ่น เพราะนับตั้งแต่ ยันนิค โนอาห์นักหวดผิวสีทำได้เมื่อปี 1983 แล้ว ฝรั่งเศสก็ว่างเว้นที่จะเห็นความสำเร็จดังกล่าวนี้ติดต่อกันมา 30 ปีเข้าแล้ว  



ยันนิก โนอาห์ในวันที่สร้างความยิ่งใหญ่บนเคย์คอร์ท


ซองก้า : ความหวังที่ผ่านพ้นไปแล้วสำหรับชาวฝรั่งเศส


ความหวังหนึ่งเดียวตอนนี้ก็คือโจ-วิลฟริด ซองก้า มืออันดับ 8 ของโลกที่เคยทำได้ดีที่สุดก็คือรองแชมป์ออสเตรเลี่ยนโอเพ่น  แต่สำหรับสำหรับเคลย์คอร์ทในปีนี้แล้ว นักหวดผิวสีเลือดคองโกคนนี้เกือบทำให้คนฝรั่งเศสมีลุ้น แต่ก็ทำได้ดีที่สุดและจบเพียงแค่รอบเซมิไฟนัลเหมือนที่เกย์ล มองฟิลส์เคยทำได้เมื่อ 5 ปีก่อน

หากจะมองโลกในแง่ดีแล้ว ถือว่าฝรั่งเศสโชคดีมีลุ้นมากกว่าทั้งออสเตรเลียหรือสหรัฐฯ ก็ว่าได้ เพราะใน 100 อันดับแรกของเอทีพีแล้ว มีนักหวดฝรั่งเศสติดอันดับโลกถึง 13 คน คนฝรั่งเศสจึงตั้งความหวังว่าหนึ่งในนั้นจะทำให้การรอคอยอันยาวนานกว่า 3 ทศวรรษสิ้นสุดลง

ในขณะที่ยักษ์ใหญ่มากๆอย่างสหรัฐฯ ที่เคยผลิตนักเทนนิสสุดยอดของโลกมาโดยตลอดก็เจอวิกฤติที่ไม่แตกต่างกัน และดูเหมือนจะหนักหนากว่าประเทศอื่นๆจนกระเทือนฐานะ(อดีต)มหาอำนาจลูกสักหลาด ถึงแม้ว่า การรอคอยของสหรัฐฯจะสั้นน้อยกว่าอังกฤษ ออสเตรเลียและฝรั่งเศสก็ตาม



ยูเอสโอเพ่น - แชมป์แรกและแชมป์เดียวของร๊อดดิกแต่เป็นแชมป์สุดท้ายของสหรัฐฯ(?)


แอนดี้ ร๊อดดิช คือนักหวดอเมริกันคนล่าสุดที่สามารถคว้าแชมป์ยูเอสโอเพ่นในบ้านได้อย่างสมศักดิ์ศรีมืออันดับหนึ่งของโลกเมื่อปี 2003  ร๊อดดิชถือเป็นความหวังสูงสุดของวงการเทนนิสอเมริกานับตั้งแต่ยุคของจิมมี่ คอนเนอร์ จอห์น แม๊คแอนโร อังเดร อกัสซี่ และพีท แซมพราส ร๊อคดิชทำสถิติเป็นนักหวดเบอร์หนึ่งของโลกที่อายุน้อยที่สุดของประเทศนับตั้งแต่ปี 1973


นักหวดสิงห์อีซ้าย - จิมมี คอนเนอร์

นักหวดอารมณ์ร้อนสุดๆ - จอห์น แม๊คแอนโร

พีท แซมพราส - สุดยอดนักเทนนิสอเมริกันที่เก่งที่สุด



อังเดร อกัสซี่ - นักเทนนิสเจ้าเสน่ห์




ใครจะเชื่อว่า โรเจอร์ เฟดเดอเรอร์จะกลายเป็นดาวเรืองที่ดับแสงจรัสของร๊อดดิชและความหวังของคนอเมริกันได้อย่างเด็ดขาด และร๊อดดิชกลายเป็นนักเทนนิสอเมริกันคนสุดท้ายที่คว้าแชมป์รายการแกรนด์สแลม เรียกว่าเป็นหนึ่งทศวรรษที่วงการเทนนิสอเมริกันไม่มีแชมป์ใดๆให้ภูมิใจเลย เมื่อเทียบกับอดีตอันยิ่งใหญ่ที่นักหวดอเมริกันช่วยกันคว้าแชมป์แกรนด์สแลมตลอดช่วงระหว่างปี 1989-2003 ได้รวมกันถึง 28 แชมป์



