30 เมษายน 2554

ประดุจกึกก้องเสียง แม้เพียงจุมพิตแผ่วเบา

 .

 
Prince William kisses his wife Kate, Duchess of Cambridge on the balcony of Buckingham Palace. (AP Photo/Matt Dunham)
ประดุจกึกก้องเสียง  แม้เพียงจุมพิตแผ่วเบา

                   

       ถ้าหนูน้อยคนนี้เกิดอารมณ์อิจฉาแต่เยาว์วัย ก็ควรจะเอามือปิดตาเพราะรับไม่ได้
       แล้วทำไมการจุมพิตเบาๆ จึงดูประหนึ่งเป็นเสียงกึกก้องในโสตของหนูน้อย
       งานวิวาห์ไม่ควรที่ใครสักคนหนึ่งจะออกอาการเช่นนี้ 5555



 .

22 เมษายน 2554

ทฤษฏีสมคบคิดกับศึกสองด้าน

.


สังเกตว่า  ทุกครั้งที่มีข่าวเกี่ยวกับการปฏิวัติในเมืองไทย โดยเฉพาะช่วงที่มีโอกาสเอ๊กเซอร์ไซท์มากที่สุด มักจะเกิดกรณีพิพาททางทหารตามแนวพรมแดนกับกัมพูชาจนถึงกับมีคนไทยเสียชีวิตและต้องอพยพหลบหนีเพื่อรักษาชีวิต


ภาพที่เริ่มชินตาตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา


ความขัดแย้งภายในประเทศที่อาจเป็นต้นตอ
ของการปะทะทางทหารกับต่างประเทศ

อย่างน้อยที่สุด มีสองทฤษฏีที่ใช้อธิบายมูลเหตุจูงใจที่ทำให้เกิดการปะทะสู้รบทางทหาร   เป็นทฤษฏีสบคบคิด ที่อาจจะเป็นไปได้ในทางใดทางหนึ่ง

ทฤษฏีสบคบคิดแรกก็คือ การเจตนาจุดพลุให้เกิดความขัดแย้งและการสู้รบระหว่างกัน เพื่อเบี่ยงเบนหรือลดดีกรีความขัดแย้งทางการเมืองภายในประเทศ(ชั่วคราว)  ซี่งมักจะใช้ได้ผลอยู่บ่อยๆ   และบางครั้ง ความขัดแย้งกับต่างประเทศหากผลออกมาในทางที่เป็นบวกเป็นคุณกับประเทศแล้ว ก็อาจจะช่วยสร้างความชอบธรรมและเพิ่มเครดิตให้กับ "ตัวละคร" หรือ "ตัวแสดง" บางตัวที่เกี่ยวข้องอยู่ในวังวนแห่งความขัดแย้งนี้

ทฤษฏีสบคบคิดที่สอง จะเหมือนกับทฤษฏีแรกตรงที่ว่าเป็นความตั้งใจที่จะให้เกิดความขัดแย้งกับต่างประเทศ แต่สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ ไม่ได้มีเจตนาเพื่อเบี่ยงเบนหรือหันเหความขัดแย้งภายในประเทศเป็นสำคัญ แต่เชือว่า เป็นการลดกำลังหรือทำให้ "ตัวละคร" บางตัวในความขัดแย้งภายในประเทศ ต้องชะลอแผนการหรือการกระทำบาง อย่าง  เรียกว่าการเปิดศึกด้านที่สอง ทำให้ "ตัวละคร" นั้นๆ พะว้าพะวงไม่อาจดำเนินการใดๆ ได้อย่างที่คิด

ลองพิจารณาเทียบเคียงเหตุการณ์ที่เรียกว่า สงครามสั่งสอนเวียดนามเมื่อร่วมๆ 30 ปีที่แล้ว ที่มีลักษณะโดยพื่นฐานใกล้เคียงกับทฤษฏีสบคบคิดแบบที่สองนี้ ในช่วงเวลานั้น หลังจากที่เวียดนามได้บุกยึดกัมพูชาได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็มีการคาดการณ์กันว่าการบุกประเทศไทยจะเป็นเป้าหมายต่อไป

ในทางทหารแล้ว เชื่อว่า ในเวลานั้น กองทัพไทยเสียเปรียบและไม่สามารถจะต้านทานกองทัพคอมมิวนิสต์เวียดนามได้  และไม่ว่าจะมีความพยายามอย่างไรจากฝ่ายไหนบ้าง ซึ่งเป็นเรื่องของประวัติศาสตร์  แต่อยู่ๆ จีนก็ส่งกองทัพทำสงครามกับเวียดนามอย่างเหนือความคาดหมาย  เป็นสงครามครั้งสุดท้ายระหว่างสองประเทศนี้ในศตวรรษที่ 20 เรียกกันทั่วไปว่า เป็นสงครามที่จีนต้องการสั่งสอนเวียดนาม

ผลแรกสุดที่ตามมาของสงครามนี้ ก็คือเวียดนามต้องรีบส่งกองกำลังทหารไปยันสู้รบกับกองทัพจีนตามแนวพรมแดนทางภาคเหนือ และส่งผลต่อมาก็คือ กองทัพเวียดนามต้องยับยั้งและชะลอแผนการทหารตามทฤษฏีโดมิโนที่จะบุกประเทศไทย และทำให้เวียด นามไม่สามารถปฏิบัติการทางทหารเพื่อเป้าหมายทางการเมืองในการยึดประเทศไทยได้อีกเลย