โรเจอร์ เฟดเดอเรอร์ - สุดยอดนักเทนนิสที่เก่งที่สุดในประวัติศาสตร์

ถึงแม้ว่า จะมีนักหวดอเมริกันเพียงแค่ 2 คนติดอยู่ใน 50 อันดับแรกของโลก แต่ก็ไม่มีนักเทนนิสจากสหรัฐฯที่ติดอันดับท๊อบเท็นมาตั้งแต่ปี 2007 ไม่มีนักเทนนิสระดับดาวเรืองเป็นสตาร์ที่โลกเทนนิสรู้จักมักคุ้น ซ้ำร้ายกลายเป็นเพียงไม้ประทับแห่งวงการเทนนิสโลกไปอย่างน่าช้ำใจเป็นที่สุด 

ในรายการวิมเบิลดันล่าสุด ต้องถือเป็นครั้งแรกในรอบศตวรรษเลยก็ว่าได้ ที่ไม่มีนักหวดอเมริกันผ่านเข้าสู่รอบ 3 ได้เลยแม้เพียงคนเดียว เป็นปรากฏการณ์ดาวโรยที่จอห์น แม๊คแอนโรหรือคนอื่นๆ ยงหาคำตอบไม่ได้ว่าเป็นผลเนื่องมาจากเหตุผลใดกันแน่

ไม่รู้ว่าจะอีกนานแค่ไหนกว่าที่สตาร์อเมริกันจะเกิดและเจิดจรัสคว้าแชมป์ยูเอสโอเพ่นและแชมป์รายการแกรนด์สแลมอื่นๆให้วงการเทนนิสอเมริกาได้ภาคภูมิใจอีกครั้งสมกับฐานะอดีตมหาอำนาจลูกสักหลาดที่ยิ่งใหญ่เหลือหลาย


บจอห์น บอร์ค เจ้าของ 11 ชมป์แกรนด์สแลม

สเตฟาน เอ๊ดเบิร์ก - เจ้าของแชมป์ 6 แกรนด์สแลม

แม๊ค วิลันเดอร์ - เจ้าของแชมป์ 7 แกรนด์สแลม

เช่นเดียวกับสวีเดนที่เคยผลิตนักเทนนิสดาวเรืองระดับโลกก่อนหน้านี้ในอดีต โลกเทนนิสต้องขอบคุณสวีเดนที่ผลิตสุดยอดนักเทนนิสระดับโลกอย่างบจอห์น บอร์ก สเตฟาน เอ๊ดเบิร์กและแม๊ค วิลันเดอร์ที่ช่วยกันคว้าแชมป์แกรนด์สแลมรายการต่างๆ รวมกันแล้วถึง 24 แชมป์อย่างชนิดที่ไม่มีนักเทนนิสชาติไหนทำสถิติเช่นนี้ได้
 

และนับตั้งแต่โธมัส โจฮันส์สันคว้าแชมป์รายการออสเตรเลี่ยนโอเพ่นเมื่อปี 2002 ก็มีนักเทนนิสจากดินแดนพระอาทิตย์ไม่ตกดินอีกเลย เป็นทศวรรษแห่งดาวโรยของประเทศที่มีตำแหน่งแชมป์แกรนด์รวมกันมากที่สุดเป็นอันดับรองจากสหรัฐฯ

ซ้ำร้าย ณ ปัจจุบันนี้ ไม่มีนักเทนนิสจากสวีเดนคนใดที่จะสามารถสร้างความเกรียงไกรหรือสร้างความหวังใดๆให้กับประเทศได้เลย สวีเดนไม่มีแม้กระทั่งนักเทนนิสที่ติดอยู่ใน500 อันดับเลย
 
น่าเสียดายว่า ปรากฏการณ์ดาวโรยที่เกิดขึ้นกับวงการนักเทนนิสของสหรัฐฯ ออสเตรเลีย ฝรั่งเศสและสวีเดน ทำให้วงการลูกสักหลาดขาดเสน่ห์ไปมากโขทีเดียว



.

7 กรกฎาคม 2556

แอนดี้ เมอร์เรย์ - วันที่หมายเลข 7 นำโชคนำชัย

.

ในวงการเทนนิสโลก ถือว่ารายการวิมเบิลดันแชมป์เปี้ยนชิพเป็นรายการที่เก่าแก่ที่สุดที่มีมาตั้งแต่ปีค.ศ.1877 และได้รับการยอมรับให้เป็นคอร์ทหญ้าที่มีมนต์เสน่ห์เป็นรายการที่มีมนต์ขลังมากที่สุดใวงการลูกสักหลาด เช่นเดียวกับครูซิเบิลเธียเตอร์ของวงการสนุกเกอร์และโมนาโคกรังปรีซ์ของโลกฟอร์มูลล่าวัน

สำหรับการแข่งขันในปีนี้ ถือเป็นการแข่งขันครั้งที่ 127 ที่ชาวเกาะอังกฤษวาดหวังและฝากความหวังมากที่สุดไว้กับเอ๊ดดี้ เมอร์เรย์ นักหวดเลือดสก๊อต ถือเป็นความหวังหนึ่งเดียวที่มีโอกาสใกล้ความเป็นจริงมากที่สุด ณ เวลานี้

หากมองย้อนกลับไป เมอร์เรย์เริ่มสร้างชื่อเสียงสร้างประวัติศาสตร์เมื่อย่างเข้าสู่วัย 17 ปีเป็นนักเทนนิสจากเกาะอังกฤษคนแรกที่คว้าแชมป์เยาวชนยูเอสโอเพ่น


ในวัย 14 ผมแดงที่รอวันจรัส


ในปี 2005 เมอร์เรย์เทิร์นโปรเริ่มต้นเข้าสู่ความเป็นนักเทนนิสมืออาชีพด้วยอันดับ 407 ของโลก พร้อมทั้งสร้างประวัติศาสตร์เป็นนักเทนนิสอายุน้อยที่สุดที่เป็นตัวตัวแทนของเกาะอังกฤษแข่งขันรายกายเดวิสคัพ

เมอร์เรย์เริ่มต้นศักราชปี 2007 ด้วยอันดับที่ 17 ของโลก และในวันที่ 16 เมษายนปีเดียวกันก็เขยิบเข้าสู่อันดับท๊อบเท็นได้สำเร็จ (ซึ่งในครั้งนั้นนอวัค จ๊อคโกวิชอยู่ในอันดับ 7 ของโลก)

หลังจากนั้น เมอร์เรย์ก็ค่อยๆสร้างประวัติศาสตร์ให้ชาวเกาะอังกฤษได้ปลื้มได้ภูมิใจ


ยูเอสโอเพ่น 2012 ถ้วยแรกที่ทรงความหมาย
เหรียญทองโอลิมปิคที่แสนภูมิใจ

คู่ผสมเหรียญเงินโอลิมปิค


ในวัย 25 ปี สร้างประวัติศาสตร์เป็นนักเทนนิสคนแรกของเกาะอังกฤษที่คว้าแชมป์ยูเอสโอเพ่นนับตั้งแต่ปี 1977