เพราะฉะนั้น การเจตนาเปิดศึกที่สอง มีผลทำให้ฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถเดินหน้าเพื่อเป้าหมายในศึกด้านแรกได้อย่างเต็มที่


ความสูญเสียของบ้านเรือนที่เป็นผลมา
จากความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศ


การปะทะกันทางทหารล่าสุดตามแนวพรมแดนบริเวณจังหวัดสุรินทร์นี้ เป็นสิ่งที่เรียกว่าอยู่นอกเหนือความคาดหมายมากๆหรือไม่มีเหตุจูงใจให้กระทำในพื้นที่นอกเหนือจากอาณาบริเวณปราสาทพระวิหารที่เป็นหัวใจของความขัดแย้งระหว่างสองประเทศ

ภายใต้ทฤษฏีสบคบคิดที่สองนี้ มีการกล่าวหาว่า คู่ขัดแย้งในการเมืองไทยอาจจะมีส่วนสำคัญและสมคบคิด (โดยอาศัยความสัมพันธ์ส่วนตัวกับผู้นำกัมพูชา)ในการร้องขอให้กองทัพกัมพูชาเปิดศึกกับทหารไทย เป็นศึกสองด้านที่กองทัพไทยไม่ปรารถนาและทำให้กองทัพต้องชะลอ "ปฏิบัติการพิเศษ" ตามข่าวลือที่เกี่ยวกับปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองภายในประเทศ



.

17 เมษายน 2554

ภาระกิจสร้างประวัติศาสตร์ของลิโอ เมสซี่

.



ว่ากันว่า ลีโอ เมสซี่ คือ แมนนี่ ปาเกียวแห่งโลกลูกหนัง ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักเตะที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ลูกหนังโลก(?) หากเทียบแบบปอนด์ต่อปอนด์

เป็นนักเตะที่ครบเครื่องสมบูรณ์แบบ สามารถทำได้ทุกอย่างด้วยตัวของตัวเอง


ข้าเป็นสิงห์ Lion-el เรียกข้าว่าเทพ 


ในวัยเพียง 23 ปีที่สำหรับหลายๆคนแล้วคือช่วงของการเริ่มต้นความฝันบนผืนหญ้า แต่เมสซี่คว้าถ้วยรางวัลแชมป์ต่างๆ มาได้เกือบทั้งหมดแล้ว เป็นหลักประกันว่า ความเก่งกาจกับตำแหน่งแชมป์ต้องเป็นของคู่กันเสมอ

เป็นบทเรียนสอนพี่ อลัน เชียร์เรอร์ว่า มี(เหรียญ)ทองเขานับว่าพี่  มีดีกรีแชมป์เขานับว่าเทพ

ความยอดเยี่ยมเก่งกาจไม่ได้อยู่ที่น้ำลายหรือน้ำหมึก แต่วัดกันที่ความสำเร็จและตำแหน่งแชมป์เท่านั้น

ณ เวลานี้ เมสซี่กำลังจะสร้างประวัติศาสตร์หลายๆหน้าให้กับวงการฟุตบอลและเป็นเกียรติประวัติให้กับตัวเอง


ขอบคุณพระเจ้าสำหรับพรสวรรค์นี้

ในนัด(ไม่)หยุดโลกระหว่างรีล แมดดริดและบาร์เซโลน่าครั้งล่าสุดเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา มีความหมายสำคัญต่อเมสซี่ และเป็นเรื่องที่แปลกมากเพราะนับตั้งแต่เริ่มก่อร่างสร้างชื่อในวงการโลกลูกหนัง ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงท๊อบฟอร์มหรือพีคฟอร์ม สักแค่ไหน  เมสซี่ไม่เคยยิงประตูทีมคู่แข่งที่มีโฮเซ่ มูรินโญ่เป็นผู้จัดการทีมได้เลย และต้องรอจนกระทั่งโอกาสครั้งที่ 10 มาถึง   ซึ่งในที่สุดแมสซี่ก็ทำได้สำเร็จ ถึงแม้ว่าจะเป็นการยิงจากจุดโทษก็ตาม แต่เป็นการปลดล็อคทางจิตวิทยาที่ทำให้เมสซี่โล่งอกเป็นที่สุด และเดินหน้าก้าวต่อไปเพื่อสร้างประวัติศาสตร์ให้ระบือโลกฟุตบอล

เพราะว่าเวลานี้ เมสซี่กำลังเพลิดเพลินกับการทำประตูคู่แข่งขันทีมแล้วทีมเล่า และใกล้เข้าสู่สถิติ 200 ประตูอยู่รอมร่อทั้งๆที่ไม่ได้เล่นในตำแหน่งศูนย์หน้า

เมสซี่กำลังจะกลายเป็นนักเตะคนแรกในประวัติศาสตร์ลาลีกาของสเปน ที่สามารถส่งลูกเข้าสู่ก้นตาข่ายได้ 50 ประตูในทุกเกมการแข่งขันภายในหนึ่งฤดูกาล 


Lionel Messi - Barcelona & Iker Casillas - Real Madrid (Getty Images)
ประตูนี้มีความหมาย เพราะเป็นประตู
แรกที่เมสซี่ยิงทีมของโฮเซ่ มูรินโญ่
ได้หลังจากเพียงพยายามมา 9 ครั้ง


ประตูนี้มีความหมาย เพราะเป็นประตูแรก
ที่คริสเตียโน โรนัลโดยิงทีมบาร์เซโลน่า
ได้หลังจากเพียงพยายามมา 6 ครั้ง
 

เพราะสถิติมีไว้ให้สร้างมีไว้ให้ทำลาย  จึงเป็นธรรมชาติที่ซูเปอร์สตาร์มักสร้างสถิติให้บันลือโลกชนิดเป็นตำนานให้เล่าขาน และทำลายสถิติของคนอื่นๆให้โลกพูดถึง

สร้างประวัติศาสตร์สร้างสถิติที่คนอื่นๆยากจะเทียบเคียงได้

เหมือนเช่นมิเชล ชูมัคเกอร์ที่สามารถคว้าแชมป์ฟอร์มูล่าวัน 7 สมัย

เหมือนเช่นแลงค์ อาร์มสตรองที่สามารถคว้าแชมป์จักรยานทางไกลรายการตูร์ เดอฟรองค์  7 สมัย

เหมือนเช่นปาเกียวที่สามารถครองเข็มขัดเป็นแชมป์โลกได้ 8 รุ่น

เหมือนเช่นโรเจอร์ เฟดเดอเรอร์ที่สามารถคว้าแชมป์แกรนด์สแลมได้เบ็ดเสร็จ 16 แชมป์


แลงค์ อาร์มสตรองสุดยอดน่องเหล็ก
ผู้สร้างประวัติศาสตร์ตูร์เดอฟรองค์

มิเชล ชูมัคเกอร์ตำนานแห่งวงการ F-1
 
แมนนี่ ปาเกียวสุดยอดไร้เทียมทานบนสังเวียนกำปั้น


แล้วเมสซี่จะสร้างประวัติศาสตร์สร้างสถิติคว้าแชมป์รายการต่างๆในโลกลูกหนังมาครองได้ทั้งหมดกี่แชมป์

ณ เวลานี้ เมสซี่ตั้งเป้าว่า ถ้าโชคอำนวยอวยชัยให้ฟอร์มใสไปตลอดจนจบฤดูกาล จะมุ่งมั่นและพยายามทำลายสถิติ 38 ประตูที่เป็นสถิติการยิงประตูสูงสุดในลาลีการ่วมกันของเทลโม ซาร์ร่าและฮูโก ซานเชสที่อยู่ยงคงกระพันมากว่า 60 ปีให้ได้  นับเป็นความท้าทายอย่างยิ่งสำหรับ "ลีโอ" ที่จะต้องยิงให้ได้อีก 10 ประตูใน 6 เกมที่เหลือ

สถิติยังไม่หยุดเพียงแค่นี้ ความท้าทายไม่ได้จบอยู่เพียงแค่นั้น

เมสซี่ย่อมใฝ่ฝันว่า เป้าหมายอีกหนึ่งสำคัญในฤดูกาลนี้ ก็คือ การทำลายสถิติการยิงประตูสูงสุดในแชมป์เปื้ยนลีกของรุด ฟานนิสเติลรอยที่ 12 ประตูเมื่อ 8 ฤดูกาลที่แล้วให้ได้ เป็นอีกความท้าทายหนึ่งที่นับว่ายากแสนเข็ญ ว่าสอนหนังสือจระเข้ยังง่ายกว่า(?)

ในทางคณิตศาสตร์แล้ว เมสซี่ต้องการอีกเพียงแค่ 4 ประตูก็จะสร้างประวัติศาสตร์หน้านี้ และเมสซี่มีโอกาสอีกอย่างน้อยที่สุด 2 เกมในนัดรอบรองชนะเลิศที่จะพบกับทีมรีล แมดริด แต่เป็นโอกาสที่เรียกว่าใกล้เคียงกับคำว่า "เป็นไปไม่ได้" มากๆ แต่ไม่มีสิ่งใดที่เป็นไปไม่ได้ในเกมฟุตบอล

แน่เหนือสิ่งอื่นใดๆทั้งหมด เมสซี่จะได้รับการยอมรับ ยกย่องและเทิดทูนให้เป็นเทพเจ้าลูกหนังอย่างแท้จริงชนิดไม่เป็นสองรองใคร   หากสามารถสวมหมายเลข 10 นำพาทีมชาติอาร์เจนติน่าคว้าแชมป์โลกให้ได้อีกครั้ง เหมือนเช่นที่ดิเอโก้ มาราโดน่าทำได้ และสร้างสถิติกวาดแชมป์รายการต่างๆทั้งหมดครบทุกรายการ และเมื่อรวมจำนวนแล้ว มีมากกว่าสุดยอดนักฟุตบอลคนอื่นๆในปฐพี

เมื่อถึงเวลานั้น คงไม่มีใครกล้าตั้งคำถามว่า ระหว่างเมสซี่หรือมาราโดน่า ใครเทพกว่ากัน


ดิเอโก้ "เสือเตี้ย" มาราโดน่าผู้เป็น
ยิ่งกว่าเทพบนพื้นสนามหญ้า


หมายเลข 10 คนนี้คือเทพสิงห์ผู้ยิ่งใหญ่(?)

ความสำเร็จของโรเจอร์ เฟดเดอเรอร์
คือความยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งโลกเทนนิส

เมื่อวันนั้นมาถึง เมสซี่ก็จะมีศักดิ์และฐานะไม่ต่างจากโรเจอร์ เฟดเดอเรอร์ ที่ได้รับการซูฮกยกโลกว่า เป็นนักเทนนิสที่ดีที่สุดตลอดกาล



.