สร้างประวัติศาสตร์หน้าต่อมา เป็นนักเทนนิสคนแรกของเกาะอังกฤษที่ได้แชมป์เหรียญทองโอลิมปิคฤดูร้อน ณ ลอนดอนเมื่อปีที่แล้ว ด้วยการเอาชนะโรเจอร์ เฟดเดอเรอร์นักเทนนิสที่ได้รับการยกย่องว่ายอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาลสามเซ็ทรวดด้วยการเสียแต้มเพียงแค่ 7 เกมเท่านั้น นับเป็นเหรียญทองเหรียญที่ 16 ของประเทศเจ้าภาพ การชนะมือหนึ่งของโลกได้พร้อมทั้งคว้าเหรียญทองถือเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ลบล้างความผิดหวังที่ช๊อกโลกเมื่อสี่ปีก่อนหน้านั้นที่โอลิมปิคปักกิ่ง เมื่อเมอร์เรย์ตกรอบแรกด้วยฝีมือของนักเทนนิสเจ้าถิ่นมืออันดับ 77 ของโลก(ในขณะนั้น)

นอกจากนี้ ยังสามารถคว้าเหรียญเงินในประเภทคู่ผสม โดยเล่นคู่กับลอร์ร่า ร็อบสัน มืออันดับ 89 (ก่อนที่จะเขยิบขึ้นมาเป็นอันดับ 27 ในวันที่เมอร์เรย์สร้างประวัติศาสตร์วิมเบิลดัน) ทำให้เมอร์เรย์กลายเป็นนักเทนนิสคนที่ 7 ในประวัติศาสตร์วงการเทนนิสยุคใหม่นับตั้งแต่ทศวรรษที่ 70 ที่สามารถคว้าสองเหรียญในโอลิมปิคเกมส์


สุดท้าย เมอร์เรย์ก็สมหวังในวิมเบิลดันปี 2013


อีก 52 สัปดาห์ต่อมา ซึ่งตรงกับวันที่ 7 เดือน 7 ของปีนี้ เมอร์เรย์ก็สามารถสร้างประวัติศาสตร์ที่อาจจะถือเป็นเกียรติยศสูงสุดสำหรับนักเทนนิสเลือดสก๊อตคนนี้ ด้วยการคว้าแชมป์ชายเดี่ยววิมเบิลดันที่มีความหมายอย่างยิ่งยวด ด้วยเหตุเป็นแชมป์ชายเดี่ยวคนแรกที่มาจากเกาะอังกฤษในรอบ 77 ปี และถือเป็นแชมป์วิมเบิลดันคนแรกของเกาะอังกฤษนับตั้งแต่ที่เวอร์จิเนีย เวดคว้าแชมป์หญิงเดี่ยวเมื่อปี 1977

ก่อนที่ผ่านทะลุถึงรอบชิงชนะเลิศครั้งประวัติศาสตร์ ณ วันที่ 7 เดือน 7 นี้ ภารกิจ แรงกดดันและความคาดหวังที่เมอร์เรย์แบกรับไว้หนักหนาเกินบรรยาย แต่ดูเหมือน ดวงหมายเลข 7 จะเอื้ออำนวยชัยให้กับเมอร์เรย์อย่างสมพงศ์


วังเวง ; อาการสุดเซ็งหลังเฟดเดอเรอร์ตกรอบสอง
บอกโลกสิ : อาการสุดผิดหวังของนาดาลหลังตกรอบแรบ


หนึ่ง ในการจับสลากแบ่งสายนั้น ดูเหมือนว่า เมอร์เรย์จะโชคไม่ดีนักที่มีสิทธิเจอด่านหินกระดูกชิ้นโต ซึ่งเป็นเจ้าของแชมป์แกรนด์สแลมรวมกัน 29 แชมป์อย่างโรเจอร์ เฟดเดอเรอร์และราฟาเดล นาดาลรอท่าอยู่จึงจะมีโอกาสผ่านเข้าสู่รอบชิงได้ เมื่อเทียบกับนอวัค จ๊อคโกวิชที่มีโอกาสเจอบิ๊กทูคนใดคนหนึ่งเฉพาะในนัดชิงเท่านั้น