13 เมษายน 2554

ฉันเชื่อมั่นว่าบินได้ (สเปอร์สก็บินได้)

.

คำกล่าวของ ดร. ซุนยัดเซ็น บิดาแห่งประวัติศาสตร์จีนยุคใหม่ที่ว่า "ถ้าเราเชื่อมั่นว่าทำได้ ต่อให้ต้องย้ายภูเขาหรือถมทะเล ในที่สุดก็สำเร็จจนได้ แต่ถ้าเราคิดว่าทำไม่ได้ถึงแม้จะง่ายเพียงแค่พลิกฝ่ามือ ก็จะไม่มีวันประสบความสำเร็จได้" มีพลังมีเหตุมีผลไม่น้อย

เพราะโดยหลักจิตวิทยา "ใจสั่งกาย กายจึงเคลื่อน" แล้ว มีเหตุผลรองรับสนับสนุนว่า  ความเชื่อ(มั่น)จะเป็นแรงขับดันที่ทรงพลังให้มนุษย์สามารถทำสิ่งต่างๆได้อย่างไม่น่าเชื่อ ยิ่งมีความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมมากแค่ไหน ยิ่งมีพลังหนุนเสริมให้บรรลุผลได้มากเท่านั้น

ความเป็นสัตว์ประเสริฐ ไม่ได้ทำให้มนุษย์เราอาศัยสัญญชาตญาณเพียงลำพัง ไม่ได้พึ่งพาเหตุผลอยู่ตลอดเวลา  แต่ต้องมีความเชื่อ(มั่น) เป็นรากฐานฝังลึกอยู่ในจิตใจด้วย จึงจะทำให้เราแตกต่างจากคนอื่นๆ

ความเชื่อมั่นนี้อาจจะได้ติดตัวถ่ายทอดมาทางยีนพันธุกรรม หรืออาจจะได้โดยผ่านการปลุกเร้าจูงใจ แต่ไม่ควรที่ใครสักคนจะดำรงชีพอยู่ได้โดยปราศจากซึ่งความรู้สึกเช่นนี้

คนที่มีความรู้สึกเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมนี้ มักจะเชื่ออยู่เสมอว่า Nothing is impossible ไม่มีสิ่งใดที่เป็นไปไม่ได้(ตั้งแต่แรก) จนกว่าเราจะได้ลองทำแล้วหรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า "have a go" เสียก่อน

เหมือนเช่นเซอร์เอดมุนด์ ฮิลลารี่ที่ได้บุกเบิกให้มนุษย์เชื่อมั่นว่า ถึงจะสูงเสียดฟ้าสักปานใด แต่มนุษย์เราก็สามารถพิชิตเอฟเวอร์เรสต์ได้ 

ยอดเอฟเวอร์เรสต์ที่ไม่เคยร้างคนสู้
ถึงจะสูงเสียดฟ้า ก็ไม่เกินสองฝ่าเท้าของคนสู้


หากไม่มีความเชื่อมั่น ก็ไม่มีวันพิชิตได้

ความเชื่อมั่นสามารถทำให้ชนะใจตัวเองได้

อีกไม่ไกล ไปให้ถึง

ด้วยความเชื่อมั่นที่เต็มเปี่ยมที่สุด ทำให้คุณหนึ่งหักปากกาเซียน
กลายเป็นคนไทยคนแรกและคนเดียวที่สามารถพิชิตเวอเวอร์เรสต์ได้



 
     ก้าวไกล แก่นนรสิงห์สามารถสร้างมหัศจรรย์ด้วยการโค่นยักษ์
     คว้าแชมป์โลก K-1 ทั้งๆที่ตัวเล็กกว่ามากๆ เพราะไม่คิดถอดใจ
             ตั้งแต่ก่อนขึ้นเวที เพราะเชื่อมั่นว่าจะเอาชนะได้


เช่นเดียวกับในโลกแห่งกีฬา ความเชื่อมั่นกับความรู้สึกกลัวจะเป็นปฏิปักษ์กันเพราะถ้าไม่มีความเชื่อมั่นในตัวเองแล้ว ความกลัวมักจะนำไปสู่ความพ่ายแพ้เสมอ      เหมือนเช่นที่นักมวยคนแล้วคนเล่ากลัวไมค์ ไทสัน (ในยามห้าว) ตั้งแต่ยังไม่ขึ้นเวทีชก เหมือนเช่นที่นักเทนนิสคนแล้วคนเล่ากลัวโรเจอร์ เฟดเดอ เรอร์(ในยามรุ่ง) ตั้งแต่ยังไม่ลงคอร์ท

ในวันนี้ วงการฟุตบอลกำลังพูดถึงว่า ทีมท๊อตแน่ม ฮอทสเปอร์สจะมีความเชื่อมั่นมากแค่ไหนที่จะก้าวผ่านอุปสรรคผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศของรายการแชมป์เปี้ยนลีก ฟุตบอลรายการใหญ่ที่สุดของยุโรป

เพราะคู่แข่งขันอย่างรีล แมดริดคืออดีตแชมป์ยุโรป 9 สมัย
เพราะสเปอร์สมีสกอร์ตามหลังถึง 4 ประตู
เข็นครกขึ้นภูเขาว่ายากแล้ว เข็นภูเขาขึ้นครกยิ่งยากกว่า

ถึงแม้ว่า สถิติเก่าๆจะไม่เป็นใจและเปิดใจให้กับทีมจากลอนดอน เพราะไม่เคยมีทีมไหนที่จะสามารถยิงประตูแก้คืนเอาชนะในเกมที่สองได้มากกว่า 4 ประตู แต่สเปอร์ไม่ใช่ทีมที่เชื่อในเรื่องลางบางเชื่อ

ในทางตรงกันข้าม สเปอร์สเป็นทีมที่ผ่านประสบการณ์สร้างมหัศจรรย์ให้เกิดขึ้นมาก่อน สามารถเอาชนะทีมยักษ์ใหญ่อย่างอินเตอร์ มิลานและเอซี มิลานอย่างชนิดที่ไม่มีใครสักคนเดียวเชื่อมั่นว่าจะทำได้


สเปอร์สกำลังจะสร้างประวัติศาสตร์สร้างมหัศจรรย์ให้เกิดขึ้น


นี่คือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับสเปอร์ส เพราะทั้งผู้จัดการทั้งนักเตะต่างมีความเชื่อมั่นว่า อะไรๆก็เป็นไปได้ทั้งนั้น ถ้าหากไม่ยกธงขาวหรือโยนผ้าก่อนสู้ศึก

เหมือนกับที่เพลง "I believe I can fly" บอกว่า ฉันเชื่อว่าบินได้ เพราะว่า "There are miracles in life I must achieve" นั่นคือ  มีเรื่องมหัศจรรย์ต่างๆในชีวิตที่ต้องบรรลุให้ได้

สเปอร์สกำลังพิสูจน์ว่า ด้วยความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมนี้ มหัศจรรย์จะมีจริงหรือไม่




อ่าน "เชื่อมั่นว่าทำได้ สเปอร์สจึงทำได้"
http://preechayana.blogspot.com/2011/03/blog-post.html
.

12 เมษายน 2554

ศูนย์หน้าเสียศูนย์ เบอร์บาตอฟเสียเซลฟ์

.


การได้ชื่อว่าเป็น นักเตะค่าตัวแพงที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดย่อมไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง

เพราะดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ เป็นนักเตะที่เปี่ยมด้วยพรสวรรค์พันฝีเท้าหาตัวจับยากยิ่งคนหนึ่งในโลกลูกหนังปัจจุบัน

เบอร์บาตอฟเป็นศูนย์หน้าในสไตล์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ที่ยากจะค้นพบได้สักคนหนึ่งในบรรดานักเตะอังกฤษ  เซอร์อเล๊กซ์ เฟอร์กูสันถึงกับยกย่องว่าเป็นจีเนียสเป็นอัจฉริยะลูกหนังคนหนึ่ง

ไม่เพียงแต่มีทักษะฝีเท้าไม่เป็นสองรองใครแล้ว ปลายเท้าของเบอร์บาตอฟ ยังพลิ้วแพร้ว ประดุจศิลปินใช้เท้าจับพู่กันบรรจงวาดรูปได้อย่างคล่องแคล่วน่าพิศวง  เป็นนักเตะที่มีทั้งความแข็งแกร่งและควางดงามที่เรียกเสียงครางในหมู่ผู้ชมได้ตลอดเวลาประดุจเหมือนดูรอนนี่ โอซุลลิแวนสอยคิวเล่นมายากลบนโต๊ะสนุกเกอร์  เป็นทักษะและสไตล์ที่คล้ายกับศิลปินลูกหนังอย่างเอริก คันโตน่าหรือเดวิด ชิโนล่าอย่างไรอย่างนั้น


อัจฉริยะของเบอร์บาตอฟประหนึ่งมี
แม่เหล็กและดาวเทียมติดปลายเท้า

ฤดูกาลที่สาม (2010-2011) ในชุดปีศาจแดง ดูเหมือนว่าเบอร์บาตอฟสร้างผลงานได้อย่างคุ้มค่าสมกับเป็นนักแตะค่าตัวแพงที่สุดของสโมสร ด้วยสถิติ 21 ประตู ครองตำแหน่งดาวซัลโวสูงสุดของสโมสรและในพรีเมียร์ลีกในเวลานี้

นอกจากนี้ เบอร์บาตอฟยังสร้างสถิติเป็นประวัติศาสตร์แห่งเกียรติยศที่น่าภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นนักเตะคนแรกในรอบ 65 ปี ที่ทำแฮททริตยิงลิเวอร์พูลได้เมื่อต้นฤดูกาล และเป็นคนแรกนับตั้งแต่ฤดูกาล 2002-2003 ที่สามารถทำสามแฮททริตได้ในฤดูกาลเดียวกัน รวมทั้งสถิติยิงทีมแบล็คเบิร์นคนเดียวถึง 5 ประตูเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว  


Money well spent: Dimitar Berbatov's first Manchester United 
hat-trick helped down Liverpool
เบอร์บาตอฟในวันที่ยิงแฮทริตทีมลิเวอร์พูล

Stunning: Berbatov's acrobatic second was a contender for goal of the season
ในวันที่ท้องฟ้าสดใส "เบอร์บา" สามารถยิงประตู
สุดสวยอย่างที่นักเตะคนอื่นๆ เลียนแบบได้ยาก