แต่หากคนดวงจะดีมีหมายเลข 7 หนุนเสริมก็คงจะไม่มีอะไรเป็นอุปสรรคกีดขวางได้ เพราะเกิดปรากฏการณ์ “แบล็คเว้นสเดย์” เมื่อนาดาลที่เพิ่งกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งในฤดูกาลนี้ด้วยการคว้าแชมป์ต่างๆถึง 7 แชมป์รวมทั้งแชมป์เฟรนซ์โอเพ่นสดๆร้อนๆหลังจากต้องหยุดพักรักษาอาการบาดเจ็บมานานร่วม 7 เดือน ถูกหวดร่วงตบรอบแรกหมดลายสิงห์เคลย์คอร์ด กลายเป็นแชมป์เฟรนซ์โอเพ่นคนแรกนับตั้งแต่ปี 1997 ที่ตกรอบแรกในรายการวิมเบิลดัน

ส่วนเฟดเดอเรอร์ เจ้าของสถิติแชมป์วิมเบิลดัน 7 สมัยมากที่สุด (ร่วมกับวิลเลี่ยม เรนชอว์ และพีท แซมพราส) ก็เสียท่าไปได้ไกลเพียงแค่รอบสองเท่านั้น ในขณะที่โจ-วิลฟรีด ซองกามือวางอันดับสูงสุดคนต่อมา ซึ่งเคยแพ้เมอร์เรย์ในรอบรองชนะเลิศเมื่อปีที่แล้ว ก็กลายเป็นนักเทนนิสคนที่ 7 ที่ต้องถอนตัวออกจากการแข่งขันในปีนี้

การประเดิมด้วยชัยชนะในรอบแรกถือว่ามีความหมายทางจิตวิทยาต่อเมอร์เรย์ไม่น้อย เพราะถือเป็นชัยชนะครั้งที่ 107 ในการแข่งขันรายกายแกรนด์สแลมทั้งหมด สร้างประวัติศาสตร์กลายเป็นนักเทนนิสที่ประสบชัยชนะมากที่สุดในเกาะอังกฤษในรายการเมเจอร์ทั้งสี่รายการ

อาจจะด้วยอิทธิพลของหมายเลข 7 ที่ผสมผสานกัน ทำให้เส้นทางผ่านเข้าสู่รอบชิงเป็นงานง่ายขึ้นเยอะ ชนิดว่าไม่มีที่ว่างใดๆให้ทฤษฏีสมคบคิดได้ทำงานเลย จะมีหนักแบบต้องลุ้นตัวโก่งก็ตอนแข่งรอบก่อนรองชนะเลิศพบกับเฟอร์นันโด เวอร์ดัสโค การเอาชนะอดีตมืออันดับ 7 ของโลกคนนี้ ทำให้เมอร์เรย์สร้างสถิติให้กับตัวเองเป็นครั้งที่ 7 ที่สามารถเอาชนะคู่แข่งขันได้จากที่ตามหลังอยู่ 2 เซ็ท

แชมป์วิมเบิลดัน 2011 ที่จ๊อกโควิชภูมิใจยิ่ง


สอง ถึงแม้ว่า มีประวัติ(เสีย)เคยว๊อคเอ้าท์ออกจากเกมการแข่งขันมากลางคันแล้วถึง 7 ครั้ง แต่ในอีกด้านหนึ่ง จ๊อคโกวิชก็ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นมนุษย์เหล็กคนหนึ่งในโลกเทนนิสปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เคยมีประสบการณ์ในการเล่มเกมยืดเยื้อนานถึง 4 ชั่วโมง 54 นาทีเป็นสถิติของรายการยูเอสโอเพ่นเมื่อปีที่แล้ว และ 4 ชั่วโมง 37 นาที เป็นสถิติในรายการเฟรนซ์โอเพ่นปีนี้ บ่งบอกถึงพละกำลังและความทรหดสุดๆของนักหวดชาวเซิร์บคนนี้ แต่อย่างไรก็ตาม การเล่นในรอบรองชนะเลิศนานถึง 4 ชั่วโมง 43 นาทีจนกลายเป็นสถิติของวิมเบิลดันในสภาพอากาศที่ฮีทที่สุดในรอบปีและร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์วิมเบิลดัน ก็มีส่วนสำคัญทำให้จ๊อคโกวิชผ่านเข้าสู่รอบชิงในสภาพที่กรอบและอ่อนล้าสุดๆ และกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้พ่ายแพ้เมอร์เรย์สามเซ็ทรวดอย่างชนิดผิดความคาดหมาย





ในมุมมองของเทนนิสแล้ว คู่ชิงชนะเลิศในปีนี้ถือว่าเหมาะสมที่สุด เพราะเป็นการชิงบัลลังก์แชมป์ระหว่างมืออันดับหนึ่งและสองของโลกที่เกิดในปี 1987 เดียวกัน ทั้งคู่กำลังย่างเข้าสู่วัย 27 ปีมาได้ 7 สัปดาห์เกือบพอดิบพอดี โดยเมอร์เรย์เกิดก่อนเพียง 7 วันเท่านั้น แต่ถือว่าประสบความสำเร็จน้อยกว่าและช้ากว่าจ๊อคโกวิชหรือโนเล่อย่างชัดเจน โดยนักเทนนิสขี้เล่นอารมณ์ดีจากเซอร์เบียคนนี้คว้าแชมป์รายการต่างๆมาได้ทั้งหมดรวม 37 แชมป์และวาดฝันว่าปีนี้จะสามารถคว้าแชมป์วิมเบิลดันเป็นรายการแกรนด์สแลมรายการที่ 7 เป็นเกียรติประวัติของตัวเอง ในขณะที่นักหวดเลือดสก๊อตมีตำแหน่งแชมป์ต่างๆรวม 27 แชมป์เป็นแชมป์รายการแกรนด์สแลมเพียงหนึ่งแชมป์เท่านั้น และการผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศวิมเบิลดันในครั้งนี้ ถือเป็นไฟนัลครั้งที่ 7 ในรายการแกรนด์สแลม

ในวัย 20 ที่เมอร์เรย์จับคู่จ๊อกโควิชในออสเตรเลี่ยนโอเพ่น

ด้วยวิถีของโลกเทนนิส ทำให้ทั้งคู่ได้โครจรมาพบและรู้จักกันมานานกว่า 17 ปีแล้วนับตั้งแต่เป็นนักหวดรุ่นเยาว์ โดยเมื่อ 7 ปีที่แล้ว เมอย์เรย์สามารถคว้าแชมป์เอทีพีทัวร์เป็นรายการแรกในชีวิต ก่อนจะขยับขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งของเกาะอังกฤษติดต่อมาจนถึงปัจจุบัน โดยเมอร์เรย์ถูกจัดอันดับเป็นมืออันดับสองของโลกเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2009 ในขณะที่จ๊อคโกวิชรั้งตำแหน่งมือหนึ่งของโลกติดต่อกันมาแล้วยาวนานถึง 89 สัปดาห์

ก่อนจะถึงแมทช์ชิงชัยแชมป์วิมเบิลดันในวันที่ 7 เดือน 7 เมอร์เรย์มีสถิติเคยชนะจ๊อกโควิทได้เพียงแค่ 7 ครั้งเท่านั้น (จากสถิติทั้งหมด 18 ครั้ง) แต่ด้วยฟอร์มและดวงที่ถูกชะตากับวิมเบิลดัน โดยเฉพาะสถิติชนะบนคอร์ดหญ้าติดต่อกันมา 17 นัด ย่อมทำให้เมอร์เรย์มีความมั่นใจมากขึ้นว่าจะสมหวังในปีนี้เสียที หลังจากที่เพียงพยายามอย่างน่าผิดหวังมาแล้วถึง 7 ครั้ง 7 ฤดูกาล

เพราะปีนี้ชาวเกาะอังกฤษมีความหวังมากที่สุดที่จะเห็นแสงทองผ่องอำไพในตัวเมอร์เรย์ ส่งผลทำให้ราคาตั๋ว(ผี) ซึ่งเป็นที่ต้องการอย่างมากๆของบรรดาเซเลบิตี้พุ่งพรวดอย่างหน้ามืดตามัวถึง 7 หมื่นปอนด์ ในขณะที่การถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์โดยบีบีซีซึ่งได้ทำหน้าที่นี้มาตั้งแต่ปี 1927 สามารถดึดดูดผู้ชมทางบ้านได้ถึง 17 ล้านคนเป็นประวัติการณ์