ถึงแม้จะมีสไตล์ที่ใจเย็น แต่เบอร์บาตอฟ
ก็ไม่เขินอายที่จะฉลองชัยหลังยิงประตู

ไม่เป็นที่สงสัยว่า เบอร์บาตอฟมีทั้งคลาสมีทั้งฟอร์มที่ครบถ้วน ที่สามารถลงเล่นเป็นศูนย์หน้าตัวจริงได้ในทุกทีมทั่วโลก ซึ่งในความคิดของเวนน์ รูนีย์ แล้ว ยกย่อง "เบอร์บา" ให้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมแห่งฤดูกาลของทีมปีศาจแดง

แต่เบอร์บาตอฟกำลังสงสัยครุ่นคิดว่า เกิดความผิดพลาดอะไรขึ้นมา ทำไมตัวเขาจึงถูกมองข้าม และไม่ได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่ศูนย์หน้าตัวจริงประจำทีมไปทุกๆนัด โดยเฉพาะในนัดที่แข่งกับบิ๊กทีมหรือเกมบิ๊กแมทช์

เซอร์อเล๊กซ์ย่อมมีเหตผลหลายๆปัจจัยในการพิจารณาตัดสินใจเลือกดร็อบเบอร์บาตอฟ หลายต่อหลายครั้ง  แน่นอนที่สุดว่า ต้องเป็นเหตุผลเกี่ยวกับฟุตบอลเป็นสำคัญและเชื่อว่าเป็นเหตุผลเดียวกับที่โฮเซ่ มูรินโญ่ในสมัยคุมทีมเชลซีที่มักจะดร็อบโจโคลอยู่บ่อยๆ ถึงแม้จะโชว์ฟอร์มดีทำประตูได้ก็ตาม

ในความคิดของเฟอร์กูสันแล้ว ไม่จำเป็นที่จะต้องตัดสินศูนย์หน้าด้วยสถิติยิงประตูเพียงอย่างเดียว แต่ศูนย์หน้าสมัยใหม่จะต้องทำหลายๆหน้าที่ในเวลาเดียวกัน เป็นความรับผิดชอบเพื่อทีมเป็นสำคัญ โดยเฉพาะการช่วยไล่บอล การวางตัววางตำแหน่งเคลื่อนไหวในช่วงที่ไม่มีบอลอยู่กับตัวเพื่อสร้างข้อได้เปรียบให้กับทีม บางครั้งถูกวิจารณ์ว่าเป็นสไตล์ขี้เกียจ บ่อยครั้งที่เบอร์บาตอฟเน้นความสวยงามมากเกินไป จนปล่อยให้โอกาสหลุดลอยหายไป การเน้นศิลปะจนลืมผลลัพท์หรือ end-product นั้น ไม่ใช่สิ่งที่ยอดผู้จัดการทีมคนนี้ชื่มชอบมากนัก


ยามเมื่อหลายสิ่งไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด

แต่สิ่งสำคัญมากๆที่นักเตะคนนี้ขาดหายไปนอกเหนือจากความเร็วแล้ว ก็คือความสามารถที่จะบันดาลอะไรๆให้เกิดขึ้นได้   เบอร์บาตอฟถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า เป็นนักเตะระดับบิ๊กเนมที่ไม่เหมาะกับบิ๊กเกม เป็นนักเตะที่คาดหวังหรือพึ่งไม่ได้ในเกมนัดสำคัญๆหรือเกมชี้ชะตา โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ทีมต้องการประตูหรือต้องการปาฏิหาริย์ 

นี่คือสิ่งที่แตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างเบอร์บาตอฟและคันโตน่า



ภาษากายที่บ่งบอกถึงความผิดหวัง

ในขณะเดียวกัน สถิติตัวเลขรวม 22 ประตูที่ดูสวยงามน่าพึงพอใจเป็นอย่างยิ่งนั้น กลับมีตำหนิรอยดำ และเป็นสิ่งที่น่ากังวลเป็นอย่างยิ่งสำหรับอดีตยอดศูนย์หน้าทีมชาติบัลแกเรียคนนี้   เพราะเบอร์บาตอร์ไม่สามารถยิ่งประตูทีมยักษ์หรือบิ๊กทีมที่เป็นคู่แข่งคู่ชิงตำแหน่งแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลได้เลยไม่ว่าจะเป็นอาร์เซนัล เชลซี และแมนเชสเตอร์ ซิตี้

รวมไปถึงบิ๊กทีมและบิ๊กเกมในแมทช์แชมป์เปี้ยนลีกที่ยังยิงประตูไม่ได้เลยในเกม 6 นัดของฤดูกาลนี้ ยิ่งดูสถิติย้อนหลังแล้วยิ่งน่ากังวลเป็นอย่างยิ่ง เพราะเบอร์บาตอฟไม่สามารถยิงประตูคู่แข่งได้ติดต่อกัน 18 นัดแล้ว ระยะเวลาสองปีครึ่งที่ยิงประตูไม่ได้ในสังเวียนแห่งนี้ต้องถือเป็นวิกฤติฟอร์มที่ถูกซุกใต้พรมที่คนทั่วไปไม่สังเกต