ในช่วงระหว่างแมทช์แข่งขัน 189 นาทีที่ต่อสู้กันบนคอร์ทหญ้า เมอร์เรย์สามารถเบรกเกมเสริฟของโนเล่ได้ถึง 7 ครั้งจาก 17 โอกาส โดยเฉพาะการเบรกเกมเสริฟในเกมที่ 7 ของทุกๆเซ็ท(อย่างเหลือเชื่อ) ยิ่งไปกว่านั้นตลอดทั้งสามเซ็ท โนเล่เสียอันฟอร์ซเออร์เรอร์หรือตีพลาดเสียเองถึง 17 ครั้ง ส่วนเมอร์เรย์สามารถตีวินเนอร์ทำแต้มได้ถึง 17 แต้ม

นอกจากนี้ ถึงแม้ว่าลูกเสริฟแรกของเมอร์เรย์จะมีสปีดเฉลี่ยที่ความเร็วเพียง 117 ไมล์ต่อชั่วโมงซึ่งไม่มีพลังพอที่จะใช้เป็นอาวุธเด็ดในการพิชิตจ๊อคโกวิชได้ แต่การที่เมอร์เรย์ได้แต้มจากเน็ตพอยท์กว่า 70 เปอร์เซ็นต์ บ่งบอกว่า เมอร์เรย์ดวงดีกว่าโนเล่ในวันที่ 7 เดือน 7 และหมายเลข 7 ไม่ใช่ลักกี้นัมเบอร์ของนักหวดชาวเซิร์บคนนี้ก็ว่าได้ เพราะก่อนหน้านี้ในวันที่ 7 มิถุนายน จ๊อคโกวิชก็พ่ายแพ้ให้แก่ราฟาเอล นาดาลในรอบรองชนะเลิศเทนนิสเฟรนซ์โอเพ่นไปอย่างสุดมันส์


17.25 : เวลาแห่งประวัติศาสตร์

ถึงที่สุดแล้ว เมอร์เรย์ก็สร้างประวัติศาสตร์ให้กับตัวเองและประเทศพร้อมทั้งคว้าเงินรางวัล 1.6 ล้านปอนด์ ทำให้มีเงินรางวัลสะสมเพิ่มเป็น 27 ล้านเหรียญสหรัฐฯ รวมทั้งสร้างสถิติชนะ 37 ครั้ง แพ้ 7 ครั้งบนคอร์ทหญ้าสังเวียนวิมเบิลดันนับตั้งแต่ปี 2005

ที่สำคัญไปกว่านั้น ถือเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ที่นอกจากจะหยุดความฝันของจ๊อคโกวิชที่จะคว้าแชมป์แกรนด์สแลมรายการที่ 7 แล้ว ยังเป็นการดับฝันและหยุดสถิติแชมป์วิมเบิลดันของเฟดเดอเรอไว้ที่สมัยที่ 7 รวมถึงแชมป์รายการแกรนด์สแลมอื่นๆรวมทั้งหมดไว้ที่ 17 แชมป์ด้วย ตลอดจนดับโอกาสของนาดาลไว้ที่แชมป์ตำแหน่งที่ 7 ในรอบปีนี้


เส้นทางลูกสักหลาดที่ปูทางโดยแม่จูดี้ตั้งแต่เยาว์วัย
แม่จูดี้กับความฝันสร้างฝันให้สองลูกชาย

เมอร์เรย์ผู้พี่ที่ถูกลืมทั้งๆที่เคยคว้าแชมป์วิมเบิลดันคู่ผสมมาก่อน

เชียร์ลีดเดอร์คนสวย : คิม เซียร์ แหล่งกำเนิดกำลังใจสำหรับเมอร์เรย์


ในบรรดาบุคคลสำคัญๆที่มีอิทธิพลต่อชีวิตความสำเร็จของเมอร์เรย์ นอกเหนือแม่จูดี้ผู้สร้างเมอร์เรย์ให้มี “วันนี้” เหมือนเช่น “วันนี้” ก็ต้องนับรวมถึงเจมีพี่ชายมืออันดับ 7 ของอังกฤษที่เคยสร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์คู่ผสมรายการวิมเบิลดันเมื่อปี 2007 และคิม เซียร์คู่รักที่คบหาเป็นกำลังใจใกล้ ชิดเมอร์เรย์ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา


มีวันนี้เพราะพี่ให้ : วันที่เมอร์เรย์เกรียงไกรเพราะคนชื่ออิวาน แลนเดิล

บ่งบอกทุกอย่าง: อิวาน แลนเดิลคือคนแรกที่เมอร์เรย์นึกถึงหลังคว้าแชมป์


แต่บุคคลที่มีส่วนสำคัญที่สุดในช่วง 18 เดือนที่ผ่านมาที่ทำให้เมอร์เรย์เกรียงไกรคว้าแชมป์ยูเอสโอเพ่นและวิมเบิลดันรวมทั้งเหรียญทองโอลิมปิคก็คืออิวาน แลนเดิลอดีตแชมป์แกรนด์สแลมหลายสมัย(ซึ่งเกิดวันที่ 7 มีนาคม) ผู้คร่ำหวอดอยู่ในสนามแข่งขันกว่า 16 ปี และรีไทร์ในวัย 34 ปีก่อนจะกลับเข้ามาสู่วงการเทนนิสอีกครั้งในวัย 52 ในฐานะโค๊ชเต็มตัวของเมอร์เรย์ ที่พลิกโฉมและเปลี่ยนแปลงนักหวดเลือดสก๊อตอย่างผิดหูผิดตา

ณ วันนี้ เมอร์เร่ยได้กลายเป็นฮีโร่คนใหม่ของเกาะอังกฤษไปเรียบร้อยแล้ว หลังจากต้องใช้เวลา นานถึง 7 ปีพัฒนาจากแชมป์เอทีพีแรกในชีวิตนักเทนนิสอาชีพสู่แชมป์วิมเบิลดันที่มีความหมายที่สุด คนในประเทศต้องรอนานถึง 77 ปีกว่าจะเห็นแชมป์ชายเดี่ยววิมเบิลดันอยู่ในมือของนักเทนนิสที่เกิดในเกาะอังกฤษ และต้องรอนานยิ่งนานถึง 117 ปีกว่าที่จะเห็นนักเทนนิสเลือดสก๊อตเดียวกันผงาดสร้างชื่ออีกครั้งนับตั้งแต่ฮารอลด์ มาฮอนี่


ฮีโร่คนใหม่ของเกาะอังกฤษ

อารมณ์ปรีย์เปรมอย่างมีความสุขสุดๆ กับการรอคอยมานานกว่า 77 ปี


ในทางจิตวิทยาแล้ว เมอร์เรย์ได้เพิ่มเติมตัวเลข “77” ให้เข้าไปอยู่ในความทรงจำของคนในเกาะ

อังกฤษเป็นการถาวร นอกเหนือจากหมายเลข “66” ที่(เคย)ทำให้คนในเกาะอังกฤษปลาบปลื้มภูมิใจเมื่อ 47 ปีก่อน ภายหลังจากที่ทีมชาติอังกฤษคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกในปี 1966


แน่นอนที่สุด เมอร์เร่ย์คงไม่สามารถทำให้คนเกาะอังกฤษมีความสุขมากกว่านี้ได้อีกแล้ว และคงไม่สามารถสร้างความรู้สึกแห่งความสำเร็จให้กับเกาะอังกฤษได้ดีกว่านี้อีกแล้ว



.

มอเตอร์ หรือ สติกเกอร์

เมื่อตอนที่ Real Madrid ทีมดังในสเปนตัดสินใจขาย Claude Makelele ให้กับทีม Chelsea แล้วซื้อ David Beckham มาแทนที่ในช่วงกลางปี 2003 ปรา...