นี่คือสิ่งที่แตกต่างชัดเจนระหว่างเบอร์บาตอฟและรุด ฟาน นิสเตลรอย

แน่นอนที่สุดว่า   เบอร์บาตอฟสมควรได้เครดิตกับการยิง 3 ประตูสุดสวยในนัดที่เจอกับลิเวอร์พูลเมื่อกันยายนปีที่แล้ว แต่บิ๊กทีมอย่างลิเวอร์พูลในช่วงเริ่มต้นฤดูกาลกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนทีมไม่แข็งแกร่งเหมือนชื่อ ไม่ได้เป็นบิ๊กทีมที่อยู่ในตำแหน่งและมีศักย ภาพในการท้าทายตำแหน่งแชมป์พรีเมียร์ลีก  ครั้งสุดท้ายที่เบอร์บาตอฟยิงบิ๊กทีมก็คือเดือนมกราคม 2009 ในนัดแข่งกับเชลซี    ต้องถือว่า เวลาสองปีกว่าๆที่ยิงประตูบิ๊กทีมไม่ได้นั้นนานเกินไปสำหรับศูนย์ระดับอัฉจริยะคนนี้

หลังจากแฮททริตยิงลิเวอร์พูลแล้ว เบอร์บาตอฟก็ไม่เคยยิงประตูบิ๊กทีมหรือในแมทช์บิ๊กเกมได้อีกเลยแม้เพียงประตูเดียว แน่นอนที่สุด เซอร์อเล๊กซ์คงไม่ได้คิดทุ่มเงินซื้อศูนย์หน้าด้วยราคาแพงเป็นประวัติศาสตร์ขนาดนี้ เพื่อให้ยิงประตูบิ๊กทีมฤดูกาลละหนึ่งครั้งหนึ่งทีมเท่านั้น หรือเพื่อให้ทำหน้าที่ยิงประตูทีมระดับธรรมดาๆ 


ชื่อของเบอร์บาตอฟถูกนำไปเปรียบเทียบกับแอนดี้ โคลในยุค 3 แชมป์เมื่อทศวรรษก่อนอย่างช่วยไม่ได้ เพราะแม้โคลจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นศูนย์หน้าที่ใช้โอกาสเปลืองมากที่สุด (จนแทบจะไม่ได้รับโอกาสสำหรับทีมชาติอังกฤษ) แต่บ่อยครั้งที่ศูนย์หน้าผิวหมึกคนนี้สามารถยิงประตูบิ๊กทีมหรือในบิ๊กแมทช์ที่สำคัญๆได้  

ด้วยสถิติ 21 ประตูในพรีเมียร์ลีกในเวลานี้ และมีแนวโน้มค่อนข้างสูงที่เบอร์บาตอฟจะได้ตำแหน่งดาวซัลโวสูงสุดเมื่อจบฤดูกาลนี้ (เพราะดาวซัลโวสูงสุดอันดับสองอย่างคาร์ ลอส เตเวชของทีมแมน ซิตี้ก็เจ็บยาว)  แต่ย่อมไม่ใช่สิ่งที่เฟอร์กูสันชื่นชมหรือพึงพอใจเป็นที่สุด เพราะสายตาของผู้จัดการทีมปีศาจแดงแล้ว เบอร์บาตอฟกลายเป็น "ม้าตีนแผ่ว" ไปทุกขณะ จะเห็นได้ว่านับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นมา ศูนย์หน้าอัจฉริยะคนนี้ยิงได้เพียง 2 ประตูเท่านั้นจาก 12 นัดที่ลงสนาม นับเป็นสถิติที่ไม่น่าปลื้มสักเท่าไหร่ และคนที่ไม่ปลื้มมากที่สุดกับความไม่คงเส้นคงวาเช่นนี้ก็คือเซอร์อเล๊กซ์

แม้กระทั่งล่าสุดในนัดรอบรองชนะเลิศเอฟเอคัพที่พบกับแมน ซิตี้ เบอร์บาตอฟพลาดโอกาสทองถึงสองครั้งอย่างไม่น่าเชื่อจนทำให้แมนฯ ยูไนเต็ดหมดโอกาสลุ้น 3 แชมป์ เป็นสิ่งบอกเหตุบอกผลที่มีน้ำหนักชัดเจนสำหรับเซอร์อเล๊กซ์ และเป็นการตอกย้ำทฤษฏีที่ว่าเบอร์บาตอฟไมใช่บิกเนมสำหรับบิ๊กแมทช์มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น



อาการผิดหวังเป็นที่สุดหลังพลาดโอกาสทองอย่างไม่น่าเชื่อ

สิ่งสำคัญต่อมาที่ไม่เป็นผลดีกับทีมมากนักก็คือ สไตล์การเล่นของบอร์บาตอฟไม่ได้กระตุ้นหรือทำให้รูนีย์สามารถแสดงศักยภาพได้อย่างเต็มที่  เรียกว่าพรสวรรค์ของเบอร์บาตอฟนอกจากจะไม่ช่วยส่งเสริมรูนีย์แล้ว ยังเป็นการบั่นทอนนักเตะทีมชาติอังกฤษคนนี้ไม่น้อย ตรงกันข้ามกับฮาเวียร์ เฮอร์นันเดชที่มีส่วนทำให้รูนีย์เป็นนักเตะที่มีเขี้ยวเล็บอันตรายอยู่ตลอด

ครุ่นคิดหาคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้น


ที่นั่ง(ไม่)ประจำสำหรับอัจฉริยะ?

เพราะเหตุนี้เอง จึงทำให้เบอร์บาตอฟเสียเซลฟ์ไม่น้อย และจำใจต้องยอมรับบทบาทบนเก้าอี้ม้าสำรองอย่างเลือกไม่ได้และครุ่นคิดสำหรับอนาคตและชีวิตใหม่ในฤดูกาลหน้า


หรือว่า เบอร์บาตอฟต้องก้มหน้ายอมรับ
ชะตากรรมทีเกิดจากตัวเองแล้วมองหาอนาคตใหม่

ถึงแม้ว่าจะเป็นฤดูกาลที่ดีที่สุดนับตั้งแต่ย้ายมาจากท๊อตแน่ม ฮ๊อทสเปอร์สเมื่อสามฤดูกาลก่อน ด้วยผลงานเกียรติยศดาวซัลโวสูงสุด(ในขณะนี้) และได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งฤดูกาล

แต่น่าเสียดายที่เบอร์บาตอฟไม่สามารถทำให้เซอร์อเล๊กซ์เชื่อมั่นเชื่อใจได้ว่า เขาเป็นบิ๊กเนมสำหรับบิ๊กเกมด้วย  และอาจจะไม่มีโอกาสอีกแล้วก็เป็นไปได้



.

8 เมษายน 2554

ฉายานามของผู้นำ

.


ในความคิดเห็นของแซมมวล ฮาวเวลล์และวินสตัน เบร็มเบ็ด สองนักวิชาการอเมริกันแล้ว  การตั้งฉายานาม(เคย)เป็นสิ่งที่ผิดจริยธรรม โดยเฉพาะการตั้งฉายานามเรียกขานฝ่ายตรงข้ามเพื่อการโฆษณาชวนเชื่อ

แต่ในวงการการเมืองสมัยใหม่แล้ว การตั้งฉายานามของผู้นำ กลายเป็นศิลปะเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่เพิ่มสีสันที่ขาดเสียไม่ได้  ฉายานามสำหรับผู้นำคนหนึ่งๆ ทั้งในต่างประเทศและในประเทศ ไม่ได้เกิดขึ้นด้วยความบังเอิญ แต่มักจะต้องเกี่ยวข้องหรือเป็นสิ่งที่สะท้อนมาจากตัวผู้นำโดยตรงในแง่มุมใดแง่มุมหนึ่ง และฉายานามนั้นๆ อาจจะไม่ใช่ข้อเท็จจริงหรือเป็นการสะท้อนเกี่ยวกับผู้นำที่ถูกต้องทั้งหมดเสมอไป


วินสตัน เชอร์ชิล "บุลด๊อก"

ประธานาธิบดีเจอรัล ฟอร์ด "มิสเตอร์ไนซ์กาย"

ประธานาธิบดีจิมมี่ คาร์เตอร์ "คนขายถั่ว"





จุนิชิโร โคยอิซึมิ "หัวสิงห์ใจสิงห์"

มาร์กาเร็ต แธตเชอร์ "สตรีเหล็ก"

พล อ. เปรม ติณสูลานนท์ "เตมีย์ใบ้"



พล อ. สิทธิ จิระโรจน์ "เปาปุ้นจิ้น"



อานันท์ ปันยารชุน "ผู้ดีรัตนโกสินท์"




ชวน หลีกภัย "ชวน เชื่องช้า" / "ช่างทาสี"





พล อ. ชวลิต ยงใจยุทธ "จิ๋ว หวานเจี๊ยบ"





บรรหาร ศิลปอาชา "เติ้งเสี่ยวหาร" / "หลงจู๊"


 
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ "หล่อหลักลอย"  


พลตรีจำลอง ศรีเมือง "มหาห้าขัน"


ปุระชัย เปิ่ยมสมบูรณ์ "มือปราบสายเดี่ยว"/ "ไม้บรรทัด"

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา "สฤษดิน้อย"


ฉายานามมีทั้งที่เป็นบวกเป็นลบ แต่ก็มีบ้างที่เป็นกลางๆ

ผู้นำบางคนโชคดีที่ได้ถูกตั้งฉายานามเป็นบวก ที่เป็นผลมาจากการบริหารปกครองหรือภาวะผู้นำที่เข้มแข็ง กลายเป็นทุนภาพพจน์ที่ทรงคุณค่า ถูกนำไปต่อยอดขยายผลสร้างมูลค่าเพิ่ม 

แต่ผู้นำอีกหลายๆคนกลับได้ฉายานามที่เป็นลบ ซึ่งเป็นผลสะท้อนมาจากจุดด้อย ความผิดที่เคยกระทำ หรือความล้มเหลวในความเป็นผู้นำ      ซ้ำร้าย หากดำเนินต่อเนื่องไปนานๆ  ฉายานามนั้นจะกลายเป็นภาพพจน์ติดตัวผู้นำคนนั้นจนยากที่จะลบล้างได้ง่ายๆ หรืออาจจะเป็นอุปสรรคกีดขวางเส้นทางสู่ตำแหน่งระดับสูง

ในบางครั้ง ฉายานามของผู้นำบางคนก็เป็นผลสะท้อนมาจากสะท้อนถึงพื้นฐานแบล็กกราวด์ทางครอบครัว หรือสะท้อนมาจากบุคลิกลักษณะประจำตัว

ในสภาพการแข่งขันทางการเมืองที่เข้มข้นนี้ ฉายานามกลายเป็นอาวุธหรือสามารถนำมาใช้เป็นอาวุธได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่ง




 .

มอเตอร์ หรือ สติกเกอร์

เมื่อตอนที่ Real Madrid ทีมดังในสเปนตัดสินใจขาย Claude Makelele ให้กับทีม Chelsea แล้วซื้อ David Beckham มาแทนที่ในช่วงกลางปี 2003 ปรา...